บทที่ 22 ผู้ด้อยประสบการณ์ (2)
บรรดาผู้ฝึกตนนอกจากฝึกฝนแล้วยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีก ไม่สามารถนำจิตใจและกำลังหลักไปไปทุ่มอยู่กับการปกครองและดูแลชีวิตประจำวันของสาวกในอาณาเขตตนได้ ปกติจะเป็นขุนนางท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแล โดยทั่วไปแล้วบรรดาผู้ฝึกตนจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องของท้องถิ่น
ในความเป็นจริง นักพรตระดับสูงกว่าสามารถตีวงนักพรตระดับต่ำกว่า ไม่ให้เข้าไปแทรกแซทรงดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในโลก ลองคิดดูว่าบรรดานักพรตที่มักเก็บตัวฝึกฝนไม่ยุ่งกับทางโลก จะไปเข้าใจเรื่องการปกครองซะที่ไหนกัน หากเข้าไปแทรกแซงก็จะยิ่งวุ่นวายขึ้น ถ้าทำให้ผู้คนต้องขัดสนยากไร้ หากไม่มีสาวก แล้วพวกเขาจะไปเก็บรวบรวมพลังปรารถนาที่ไหนล่ะ?
แน่นอนว่า ถ้าอยากทำลายการแทรกแซงของนักพรตนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นักพรตที่นั่งบัญชาการอยู่อีกด้านย่อมก็ต้องแต่งตั้งขุนนางท้องถิ่นที่ตนไว้วางใจเพื่อมาจัดการกับอาณาเขตของตน ตัวอย่างเช่น เฉินเฟยที่ต้องการจัดหาตำแหน่งให้หลานสาวของตนในเมืองคล้อยบูรพา ขุนนางท้องถิ่นจะกล้าไม่จัดการอย่างเต็มที่ได้อย่างไรกัน ?
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตการอนุญาตของผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่า ขอแค่รักษากฎฏระเบียบ ผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่าก็จะไม่ว่าอะไร
และเฉินเฟยก็อยู่ในสังกัดท่านทูตสายมะโรง อุทิศตนเป็นลูกน้องประมุขแห่งถ้ำคล้อยบูรพา หันลี่เฟย และถ้ำคล้อยบูรพาก็ปกป้องรักษาเมืองคล้อยบูรพาอยู่
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...เหมียวอี้เหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกว่าตัวเองเป็นมือใหม่อ่อนหัดโดยแท้
จะว่าไปเรื่องนี้ต้องโทษเหล่าไป๋ เหล่าไป๋มีความรู้เยอะ เรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ฝึกฝนเขาพูดได้เป็นฉากๆ แต่ถ้าเกี่ยวกับเค้าโครงและรายละเอียดของแดนฝึกตนนี้ เขาเพิกเฉยไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เหตุผลของเหล่าไป๋คือ เขาไม่เคยเข้าไปปะปนอยู่ในแดนฝึกตน จะไปรู้เรื่องพวกนั้นได้อย่างไร ให้เหมียวอี้ออกไปเดินทางเสาะหา เดี๋ยวก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง
เฉินเฟยชนจอกถ้วยกับเหมียวอี้แล้วถาม "น้องชายเป็นนักพรตอิสระเหรอ?"
เหมียวอี้ถามอย่างไม่อาย "นักพรตอิสระคืออะไร?"
"แค่กๆ!" เฉินเฟยที่เพิ่งดื่มเหล้าเข้าไปสำลักจนไอออกมา พอหายสำลักแล้ว ก็มองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ ราวกับกำลังพูดบอกว่า ‘ แม้แต่นักพรตอิสระคืออะไรเจ้าก็ยังไม่รู้เลยเหรอ?’
