webnovel

หญิงสาวผู้มากับวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ (ตอน 5)

'เสริมแกร่ง!' หยางจินผู้ที่ใช้ทักษะเสริมแกร่ง ทำให้เกิดพลังสีทองเคลือบทั่วร่างกายของเขา ส่งผลให้ร่างกายมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น จนตัวเขาเองก็ยังรู้สึกได้ เขาพุ่งตัวเข้าหาปีศาจก่อนเหอซู่ชิง หลังจากที่ผ่านการวางแผนมาในหัวของเขาแล้ว แต่ด้วยความที่เหอซู่ชิงเป็นนักเวทระดับก่อสมุทร ความเร็วของเธอจึงมีมากกว่าของหยางจินที่เป็นนักเวทระดับกำเนิดดิน อยู่ 1 ขั้น เป็นเหตุให้ถึงตัวปีศาจก่อนหยางจิน

"อะไรกัน! เร็วมาก แถมยังไม่สามารถจับพลังเวทได้อีก" ปีศาจคิดในใจขณะที่ถูกคมดาบเวทสีชมพูของเหอซู่ชิงตัดแขนซ้ายจนขาด ก่อนจะคิดต่อว่า "เธอคนนี้เป็นใครกันแน่!"

ความรวดเร็วของเหอซู่ชิงนั้นทำให้ตัวปีศาจเองยังแอบหวาดกลัว ก่อนที่ปีศาจจะกระโดดถอยหลังมาตั้งหลักตามสัญชาตญาณ

ทันใดนั้นเอง หยางจินที่วิ่งมาถึงทีหลัง เห็นท่าทีชะงักของปีศาจจึงง้างหมัดจะต่อยเข้าหน้าปีศาจ แต่กระนั้นปีศาจกลับไหวตัวทัน เอี้ยวหลบหมัดของเขาอย่างรวดเร็ว จนหมัดของเขาพุ่งต่อยลงพื้นเข้าอย่างแรง

ตู้ม… เสียงพื้นที่แตกเป็นเสี่ยงๆจากหมัดของหยางจิน ทำให้ตัวของเขาล้มลงอยู่ที่พื้น จากการที่มือติดเศษปูนอยู่บนพื้น เพราะความรุนแรงอันท่วมท้นของหมัดเสริมแกร่ง จึงทำให้ตัวเขาเองยังรู้สึกตกใจ ซึ่งเป็นจังหวะดีของปีศาจ เขาถูกเท้าขวาของปีศาจเตะเข้ากลางลำตัวอย่างจัง จนกระเด็นชนเข้ากับกำแพงด้านหลังตรงที่หยางอันนอนสลบอยู่ ทำให้กำแพงสุดหรูพังทลายลงจากแรงเตะของปีศาจ

"จิน!" หวังเสี่ยวเป่าและเหอซู่ชิงหันหน้ามองหยางจิน พร้อมอุทานพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งสองจะถูกเบี่ยงเบนความสนใจด้วยปีศาจที่กำลังกลายร่างกลับสู่ร่างจริง ในจังหวะที่ทุกคนกำลังหันมองหยางจินด้วยความเป็นห่วง

ร่างจริงของปีศาจตนนี้ที่กำลังค่อยๆกลายอยู่ร่างนั้น มีลักษณะเป็นผู้หญิงตัวขาวซีด ผมดำยาว ดวงตาสีดำล้วน เล็บมือยาวยื่นออกมาเหมือนกรงเล็บของสัตว์ สวมชุดนักเรียนหญิงโรงเรียนฉางเทียน ลอยตัวอยู่กลางอากาศ พลังออร่าสีดำพวยพุ่งออกมาเต็มทั่วห้อง จนทำให้เหอซู่ชิงกับหวังเสี่ยวเป่าผงะกับพลังที่เอ่อล้นนี้

ทางด้านของหยางจินที่ถูกชนเข้ากับกำแพงอย่างจัง แทนที่ร่างกายภายนอกจะเกิดการบอบช้ำ แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น ร่างกายภายนอกของเขานั้นยังคงปกติดี เนื่องจากเกราะเวทสีชมพูของเหอซู่ชิงที่เคยร่ายใส่ตัวเขาไว้ รับความเสียหายแทนจนแตกสลายหายไป เหลือไว้เพียงความชาหนึบตามร่างกาย เหมือนถูกไฟช็อต เขาพยายามขยับตัว แต่ทำได้เพียงขยับนิ้วเท่านั้น

