แซนยังคงจ้องมองรอยสัญลักษณ์ประหลาดบนหลังมืออย่างตกใจ
แซนไม่เคยได้เข้าไปในโลกสยองขวัญเลยสักครั้งตั้งแต่ที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจนมันผ่านมาเป็นปีแล้ว แต่จู่ๆเขาก็จะได้เข้าไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้วน่ะหรอ!?
แซนรู้สึกกังวลขึ้นมา เขาได้ยินถึงความน่ากลัวในโลกสยองขวัญมาเยอะ แม้ตัวเขาจะไม่ได้กลัวผีก็ตาม แต่การที่มีโอกาสถูกฆ่าตายที่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก
"ไม่เป็นไรนะน้องแซน คนเก่งของน้าต้องผ่านมันไปได้อยู่แล้ว แล้วน้าจะรอหนูอยู่ที่นี่นะจ๊ะ" วิญญาณสาวตนหนึ่งพยายามเอ่ยตอบคนร่างเล็กที่มีสีหน้ากังวลอย่างอ่อนโยน
เธอไม่กังวลเท่าไหร่หรอกเมื่อถึงเวลาที่หลานของเธอจะได้เข้าไปในนั้น ด้วยออร่าที่อยู่รอบๆตัวบวกกับนิสัยที่น่ารักของน้องแซน ไม่มีผีตนไหนที่จะกล้าทำร้ายหลานเธอได้ลงแน่ๆ
ที่เธอมั่นใจขนาดนี้ก็เพราะในตอนแรก เธอเองก็เคยเป็นวิญญาณอาฆาตมาก่อนเช่นกัน ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่น้องแซนอยู่นั้นเคยเป็นโรงงานร้างมาก่อน และเธอก็ถูกลวงไปฆ่าข่มขืนที่นั่น นั่นจึงทำให้เธอยังต้องวนเวียนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนด้วยความแค้น
แต่พอได้มาเจอกับน้องแซน ความอาฆาตแค้นในตัวของเธอก็กลับลดลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งได้ทำความรู้จักและได้เข้าไปพูดคุย มันก็ทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูและปล่อยวางทุกอย่าง ก่อนจะผันตัวมาเป็นคุณน้าให้กับเด็กคนนี้อย่างเต็มตัว
ถึงความจริงเธอจะอยากเป็นแม่มากกว่าก็เถอะ
ส่วนวิญญาณอีกสองดวงที่อยู่ข้างๆเธอก็เช่นเดียวกัน พวกเธอล้วนแล้วแต่เคยเป็นวิญญาณร้ายที่เต็มไปด้วยความอาฆาต วนเวียนอยู่ในที่เดิมๆด้วยความแค้นที่สุมอยู่เต็มอก จนได้มาเจอกับน้องแซนแล้วเปลี่ยนไปนั่นแหละ
นอกจากนี้ พอพวกเธอได้เปลี่ยนเป็นวิญญาณที่ดีและปล่อยวางความแค้นลง พวกเธอก็สามารถที่จะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ไม่ยึดติดกับสถานที่ที่ตัวเองเคยตายอีกต่อไป พวกเธอสามตนเลยตัดสินใจตามมาดูแลน้องแซนต่อที่ห้องเช่าจนถึงทุกวันนี้
"ผมแค่กังวลนิดหน่อย.." แซนตอบไปตามความจริง เรื่องที่มีความตายเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตตัวเองแบบนี้ ใครบ้างที่จะไม่รู้สึกกังวล
แต่เมื่อคิดถึงรางวัลที่จะได้จากการเข้าไปทำภารกิจในโลกนั้นอย่างพลังพิเศษที่จะได้ติดตัวกลับมา แซนก็ฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง
หากเขามีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งแล้วล่ะก็ เขาก็จะสามารถใช้ความสามารถนั้นหาเงินและไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอย่างทุกวันนี้ได้
แซนแค่อยากจะมีวันพักผ่อนของตัวเองบ้างก็เท่านั้น
ร่างบางเผยยิ้มมุ่งมั่น "คุณน้ารอผมอยู่ที่นี่แค่เจ็ดวันนะครับ แล้วผมจะต้องกลับมาแน่นอน!"