สุดท้ายเฉินเฟยก็แพ้สายตาที่แสดงความไม่รู้เรื่องรู้ราวของเหมียวอี้ กระแอมกระไอตอบ "คือนักพรตที่ไม่ได้อยู่ใต้การควบคุมของท่านทูตสายต่างๆ หรือไม่ก็นักพรตที่ไม่มีสำนักอยู่ นั่นแหละคือนักพรตอิสระ "
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว พยักหน้าตอบ "ถ้าอย่างนั้นข้าก็เป็นนักพรตอิสระจริงๆ นั่นแหละ"
เฉินเฟยยื่นมืออกมาขอชนจอกถ้วยกับเหมียวอี้ แล้วถามอีก "น้องชายคิดจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เหรอ?"
เหมียวอี้ตอบแบบไม่เห็นด้วย "นักพรตอิสระไม่ดีตรงไหนล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องโดนใครควบคุม "
เฉินเฟยโบกมือกล่าวตอบ "คำพูดของน้องชายห่างจากความจริงอยู่นะ ไม่ถูกควบคุมใช่ว่าจะอิสระจริงๆ หรอก บรรดาผู้ฝึกตน ใครกันจะไม่อยากให้ตัวเองวรยุทธ์สูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ หากไม่มีพลังปรารถนาจากผู้คนมากมายคอยช่วยสนับสนุน กว่าจะก้าวผ่านแต่ละขั้นนั้นยากเย็น สาวกในใต้หล้านี้ต่างก็แบ่งไปอยู่ใต้การควบคุมของท่านทูตสายต่างๆ ผู้ที่ได้รับพลังปรารถนาจากการเซ่นไหว้ต่างก็อยู่ใต้บังคับบัญชาของบรรดาท่านทูตทั้งนั้น นักพรตอิสระที่ไม่มีใครควบคุมก็จะไม่ได้ส่วนแบ่งเป็นธรรมดา "
เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม "ต้องอยู่ใต้การควบคุมถึงจะได้รับพลังปรารถนาเหรอ?"
เฉินเฟยพยักหน้า "ใช่แล้ว"
เหมียวอี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดออกมาตรงๆ เลยว่า "พูดแบบไม่ปิดบังเลยนะพี่เฉิน ข้าน่ะเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ ไม่มีช่องทางเลย"
เฉินเฟยก็ไม่ใช่คนโง่ ถึงตอนนี้แล้วเขาดูออกว่าเหมียวอี้เป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ พูดมาถึงขั้นนี้แล้วแน่นอนว่าต้องมีมูลเหตุ "ข้ามีสหายรักอยู่คนหนึ่งชื่อเฉาติ้งเฟิง อุทิศตนรับใช้ หยวนเจิ้งคุน ประมุขแห่งถ้ำล่องนิภา ได้รับความไว้วางใจจากประมุขถ้ำมาก ถ้ำล่องนิภาเพิ่งจะผ่านการจลาจล ขาดแคลนกำลังคนพอดี หากน้องชายสมัครใจจะไป ข้าก็ยินดีเขียนจดหมายแนะนำให้"
เหมียวอี้ตื่นเต้นดีใจ ยกมือคารวะ "ขอบคุณพี่เฉินที่เป็นธุระให้ "
เฉินเฟยเองก็สบายใจ คว้าแผนภูมิหยกแผ่นหยกออกมาตรงนั้น ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เขียนจดหมายลงบนนั้นฉบับหนึ่ง แล้วส่งให้เหมียวอี้ ให้เหมียวอี้พกจดหมายไปหาเฉาติ้งเฟิงสหายของเขา
ตอนหลังเหมียวอี้จึงได้รู้ว่าตัวเองโชคดีแท้ๆ ถ้าไม่ได้การรับรองจากเฉินเฟย นักพรตอิสระมือใหม่ไร้ประสบการณ์ ซ้ำยังวรยุทธ์ต่ำอย่างเขา คงยากที่จะเข้าไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านทูตสายต่างๆ ได้