ทักษะเสริมแกร่งที่เขาใช้ก็ค่อยๆหมดลง ทำให้พลังสีทองที่เคลือบร่างเขาทยอยจางลงจนหมด จากนั้นร่างกายของเขาจึงได้รับความเสียหายจากการใช้ทักษะนี้ ความเจ็บปวดคืบคลานเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ ทำให้เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว ราวกับถูกรถบรรทุกชน

เพราะความเจ็บปวดที่มากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้เขาต้องหาทางออกเพื่อลดอาการนี้ลง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนมีทักษะ ฟื้นฟู อยู่ เขาจึงรวบรวมความคิด แล้วท่องคาถาในใจว่า 'ฟื้นฟู!'

ทันทีที่เขาได้ใช้ทักษะนี้ ความเจ็บปวดที่เขาได้รับจึงทยอยหายไปอย่างช้าๆ แต่ร่างกายของเขายังมีความรู้สึกชาและเจ็บปวดไปทั้งตัวอยู่ เนื่องจากความเสียหายที่ได้รับนั้นมันมากเกินไป จึงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูร่างกายสักพัก ถึงจะกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

หยางจินพยายามสังเกตเหตุการณ์ต่างๆที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเขามองเห็นเหอซู่ชิงและหวังเสี่ยวเป่ากำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา โดยทั้งสองคนกำลังมองปีศาจกลายร่างกลับคืนสู่ร่างจริงด้วยความสิ้นหวัง ก่อนจะกวาดสายตาไปเห็นหยางอัน ซึ่งนอนสลบอยู่พร้อมมีเกราะป้องกันสีเขียวของหวังเสี่ยวเป่าคุ้มกันตัว

'ปีศาจกำลังกลายร่างอยู่ น่าจะใช้เวลาสักพัก ร่างจริงถึงจะสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นตอนนี้แหละเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะหนีออกมา' หยางจินรีบคิดพิจารณา ก่อนจะพิจารณาต่อว่า 'ถ้าเรารีบฮึดลุกขึ้นแบกเจ้าอัน ส่วนซู่ชิงกับเสี่ยวเป่าเป็นคนนำทาง แบบนี้น่าจะพากันออกไปได้นะ'

หยางจินคิดดังนั้น จึงฝืนร่างกายของเขาให้ลุกขึ้นมา ทั้งที่ร่างกายยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ แล้วจึงพูดกับหวังเสี่ยวเป่าและเหอซู่ชิงที่อยู่ตรงหน้าเขาว่า "พวกเรารีบหนีออกไปกันเถอะ! ก่อนที่มันจะกลายร่างจนสมบูรณ์"

"พวกเราหนีออกไปไม่ได้หรอก เพราะที่นี่คือ โลกอาดูร เป็นโลกที่คนภายนอกมองไม่เห็นและไม่สามารถออกไปได้ นอกซะจากจะต้องกำจัดปีศาจที่เปิดโลกนี้" หวังเสี่ยวเป่าพูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง

"ปีศาจตนนี้ ชื่อ อะวาเลส ในโลกของเรา เก่งเกือบถึงระดับลาสบอส เป็นขุนพลปีศาจที่เก่งกาจ ยากที่จะต่อกร" เหอซู่ชิงพูดเชิงท้อใจ ก่อนจะพูดต่อว่า "เราไม่คิดเลย ว่ามันจะมาถึงโลกนี้ได้" ซึ่งทำให้หวังเสี่ยวเป่ามีความเอะใจอยู่ลึกๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

'ปีศาจอะวาเลส เก่งเกือบถึงระดับลาสบอส และโลกที่เราอยู่ก็ดันเป็นโลกอาดูรหรือภายในจิต …และต้องกำจัดปีศาจก่อนถึงจะออกจากที่แห่งนี้ได้' หยางจินรีบคิดสรุป ก่อนจะคิดต่อว่า '...มันจะต้องมีทางออกอื่นอยู่แน่ๆ! ขนาดเราที่เพิ่งเป็นนักเวทกับเจ้าอันที่เป็นคนธรรมดายังเข้ามาได้เลย ทางเข้าไม่ได้มีทางเดียว งั้นก็แสดงว่าทางออกก็ไม่ได้มีทางเดียวเหมือนกัน'