วิญญาณสาวทั้งสามเผยยิ้มเอ็นดู "งั้นพวกน้าจะเป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ"
…
"..ดังนั้น หนูแซนก็เลยจะมาขอลาสักเจ็ดวันใช่มั้ยจ๊ะ"
หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างใจดี เธอเป็นคุณป้าร้านขายข้าวแกงที่แซนมาช่วยทำงานให้ทุกเช้านั่นเอง
เนื่องจากแซนจำเป็นที่จะต้องเข้าไปในโลกสยองขวัญ ซึ่งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เข้าไปและกลับออกมาเมื่อไหร่ เขาจึงมาบอกกับคุณป้าคนนี้เอาไว้ก่อน ส่วนที่ทำงานอีกสองที่นั้น เขาก็ไปลามาแล้วเช่นกัน เพียงแค่แสดงสัญลักษณ์บนหลังมือให้ดู นายจ้างทุกคนก็สามารถเข้าใจได้ในทันที
"ประมาณนั้นเลยครับ แต่ถ้าเกิดผมไปมากกว่าเจ็ดวันขึ้นมาก็ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะครับ" แซนพูดพลางก้มหัวปลกๆให้คนตรงหน้าอย่างน่าเอ็นดู
"โอ๊ย ไม่เป็นไรเลยจ้ะ ป้าก็แค่เสียดายที่เด็กขยันๆอย่างเราจะไม่ได้มาช่วยงานตั้งหลายวัน" หญิงวัยกลางคนโบกมือไปมาอย่างไม่คิดมาก "ป้าขอให้เราโชคดีนะจ๊ะ"
"ขอบคุณมากๆเลยครับ" แซนก้มหัวพร้อมเอ่ยลาคุณป้าคนนี้อีกครั้ง ก่อนจะเดินจากมา
หลังจากที่เมื่อคืนมีสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นมา เช้าวันถัดไป แซนจึงจัดการไปลางานที่เขาทำทั้งสามที่เอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ก็นะ การเข้าโลกสยองขวัญนั้นจะพาแต่ละคนเข้าไปในระยะเวลาที่แตกต่างกันคล้ายกับการสุ่ม แต่ส่วนมากแล้วก็จะไม่เกินสามวันหลังจากที่สัญลักษณ์บนหลังมือปรากฏ และเนื่องจากไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกวาร์ปไปเมื่อไหร่ เขาจึงมาลางานเอาไว้ก่อน
ลองคิดดูสิ ถ้าเกิดเขาช่วยทำข้าวแกงอยู่ดีๆแล้วก็ถูกวาร์ปไปอย่างกะทันหัน คุณป้าจะต้องยุ่งมากแน่ๆ
ดังนั้นวันนี้ แซนก็เลยกลายเป็นคนว่างงานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาตัดสินใจเดินไปในเมืองและหาร้านหนังสือเพื่อเข้าไปหาข้อมูล เพราะแซนไม่มีโทรศัพท์เอาไว้หาเรื่องราวเกี่ยวกับโลกสยองขวัญ ร้านหนังสือที่อยู่ใจกลางเมืองจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
ตั้งแต่ช่วงสายๆไปจนถึงเกือบเที่ยง แซนไล่ดูข้อมูลต่างๆในหนังสือไปจนถึงข้อมูลบนหน้าจอโฆษณาขนาดยักษ์ที่ติดอยู่บนตัวตึกอย่างตั้งใจ เขาจึงพอรู้อะไรเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง
ความรู้ใหม่อย่างแรกที่แซนเพิ่งได้มาเลยก็คือ หากอยากได้พลังพิเศษ เขาจำเป็นที่จะต้องทำภารกิจรองของตัวเองให้สำเร็จ เพราะภารกิจหลักจะมีเนื้อหาเหมือนกันทุกคนอยู่แล้ว นั่นคือต้องเอาชีวิตรอดในโลกสยองขวัญเป็นเวลาเจ็ดวัน ส่วนภารกิจรองของแต่ละคนก็จะได้รับแตกต่างกันไป
ซึ่งพลังพิเศษที่ได้มานั้นก็จะขึ้นอยู่กับภารกิจของแต่ละคนด้วย อย่างบางคนได้ภารกิจให้ว่ายลงไปหาเบาะแสในบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย ซึ่งหากทำสำเร็จ พลังที่เขาคนนั้นได้ก็จะเป็นพลังที่เกี่ยวกับน้ำ เป็นต้น
โดยความแข็งแกร่งของพลังพิเศษที่ได้ก็จะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของภารกิจรองด้วย ยิ่งเป็นภารกิจที่ยากและอันตรายถึงชีวิตมากเท่าไหร่ พลังที่ได้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งภารกิจรองที่แต่ละคนจะได้นั้น คนที่เข้าไปในโลกสยองขวัญจะต้องไปรับภารกิจรองจากผู้คนในโลกทางฝั่งนั้นเอาเอง มันจะไม่มีบอกตั้งแต่แรกเหมือนภารกิจหลัก
ความรู้ใหม่อย่างที่สอง หากใครต้องการเพียงแค่ทำภารกิจหลักเอาชีวิตของตัวเองให้รอดและกลับไปโลกความจริงโดยไม่ต้องการพลังพิเศษ คนคนนั้นก็สามารถหันไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เคยมีประสบการณ์ในโลกสยองขวัญมาแล้วหลายครั้งได้ แต่นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับนิสัยของแต่ละคนด้วย เพราะผู้มีประสบการณ์บางคนก็มักจะชอบหลอกใช้คนอื่นให้ไปตายแทนหรือทำภารกิจของตัวเองให้สำเร็จ แต่ถ้าเจอคนดีจริงๆก็ถือว่าโชคดีไป
ซึ่งผู้ที่ถูกดึงไปในโลกสยองขวัญนั้นก็จะถูกเรียกสั้นๆว่า'ผู้เข้าร่วม' มันเป็นชื่อที่ทุกคนต่างก็เข้าใจได้ในทันที นอกจากข้อมูลสำคัญๆสองอย่างนี้ มันก็ยังมีข้อมูลยิบย่อยอีกมากที่แซนเห็นผ่านๆตาแล้วจำได้บ้างไม่ได้บ้างอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ให้ทำตามกฎของสถานที่อย่างเคร่งครัด หรือ หลังเที่ยงคืนถึงตีสามของทุกวันเป็นเวลาที่ไม่ควรออกจากห้อง อะไรทำนองนี้
นอกจากนั้นก็จะเป็นคำเตือนที่ให้ระวังเหล่าวิญญาณร้ายให้ดีๆ ซึ่งแซนที่สนิทกับเหล่าวิญญาณอยู่แล้วก็ไม่ได้คิดมากอะไร เขาทำเพียงจดจำคำเตือนแต่ละข้อไว้ในใจเงียบๆด้วยความไม่ประมาทก็เท่านั้น
ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเตรียมข้อมูลพร้อมสำหรับการเข้าไปในโลกสยองขวัญครั้งแรกของตัวเองเรียบร้อยแล้วสินะ..
