webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · History
Not enough ratings
339 Chs

ตอนที่ 140 โดนพิษ

ตอนที่ 140 โดนพิษ

เมื่อเห็นนัยน์ตาสีดำคู่สวยอันอบอุ่นเคลือบไว้ด้วยความประหลาดใจ หลินหลันรู้ได้ทันทีว่าเขาจดจำนางได้ ยิ่งส่งผลให้รู้สึกลุกลี้ลุกลนเข้าไปใหญ่ มุมปากที่ยกขึ้นด้วยความลำบากใจเผยให้เห็นรอยยิ้มแข็งทื่อและความรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง

ยังดีที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น เขายกสองมือขึ้นคารวะให้ โดยมีหลี่หมิงอวินคารวะกลับคืนเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายมิได้เอื้อนเอ่ยใดๆ ฮว๋าเหวินไป่เอี้ยวตัวเล็กน้อยแสดงถึงความต้องการให้พวกเขาเดินไปก่อน หลี่หมิงอวินพยักหน้าแล้วโอบหลินหลันเดินผ่านเขาไป

เดินออกมาได้สิบฝีก้าวก็ได้ยินข้ารับใช้ที่เดินตามหลังกล่าวขึ้นด้วยเสียงบางเบา “ท่านหมอฮว๋า ทางด้านนี้ขอรับ”

ฮว๋าเหวินไป่ดึงสายตากลับแล้วหันไปจดจ่อบนพื้นเบื้องหน้าซึ่งมีหิมะสะสมจนเป็นชั้นหนา เขาชื่นชมชื่อเสียงของนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่มาเนิ่นนานแล้ว วันนั้นที่ได้สนทนากับหลินเฟิงพักใหญ่ทำให้รู้สึกได้ว่าหลินเฟิงมีความรู้มากมายและมีไหวพริบอันชาญฉลาด จึงคิดว่าขนาดข้างกายนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ยังมีผู้ที่เก่งกาจถึงเพียงนี้เคียงข้าง เช่นนั้นทักษะการรักษาของนายหญิงสะใภ้รองท่านนี้จะเก่งกาจขนาดไหน ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าหรือหลินเฟิงก็คือนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ หลังความรู้สึกประหลาดใจบังเกิดขึ้น พอลองนึกย้อนไปถึงสีหน้าอันเก้ๆ กังๆ ของนายหญิงสะใภ้รองเมื่อครู่ ภายในใจก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย หากเมื่อครู่ไม่มองไปยังสายตาคู่นั้น บางทียังมีโอกาสให้ได้พูดคุยกันยาวๆ ในภายภาคหน้า ทว่ายามนี้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีอยู่เต็มอก เกรงว่าคงเป็นการยากที่จะได้พบเจอกันเสียแล้ว

ภายใต้แสงสว่างที่หลงเหลือ หลินหลันมองไปยังหมิงอวินและเห็นว่าเขาก็กำลังจ้องมองมาที่นางอยู่เช่นกัน เพียงแต่นัยน์ตาคู่ดำสนิทนั้นกำลังแฝงเอาไว้ซึ่งความห่างเหินอย่างไม่แยแส หลินหลันอดรู้สึกกังวลใจและคิดฟุ้งซ่านขึ้นมามิได้ เรื่องวันนั้นที่นั่งพูดคุยกับฮว๋าเหวินไป่ตลอดทั้งช่วงบ่ายนางลืมเล่าสู่ให้เขาฟังเสียสนิท และด้วยความใส่ใจนางของเขา คงต้องไปถามไถ่เหวินซานด้วยอย่างแน่นอน...

“คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อจะเชิญหมอผู้มีชื่อเสียงมาตรวจอาการป่วยของหลิวอี๋เหนียง เห็นได้เลยว่าความรักใคร่ของท่านพ่อที่มีต่อหลิวอี๋เหนียงว่ามากมายเพียงใด” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ซึ่งการหยอกล้อ

“เจ้ารู้จักเขาหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างเฉยเมย ท่อนแขนแกร่งที่เคยโอบกอดรอบเอวคอดของหลินหลันถูกชักกลับแล้วไพล่ไว้ที่ด้านหลังของเขาเอง

“รู้จักสิ! เจ้ายังจำได้หรือไม่ มีครั้งหนึ่งที่เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าตอนหน้าที่เป็นหมอกระดิ่ง หลังจากนั้นเกือบพบกับหัวหน้าฝ่ายงานของเจ้า เจ้าก็เลยไม่เดินเป็นเพื่อนข้าแล้ว โดยตัวเจ้าเองไปนั่งดื่มชาที่โรงน้ำชา ยามที่ข้าไปเดินเพื่อหาคนที่ต้องการการรักษาจึงเห็นเขาซึ่งกำลังเดินหาคนที่ต้องการการรักษาอยู่เช่นกัน นั่นถือว่าเป็นการพบเจอกันโดยบังเอิญคราแรก แล้ววันนั้นที่นัดเจรจากับผู้จัดหาวัตถุดิบยา เขาก็มาด้วยเช่นกัน เพราะวันนั้นข้าแต่งกายเป็นบุรุษ เขาซึ่งยังคงจดจำข้าได้แล้วคิดว่ามาจัดการงานแทนตระกูลหลี่ ก็เลยตกลงไปดื่มน้ำชาด้วยกัน ข้าได้ยินว่าเขาเป็นบุตรชายของเจ้าของร้านเต๋อเหรินถางจึงมีความนึกคิดอยากสักถามเกี่ยวกับเรื่องเออเจียว หลังจากนั้นก็เลยพากันไปนั่งที่โรงน้ำชา วันนี้เกรงว่าเขาคงจับได้แล้วก็เลยรู้สึกละอายแก่ใจชอบกล” หลินหลันอธิบายความเป็นมาเป็นไปของทั้งสองที่ได้รู้จักกันถ่ายทอดให้หมิงอวินรับฟัง และหวังอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่เข้าใจผิด

เขานิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ภายในตรอกอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงของรองเท้าที่เหยียบย่ำไปบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยหิมะชั้นหนาเตอะ...ยิ่งเข้าไปในตรอกลึกมากขึ้น หิมะท่ามกลางราตรีก็ยิ่งให้ความรู้สึกอันหนาวเหน็บและเงียบเหงายิ่งขึ้น

เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอตัวหลินหลันยังคงไม่ได้ยินเสียงพูดของเขา ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกไม่เป็นสุข อีกทั้งยังกังวลว่าเขาจะโกรธหรือไม่ นางได้อธิบายอย่างกระจ่างชัดแจ้งมากแล้ว ทว่าเขายังไม่เชื่อกันอีกหรือ ทีเรื่องของเขากับป๋ายฮุ่ย เขาไม่เคยอธิบายให้นางรับรู้เลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งเอาแต่เอ่ยว่านางต้องการอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ฟังดูเหมือนเขากับป๋ายฮุ่ยไม่มีเรื่องอันใดต่อกัน ทว่านางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ บัญชีนี้นางยังไม่ได้คิดกับเขาเลย!

ทันใดนั้นเขาก็ชะงักฝีก้าวกะทันหันแล้วหันหน้ามองนาง สีหน้าของเขาในยามนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนเกินกว่าจะอธิบายได้ “คราวหลังมิต้องแต่งการเป็นบุรุษอีกแล้ว”

แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าหลินหลันและฮว๋าเหวินไป่ไม่มีอันใดต่อกัน ทว่าสายตาที่ฮว๋าเหวินไป่มองนางเมื่อครู่ เขาถูกชะตานางอย่างมากทีเดียว ในฐานะบุรุษด้วยกัน เขาเข้าใจสายตาประเภทนั้นที่ส่งสัญญาณมาว่ามันคืออะไร มีความทั้งความประหลาดใจและเสียดายในเวลาเดียวกัน ฮว๋าเหวินไป่กำลังเสียดายอันใดหรือ มิใช่ว่าเขาคิดในแง่ร้ายต่อผู้อื่นจนเกินไป ทว่าเขามั่นใจว่าฮว๋าเหวินไป่มีความคิดเป็นอื่นต่อหลินหลันอย่างแน่นอน