"ไปกันเถอะ! เผื่อทางข้างจะมีทางออกอื่นอยู่" หยางจินพูดพร้อมเดินไปหาหยางอัน แล้วแบกหยางอันขึ้นบนหลังของเขา ถึงภายในร่างกายของเขาจะยังรู้สึกเจ็บปวดมากก็ตาม

หยางจินอดทนฝืนร่างกาย และทำตัวเหมือนยังแข็งแรงอยู่ เพราะไม่อยากทำให้เพื่อนทั้งสองของเขารู้สึกเสียขวัญไปมากกว่านี้

"จิน! เดี๋ยวเราใช้เชือกเวทช่วยเสริมให้อีกแรงนะ" เหอซู่ชิงพูด

หยางจินพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่เหอซู่ชิงจะทำการร่ายเชือกเวทสีชมพู ผูกมัดหยางอันเข้ากับหยางจิน เพื่อให้หยางจินคล่องตัวมากขึ้น

"แต่ยังไง…" หวังเสี่ยวเป่าพูด ก่อนที่หยางจินจะรีบพูดขัดจังหวะว่า "ทุกอย่างมันมีทางออกเสมอแหละ! ถ้าเราไม่เหนื่อยและท้อใจไปซะก่อน เราก็จะเจอทางออก" จนทำให้หวังเสี่ยวเป่ากับเหอซู่ชิงเริ่มรู้สึกมีความหวังเล็กๆ

พวกเขาพากันเดินออกมาจากห้องๆนั้น โดยที่หยางจินแบกหยางอันไว้บนหลัง ส่วนเหอซู่ชิงกับหวังเสี่ยวเป่าคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ หวังเสี่ยวเป่าทำการโปรยผงพลังเวทสีเขียวขณะเดิน เพื่อที่จะได้มองเห็นทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น พวกเขาเดินกันมาจนถึงครึ่งทางของทางเดิน ก็พบว่ามีกำแพงบาเรียขนาดใหญ่ขวางทางอยู่

"ถ้าหากทำลายกำแพงบาเรียนี้ได้ พวกเราก็จะออกไปได้แล้วล่ะ" หวังเสี่ยวเป่าพูดด้วยความท้อใจ

'เอาล่ะ …อาจารย์ครับ ช่วยวิเคราะห์กำแพงบาเรียนี้ทีครับ' หยางจินคิดถามอาจารย์ แต่ก็ไร้วี่แววที่อาจารย์จะตอบกลับมาแต่อย่างใด ทำให้เขาคิดได้ว่า เพราะตัวเขาอยู่ในโลกของอาดูรหรือภายในจิตรึเปล่า ถึงทำให้อาจารย์ไม่สามารถแทรกแซงหรือเข้ามาช่วยเหลือได้

'งั้น.. ถ้าเราใช้ทักษะเสริมแกร่งพังกำแพงเข้าไปล่ะ' หยางจินคิด ก่อนจะครุ่นคิดต่อว่า 'ตอนนั้นที่เราใช้ทักษะเสริมแกร่ง พลังเวทของเราโอบล้อมรอบตัวเรา ทำให้หมัดของเราแรงซะจนมือทะลุพื้นไปเลย …แต่ว่า ถ้าเราใช้ทักษะนี้แบบเฉพาะจุด ความแรงของหมัดเราจะเพิ่มขึ้นไหมนะ'

'เสริมแกร่ง!' ไม่รอช้าหยางจินทดลองใช้ทักษะเสริมแกร่งขณะที่แบกหยางอันไว้บนหลัง โดยทำจิตให้สงบ ก่อนที่จะเพ่งสมาธิไปที่มือของตนที่อยู่ตรงหน้า เขาใช้สมาธิขั้นสูงสุด จนทุกอย่างรอบตัวเขาเงียบไปหมด มีเพียงตัวเขาเพียงคนเดียว อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่มืดสนิทอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหายไป

ในที่สุดเขาก็สามารถใช้ทักษะเสริมแกร่งเฉพาะจุดได้สำเร็จ มือขวาของเขาที่อบอวนไปด้วยพลังเวทสีทองเอ่อล้นออกมา จนทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาตกใจ

ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของปิศาจเดินมาแต่ไกล ตึก.. ตึก… ตึก..