จะว่าไป นี่ก็เกือบเที่ยงแล้ว เขาควรไปหาอะไรกินรองท้องก่อนกลับห้องเช่าสักหน่อยดีกว่า
เมื่อคิดได้แบบนั้น แซนก็พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในเมือง แล้วกลับออกมาพร้อมห่อขนมปังหนึ่งห่อและน้ำขวดหนึ่งในมือ
ในความคิดของแซน ขนมปังเป็นเมนูที่ถูกและทำให้อิ่มที่สุดแล้วที่เขาพอจะหาได้ในร้านสะดวกซื้อ ราคาของพวกมันส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเกินยี่สิบบาทกันทั้งนั้น
ร่างบางเดินกินขนมปังระหว่างทางเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี เขายังคงไม่ลืมว่าเย็นนี้จะต้องซื้อโจ๊กไปฝากวิญญาณคุณลุงคนนั้นหรอกนะ แต่ว่านี่ยังไม่เที่ยงเลย แซนจึงตั้งใจว่าจะกลับไปนอนให้เต็มอิ่มสักงีบก่อนแล้วค่อยออกมาซื้ออีกรอบ
แต่ในขณะที่เขากำลังเดินผ่านตรอกไปยังห้องเช่าของตัวเอง จู่ๆภาพบรรยากาศรอบตัวของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยว ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นสถานที่ที่แซนไม่คุ้นเคยไปอย่างกะทันหัน
แซนรู้สึกตื่นตระหนก
เดี๋ยวก่อน ที่นี่ที่ไหน!?
แต่ทันใดนั้น แซนก็พลันนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ที่นี่..หรือว่าจะเป็นโลกสยองขวัญ!?
เขาก้มลงมากที่หลังมือของตัวเองทันที ก่อนจะพบว่าสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีดำนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับเลือด และในสามเหลี่ยมนั้นก็มีตัวเลขสีดำที่กำลังนับถอยหลังเป็นเวลาเจ็ดวันอยู่
เมื่อเห็นแบบนั้น แซนก็เข้าใจได้ในทันที ตอนนี้เขาได้เข้ามาอยู่ในโลกสยองขวัญแล้วจริงๆ..
แซนเริ่มหันไปสำรวจรอบๆตัว เขาพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่ในสวนหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง โชคดีที่ตอนนี้ยังคงเป็นตอนกลางวัน เขาจึงสามารถมองสำรวจไปบริเวณรอบๆได้อย่างรวดเร็ว
คฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ที่ดูเก่าแก่เป็นอย่างมาก และถึงแม้จะเก่าแก่ แต่ก็ยังคงดูงดงามอย่างน่าประหลาด ตัวของคฤหาสน์นั้นเน้นการตกแต่งด้วยสีทึบเป็นหลัก แม้แต่ดอกกุหลาบที่อยู่ในสวนก็ยังเป็นสีดำทั้งหมด
แซนไม่ได้คิดอะไรมากกับการตกแต่งของคฤหาสน์หลังนี้ ก็คนเรามีความชอบไม่เหมือนกันนี่เนอะ เจ้าของคฤหาสน์อาจจะชอบการตกแต่งแบบนี้ก็ได้
"เฮ้! นายคนนั้นน่ะ มือใหม่หรอ มารวมตัวกันตรงนี้ก่อนเร็ว!"
แซนเผลอสะดุ้งเมื่อจู่ๆเสียงตะโกนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง และเมื่อเขาหันไปมอง เขาก็พบว่านอกจากเขาแล้ว ในโลกสยองขวัญแห่งนี้ยังมีผู้เข้าร่วมอยู่อีกราวๆสิบกว่าคนเลยทีเดียว
แซนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา มีผู้เข้าร่วมมาที่โลกเดียวกับเขาตั้งหลายคนแหนะ!