นักพรตอิสระในใต้หล้านั้นมีเแยอะ แต่ที่สามารถเข้าไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านทูตสายต่างๆ ได้นั้นมีไม่เยอะ เหตุผลนั้นมีอยู่ข้อเดียวมีอยู่เหตุผลเดียวคือ แทบจะเกือบโดนอิทธิพลของแต่ละสำนักผูกขาดหมดแล้ว ด้วยแต่ละสำนักย่อมต้องการอบเลี้ยงดูคนของตัวเองเป็นธรรมดา
และที่เฉินเฟยเต็มใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณ ตอบแทนที่เหมียวอี้ช่วยชีวิตหลานสาวตัวเองเอาไว้ ญาติคนเดียวของเขาที่อยู่ในโลกมนุษย์ถูกเหมียวอี้ช่วยชีวิตไว้ ในใจจึงรู้สึกซาบซึ้งมาก
เช้าตรู่วันถัดมา เฉินเฟยไม่ได้เชิญให้เหมียวอี้อยู่ต่อ ซ้ำยังเร่งให้เหมียวอี้รีบออกเดินทาง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เต็มใจจะรับแขก แต่กลัวว่าชักช้าจะไม่ทันการณ์ กลัวว่าถ้าเหมียวอี้ไปช้า จำนวนผู้คนของถ้ำล่องนิภาจะถูกคนสำนักอื่นยึดไปซะก่อน
เสื้อผ้าใหม่และม้าคะนอง นอกจากนี้ยังมีเงินจำนวนหนึ่งสำหรับใช้ระหว่างเดินทาง เป็นของขวัญที่เฉินเฟยส่งให้ก่อนเดินทาง
ม้าเป็นม้าธรรมดา เฉินเฟยเองก็ไม่มีอาชามังกรจะมอบให้เขา
แต่กลับให้ช่างตีเหล็กฝีมือดีในเมืองทำงานตลอดทั้งคืน ใช้เหล็กกล้าชั้นดีทำเป็นทวนเงินด้ามหนึ่งมอบเป็นของขวัญให้เหมียวอี้ ถ้าให้แขกแบกทวนไม้จากไปมันทุเรศตาเกินไป
พอออกจากเมืองคล้อยบูรพา เหมียวอี้กระฉับกระเฉงมีพลัง ถือทวนเงินควบม้า วิ่งตะบึงไปตลอดทาง
ความเร็วฝีเท้าของม้าธรรมดาแน่นอนว่าไปเทียบกับอาชามังกรไม่ได้ ห่างชั้นกันเกินไป ตอนเหมียวอี้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ขับเคลื่อนยังเร็วกว่าด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เหล่าไป๋เคยพูดกับเหมียวอี้ว่า เมื่อออกไปอยู่ข้างนอก พยายามอย่าใช้พลังอิทธิฤทธิ์ถ้าไม่จำเป็น ไม่เช่นนั้นตอนประสบปัญหามันก็จะยุ่งยาก
ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ขับเคลื่อนในระยะทางไกลเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป ขอเพียงเขาอดทนให้ม้าวิ่งไปเอง เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็ถึงเมืองล่องนิภาแล้ว
พออยู่ในเมือง เขาใช้สถานะ 'เซียน' ตามหาผู้คุ้มกันเมือง พอถามตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำล่องนิภาชัดเจนแล้วก็แลกม้าตัวหนึ่งผู้คุ้มกันเมือง แล้วพลันกระวีกระวาดขี่มันออกไปอีกครั้ง
ช่วยไม่ได้ เหมียวขี่ม้าแบบรีบเร่งมาตลอดทาง ม้าตัวนั้นสูญเสียพลังไปเยอะ ไม่เหมาะจะขี่เพื่อเร่งการเดินทางแล้ว แต่ม้าที่เฉินเฟยมอบให้เป็นม้าชั้นดี ผู้คุ้มกันเมืองจึงยอมแลกอย่างเต็มใจ
ถ้ำล่องนิภา อยู่ในภูเขาลึกห่างจากเมืองล่องนิภาไปสี่สิบลี้ ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่มีหมอกเมฆลอยวนเวียนอยู่ และยากต่อการถูกคนรบกวน
ในความคิดของเหมียวอี้ ถ้ำล่องนิภา ควรจะเป็นถ้ำเทพแบบถ้ำในภูเขา ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าถ้ำได้ยังไงล่ะ?