"ซู่ชิง ตอนนี้เธอใช้พลังเวทได้อีกเท่าไหร่" หยางจินถาม ที่เขาถามเช่นนี้เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เหอซู่ชิงเคยบอกเขาไว้ว่า เธอไม่ใช่คนในโลกนี้ พลังเวทที่เธอใช้จึงเป็นพลังเวทของเหอซู่ชิงในโลกนี้ ซึ่งเหมือนจะถูกจำกัดการใช้เอาไว้ เนื่องจากวิญญาณของเธอกับร่างนี้ยังเข้ากันได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้นานมากนัก

"เหลือไม่เยอะแล้วล่ะ แต่คิดว่าน่าจะพอสำหรับการยื้อเวลานะ" เหอซู่ชิงพูดเชิงรู้ความคิดของหยางจิน หยางจินจึงพยักหน้าตอบรับเบาๆ

"เสี่ยวเป่า ตอนนี้ยังสู้ไหวไหม" หยางจินถามต่อ เพราะเขาคิดว่า หวังเสี่ยวเป่าน่าจะมีความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้เป็นระยะเวลานาน

"ยังพอไหวอยู่" หวังเสี่ยวเป่าตอบอย่างเหนื่อยล้า ก่อนที่เขาจะโปรยผงพลังเวทสีเขียวเอาไว้รอบๆ ซึ่งหยางจินรู้ได้ทันทีเลยว่าน่าจะไม่ไหวหรอก เขาต้องรีบพังกำแพงบาเรียนี้โดยเร็วที่สุด

"ใครยังพอมีเวทป้องกันบ้าง" หยางจินรีบถาม

"เราเหลือแต่ฮู้โบราณที่ได้สืบต่อมาจากบรรพบุรุษอยู่" หวังเสี่ยวเป่าพูด ขณะเก็บกระบองยาวสีเขียวที่เกิดจากพลังเวทของเขาเข้าสู่ร่างกายไป พร้อมแกะฮู้โบราณที่ม้วนทำเป็นสร้อยคอออกมา หวังเสี่ยวเป่าคลี่ฮู้ออกมา ก่อนที่เหอซู่ชิงจะพูดว่า "ฮู้นี้ ถ้าเสริมพลังเวทของเจ้าของเข้าไป มันจะยิ่งมีพลังมากขึ้นและแกร่งขึ้นนะ"

หวังเสี่ยวเป่าฟังคำแนะนำของเหอซู่ชิง จึงลองทำตาม โดยการเพ่งสมาธิไปที่ฮู้โบราณของตนสักพัก จู่ๆ ฮู้โบราณก็เปล่งพลังเวทแสงสีเขียวออกมา เหอซู่ชิงจึงแนะนำต่อว่า "นายค่อยๆปล่อยมือออกจากฮู้ แต่ยังเพ่งสมาธิไปที่ฮู้อยู่ตลอด ค่อยๆเคลื่อนฮู้ให้ลอยอยู่กลางอากาศ ตรงหน้าของพวกเรา พลังของฮู้และพลังเวทของนายจะเป็นเกราะป้องกันพวกเราเอาไว้"

"และถ้าปีศาจทะลุเกราะป้องกันเข้ามาได้ เดี๋ยวเราจะเป็นคนสู้กับมัน เพื่อยื้อเวลาเอง" เหอซู่ชิงพูดต่อ ขณะที่หวังเสี่ยวเป่ากำลังสร้างเกราะป้องกันจากฮู้ของตน

หยางจินที่ฟังแผนการของเหอซู่ชิงดังนั้น เขาจึงวางใจและทำหน้าที่หลักของเขาต่อ คือ ทำลายกำแพงบาเรีย

หยางจินใช้หมัดพลังเวทของเขา ต่อยเข้าที่กำแพงอย่างแรง

ตึง.. กำแพงบาเรียดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กลับเป็นมือของเขาเองที่รู้สึกเจ็บปวดมากแทน 'ฟื้นฟู!' เขารีบใช้ทักษะฟื้นฟู ก่อนที่จะต่อยเข้าที่เดิมซ้ำๆ

ตึง.. 'ฟื้นฟู!' ตึง.. 'ฟื้นฟู!' ตึง.. 'ฟื้นฟู!' ตึง.. 'ฟื้นฟู!' … เขาต่อยตรงจุดเดิม เสริมด้วยทักษะฟื้นฟูเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้มันร้าวแล้วจะสามารถออกไปได้ ซึ่งทุกอย่างไม่ได้เป็นดั่งที่เขาคิดเอาไว้ กำแพงบาเรียยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่กลับเป็นมือของเขาเองที่เจ็บปวดหนักถึงขั้นสาหัส เขาแทบจะกำหมัดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