เขารีบเดินเข้าไปรวมกลุ่มทันที ในกลุ่มนั้นมีทั้งชายและหญิงที่อายุแตกต่างกันหลายคนคละกันไป ทุกคนในกลุ่มดูมีประสบการณ์กันมาก่อนแล้วทั้งนั้น คงมีแต่แซนคนเดียวที่จะยังดูมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่
ชายหนุ่มคนแรกที่เอ่ยทักแซนพูดขึ้นอย่างใจดี อีกฝ่ายดูเป็นวัยรุ่นที่มีนิสัยร่าเริงเป็นกันเองคนหนึ่ง "มือใหม่หรอเราน่ะ ไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเลยหรอ"
แซนพยักหน้าตอบรับหงึกหงัก "ใช่ครับ นี่เป็นครั้งแรกของผมเลย"
"โอ้.." ชายหนุ่มที่คุยกับแซนมีท่าทางแปลกใจเล็กน้อย "งั้นก็สู้ๆนะ ไม่ต้องกังวล ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดหรอก แค่เกาะกลุ่มกันไว้และไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้วล่ะ"
เมื่อเห็นว่าแซนยังคงตั้งใจฟัง ชายคนนั้นก็เล่าต่อ
"ก่อนที่ภารกิจจะเริ่ม พวกเราจะมีเวลาเตรียมตัวกันประมาณสิบนาที หลังจากนั้นก็จะมีเอ็นพีซี- เอ่อ คนในโลกนี้มาพาพวกเราเข้าไป แต่ตอนนี้พวกเราก็สามารถหาเบาะแสได้แล้วนะ"
"..เบาะแส?"
แซนเอ่ยขึ้นอย่างงุนงง ดูเหมือนว่าหลังจากที่เขาเข้ามาที่โลกแห่งนี้ มันก็มีแต่เรื่องที่เขายังไม่เคยรู้มาก่อนผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เพราะข้อมูลที่เขาได้มาเมื่อเช้านั้นก็มีแต่ข้อควรระวังและคำเตือนเสียส่วนใหญ่ น้อยมากที่จะเจอรายละเอียดแบบนี้
"หากเรารู้เบาะแสว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่นี่ มันก็จะทำให้ของรางวัลจากภารกิจรองดีขึ้น" ชายคนเดิมพูดกระซิบ "อย่างดอกกุหลาบตรงนั้นก็อาจจะมีเบาะแสอะไรบางอย่างก็ได้นะ เราไปดูด้วยกันดีมั้ย"
แซนหันไปมองดอกกุหลาบอันงดงามสีดำในสวนตามที่อีกฝ่ายบอก ก่อนจะส่ายหน้าหวือ
ไม่เอาอ่ะ ดอกกุหลาบสีดำนั่นดูแพงมากเลยนะ เขาไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วยหรอก หากเข้าไปดูใกล้ๆแล้วทำมันเสียหาย เขาจะเอาที่ไหนไปชดใช้!
"นายไม่เอา งั้นฉันฝากนายไปเด็ดมาให้ดอกหนึ่งได้รึเปล่า ถือว่าเป็นค่าข้อมูลก็ได้ แค่ดอกไม้ดอกเดียวไม่เป็นอะไรหรอกน่า เดี๋ยวฉันขอไปหาเพื่อนทางนั้นก่อน"
เมื่อได้ยินแบบนั้น แซนก็พลันรู้สึกลังเลขึ้นมา เคยมีคำเตือนบอกว่าผู้เข้าร่วมในโลกสยองขวัญบางคนไว้ใจไม่ได้ แล้วคนตรงหน้าเขานี่ไว้ใจได้รึเปล่านะ?
__________________________
น้องง อย่าเลย อย่าไปเชื่อคนแปลกหน้าเลยดีกว่า (แต่ถ้าน้องเด็ดหมดสวนขึ้นมาจริงๆ ผีที่ไหนจะไปกล้าดุน้อง 555555)
สารภาพว่าแนวนี้แอบแต่งยากค่ะ ตอนเรื่องของน้องเรนเราก็แบบงูๆปลาๆมาก แต่เรามองว่ามันเป็นการท้าทายความสามารถอย่างหนึ่งของเราด้วย เพราะฉะนั้นเราจะสู้ค่ะ!
เรื่องนี้แต่ละตอนอาจจะไม่ได้ยาวถึงสามพันคำแบบเรื่องที่แล้วนะคะ อาจจะแค่สองพันกว่าคำเท่านั้นค่ะ (การบังคับตัวเองให้แต่งให้ได้สามพันคำต่อตอนนี่มันยากจริงๆนะ;-;;)
#นั่นผีนะครับแซน