เมื่อมาถึงข้างหน้าประตูใหญ่ถึงได้รู้ว่าไม่ได้เป็นเหมือนที่คิดไว้เลย ซุ้มศาลาที่ตั้งปะปนกันอย่างงดงามระหว่างเทือกเขา ประกอบกับหมอกเมฆที่ลอยวนอยู่รอบๆ ลำธารในหุบเขาลึก ให้ความรู้สึกเหมือนแดนสวรรค์จริงๆ
เพียงแต่ว่า ที่แห่งนี้เหมือนกับเคยประสบภัยพิบัติอะไรสักอย่าง นอกประตูใหญ่มีของระเกะระกะ ภูเขาพังก็ทลายลงมา ต้นไม้ล้มลงกอง แม้แต่ซุ้มประตูของประตูใหญ่ก็แตกกระจายอยู่บนพื้น ขณะนี้มีสามัญชนคนธรรมดาจำนวนมากกำลังพักผ่อนอยู่รอบๆ
ใต้ซุ้มประตูที่ถล่มลงมา มีตาแก่จมูกหยาบหนาคนหนึ่งที่ห้อยกาเหล้าไว้ตรงเอวนั่งอยู่บนหินรูปสัตว์ บนหลังแบกขวานใหญ่สองด้าม เสื้อผ้ายุ่งเหยิงดูหมดอาลัยตายอยาก ทั้งตัวมีกลิ่นเหล้า มองก็รู้ว่าเป็นขี้เมา เขายื่นมือมาขวางเหมียวอี้ไว้
"ไอ้หนู ไม่แหกตาดูหน่อยว่าที่นี่มันที่ไหน มันใช่ที่ที่เจ้าจะทะเล่อทะล่าเข้ามาได้หรือไง ? " ตาแก่กระโดดลงจากหินรูปสัตว์ ถลึงตาจ้องขู่ ตรงหว่างคิ้วปรากฏเงาแสงดอกบัวขาวบานสามกลีบ น่า ทึ่งมากที่เขามีวรยุทธ์ระดับบงกชขาวขั้นสาม
เหมียวอี้กลุ้มใจเล็กน้อย พบว่าวรยุทธ์ของตัวเองเหมือนจะระดับต่ำเกินไปจริงๆ ตั้งแต่ขึ้นฝั่งมา ก็เจอกับนักพรตระดับบงกชขาวขั้นสามติดกันถึงสองคน
พอปีนลงจากม้า เขาถือทวนยกมือคารวะ "โปรดอภัยที่ล่วงล้ำเข้ามา ข้าได้รับมอบหมายจากสหายผู้หนึ่ง ให้นำจดหมายมาเยี่ยมเยียนเฉาติ้งเฟิง รบกวนท่านช่วยแจ้งให้หน่อย "
พอพูดจบตรงหว่างคิ้วก็เปล่งเงาแสงดอกบัวสีขาวบานหนึ่งกลีบ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองก็เป็นนักพรตเหมือนกัน
"เฉาติ้งเฟิง…" ตาแก่ขี้เมาพึมพำ พอเห็นว่าเหมียวอี้ก็เป็นนักพรตเหมือนกัน ก็รู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย สายตามองที่สัตว์พาหนะของเหมียวอี้ด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดเลยว่าแปลกใจว่าทำไม นักพรตทำไมไม่ขี่อาชามังกร กลับมาขี่สัตว์แบบนี้
"รอเดี๋ยวช้าก่อน" ตาแก่ขี้เมาพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินเนิบๆ ออกไป ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะกระดกเหล้าดื่มหนึ่งอึก
…………………………