"ใครกำลังทำอะไรกับบาเรียของข้า!" เสียงแหบแห้งชวนขนลุกของปีศาจอะวาเลสดังขึ้น

ก่อนที่ปีศาจอะวาเลสจะเดินมาจนถึงหน้าเกราะป้องกันเวทของหวังเสี่ยวเป่า

"ดูสีหน้าของพวกเจ้าสิ! ช่างน่าขันเสียจริง" ปีศาจอะวาเลสพูดก่อนที่จะหัวเราะร่าออกมา "ฮ่า ฮ่า ฮ่า…"

"เร็วเข้า! จิน!" หวังเสี่ยวเป่าพูดเบาๆกับหยางจินที่กำลังต่อยกำแพงอยู่ไม่เลิก

"ที่ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าทั้งสองคนเมื่อตอนนั้น เพราะว่าเห็นเจ้าใช้พลังเวทได้ เลยคิดว่ามันน่าจะสนุกดี ถ้าได้เจ้ามาเป็นของเล่น …เนอะหวังเสี่ยวเป่า" ปีศาจอะวาเลสพูดขึ้น ทำให้หวังเสี่ยวเป่าถึงกับขนลุกซู่

"งั้น ข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้เป็นของเล่นให้หมดเลย แบบนี้หวังเสี่ยวเป่าจะได้ไม่เหงา" ปีศาจอะวาเลสพูดด้วยสีหน้ายียวน ก่อนจะพูดต่อพร้อมหัวเราะร่าว่า "เห็นไหม… ข้าใจดีจะตาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

ขณะเดียวกัน หยางจินที่กำลังต่อยกำแพงอยู่นั้น จึงพิจารณาว่า 'ทำไมกำแพงถึงไม่แตกล่ะ เราต่อยแรงขนาดนี้ แต่เดี๋ยวก่อน… ณ ตอนนี้ เราอยู่ในโลกอาดูรหรือภายในจิต แล้วถ้าเราแทรกแซงจิตของปีศาจอะวาเลสได้ล่ะ ก็น่าจะออกไปได้นะ'

หยางจินคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งถึงเรื่อง การแทรกแซงจิต ซึ่งจากการคาดเดาของเขาคิดว่า ระบบอาจารย์ที่อยู่กับเขาก็คืออยู่ภายในจิตของเขา แต่ตอนนี้ที่เขาไม่สามารถติดต่อกับอาจารย์ได้เป็นเพราะเขาเข้ามาอยู่ภายในจิตของปีศาจโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าจิตเขามีพลังมากพอที่จะแทรกแซง พวกเขาก็จะสามารถทะลุออกจากที่แห่งนี้ได้

จากนั้นเขาจึงคิดพิจารณาต่อว่า แล้วจะทำยังไงดีล่ะ เขาถึงจะแทรกแซงจิตของปีศาจตนนี้ได้ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่า 'ตอนนั้นที่เราเพ่งสมาธิไปที่หมัด เหมือนเราไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มืดมากๆ …หรือว่านั่นคือภายในจิตของเรา และถ้าเราเข้าสมาธิขั้นสูงสุด แล้วใช้หมัดต่อยเข้ากำแพงบาเรีย กำแพงอาจจะแตกก็ได้นะ'

หยางจินคิดได้ดังนั้น จึงพยายามทำจิตให้สงบทั้งๆที่มือขวาของตนยังสั่นไม่หยุด เพราะความเจ็บปวด เขาค่อยๆผ่อนลมหายใจเข้า-ออกอย่างช้าๆ ขณะที่แบกหยางอันไว้บนหลัง เพราะกลัวน้องของเขานั้นจะเป็นอันตราย จิตของเขาค่อยๆสงบขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดจิตของเขาสงบถึงขั้นสูงสุด เขาไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นใครนอกซะจากตัวของเขาเอง เขาเหมือนหลุดไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มืดสนิท จากนั้นเขาได้ทำการเพ่งสมาธิไปที่มือขวาของเขา เพราะทุกอย่างเงียบสงบมาก เขาจึงเพ่งสมาธิไปที่มือขวาได้อย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันปีศาจอะวาเลสที่เล็งเห็นหยางจินทำสมาธิได้ดังนั้น เริ่มรับรู้ถึงการถูกแทรกแซงภายในจิตของตน จึงรีบพุ่งตัวทะลุเกราะเวทสีเขียวของหวังเสี่ยวเป่าเข้ามา แต่ด้วยความที่พลังฮู้โบราณของหวังเสี่ยวเป่านั้นมีความแข็งแรง จึงเข้ามาได้เพียงท่อนบนของร่างกายเพียงเท่านั้น ปีศาจรีบใช้มือทำร้ายหวังเสี่ยวเป่า เพื่อหวังจะให้เขาเสียสมาธิแล้วเกราะเวทนี้จะได้แตกลง แต่ก็ไม่วายที่จะถูกคมดาบของเหอซู่ชิงต้านเอาไว้ ทั้งสองยื้อกันอยู่สักพักหนึ่ง

ทางด้านของหยางจิน มือขวาของเขาที่อบอวนไปด้วยพลังเวทสีทองอันล้นเหลือ พลังเวทบนมือเขาในตอนนี้มีมากกว่าเมื่อครู่อยู่มาก จนตัวเขาเองยังตกใจ เขาฝืนกำหมัดด้วยความยากลำบากแล้วต่อยไปยังอากาศภายใต้ความมืดมิดนั้น

ตึ้ม… เสียงภายในจิตของเขาดังขึ้น เขาลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่า กำแพงบาเรียถูกทำลายลง ด้วยน้ำมือของเขาเอง

รู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็อยู่หน้าบ้านของตระกูลซ่งไปซะแล้ว พวกเขาที่อยู่ในสภาพมอมแมม หยางอันที่ยังคงนอนสลบอยู่บนหลังของหยางจิน และเชือกเวทสีชมพูของเหอซู่ชิงก็หายไปทำให้หยางจินต้องรับน้ำหนักของหยางอันไปเต็มๆ

หยางจินนึกรู้สึกผิด ก่อนจะพูดกับทุกคนว่า "ขอโทษนะ"

"ไม่เป็นไร" "อืม" หวังเสี่ยวเป่ากับเหอซู่ชิงพูดพร้อมกัน

หยางจินที่ทนฝืนร่างกายเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า มือขวาที่เขาใช้ต่อยกำแพงบาเรียรู้สึกเจ็บปวดราวกับข้อมือหัก เขารีบรวบรวมสมาธิแล้วใช้ทักษะฟื้นฟูหลังจากหนีออกมาได้อีกครั้ง เพื่อลดอาการบาดเจ็บ 'ฟื้นฟู!'

หยางจินหันมองหยางอันที่นอนสลบอยู่ ก่อนจะคิดในใจว่า 'พี่ขอโทษนะเจ้าอัน' ก่อนที่หวังเสี่ยวเป่าจะรีบเรียกรถรับจ้างมา เพื่อพาพวกเขาไปโรงพยาบาลเซียนหนีซึ่งอยู่ใกล้ๆสถานที่แห่งนี้

หยางอันเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ซึ่งหยางจินและเพื่อนๆมีพยาบาลทำแผลกันอยู่อีกห้องหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะถูกย้ายมายังห้องเดี่ยวพิเศษจำนวน 4 เตียง ที่หยางจินเป็นคนออกเงินทั้งหมด

หยางจินที่อยู่ในสภาพเข้าเฝือกบริเวณมือขวา เนื่องจากเขาใช้มือขวาหนักเกินไป ยังดีที่เขาใช้ทักษะฟื้นฟูเอาไว้ก่อน มิเช่นนั้นเขาคงต้องเข้าห้องฉุกเฉินไปอีกคนเป็นแน่ ส่วนเหอซู่ชิงกับหวังเสี่ยวเป่านั้นยังอยู่ในสภาพที่ดีอยู่ อาการบาดแผลมีเพียงเล็กน้อย แต่มีความเหนื่อยล้าอย่างหาที่สุดมิได้แทน

หยางจินใช้มือซ้ายยกโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาอ่านโน๊ตในแชทที่กู่เฉาเฉากับกุ้ยฟงลงเอาไว้ ก่อนจะรีบโทรหากลุ่มเพื่อนของเขาอีกสองคนมารวมตัวกันที่โรงพยาบาลเซียนหนี

"จิ๊กซอว์ทั้งหมด ต่อครบแล้วล่ะ"