หลินหลันชะงักไปชั่วขณะ ขณะที่กำลังจะกล่าวตอบก็เห็นเงาตะคุ่มๆ แวบผ่านเบื้องหน้าไป หลินหลันจึงส่งเสียงตะโกนขึ้นทันที “นั่นใครกำลังหลบๆ ซ่อนๆ อยู่น่ะ”

ยามที่หลี่หมิงอวินหันกลับไปมองก็ไม่เห็นเงาใครผู้นั้นเสียแล้ว เขาจึงหันมามองหลินหลันอีกครั้ง “เจ้ามิได้มองผิดไปใช่หรือไม่”

หลินหลันเดินขึ้นไปเบื้องหน้าไม่กี่ฝีก้าวเพื่อมองดูบริเวณที่เงาดำเมื่อครู่หยุดอยู่แล้วชี้นิ้วไปที่รอยเท้าซึ่งประทับเด่นชัดบนพื้นหิมะ “เจ้าดูสิ รอยเท้านี้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ออกมาจากด้านในของลานบ้านแล้วผ่านเข้าไปทางโถงด้านนี้”

หลี่หมิงอวินมองดูร่องรอยบนพื้นแล้วพูดกับหลินหลัน “คงมีคนไม่วางใจทางด้านหลิวอี๋เหนียงนี้อย่างแน่นอน อย่าเพิ่งสนใจเลย ท่านพ่อกำลังรอเจ้าอยู่!”

ทั้งสองรู้ดีแก่ใจ ต้องเป็นคนของแม่มดชราที่มาสอดส่องสถานการณ์อย่างแน่นอน

เมื่อเข้าไปถึงลานบ้านตะวันตก อาจินที่คอยเฝ้าอยู่ด้านข้างประตูก็ออกมาต้อนรับแล้วคารวะให้ทั้งสองด้วยความเคารพ “เหล่าเหยียกำลังรอเอ้อร์เส้าหน่ายนายอยู่ด้านในขอรับ”

หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม “เมื่อครู่มีผู้ใดเข้ามาหรือไม่”

นัยน์ตาของอาจินเปล่งประการชั่ววูบแล้วกล่าวตอบ “นอกจากท่านหมอฮว๋า ข้าน้อยก็มิเห็นผู้อื่นมาเลยขอรับ”

หลี่หมิงอวินพยักหน้าแล้วโอบหลินหลันเดินเขาไปด้านใน

ยังไม่ทันพ้นประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงร้องไห้ระงมของหลิวอี๋เหนียง เป็นเสียงร้องไห้ซึ่งชวนหดหู่อย่างยิ่ง “คาดไม่ถึงเลยว่านางจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ หากช้าไปอีกนิด ข้าน้อยก็คงถูกพรากชีวิตจากไปแล้ว...”

หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลใจไป ข้าให้คนไปตามหลินหลันมาแล้ว ไว้ให้นางช่วยตรวจเจ้าดูอีกที หากผลการตรวจของนางก็เป็นในทิศทางเดียวกัน ข้าจะจัดการให้เจ้าอย่างแน่นอน...”

เจี่ยนชิวที่อยู่หน้าประตูทางเข้าห้องเมื่อเห็นคุณชายรองและนายหญิงสะใภ้รองมาถึงจึงรีบส่งเสียงเข้าไปบอกกล่าวแล้วเลิกผ้าม่านเปิดขึ้นเพื่อเรียนเชิญทั้งสองเข้าสู่ด้านใน

“ท่านพ่อ...” ทั้งสองคนคารวะอย่างนอบน้อมให้แด่พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย

พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “หลินหลัน เจ้าช่วยตรวจอาการของหลิวอี๋เหนียงดูหน่อยสิว่าสรุปแล้วนางเป็นอันใดกันแน่”

หลี่หมิงอวินปลีกตัวออกไปอยู่ด้านนอกห้องอย่างรู้งาน

หลินหลันรู้ดีว่าทักษะการแพทย์ของฮว๋าเหวินไป่ล้ำเลิศอย่างยิ่ง การวินิจฉัยของเขาจึงไม่มีการผิดพลาดเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นนางจึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตรวจดูอาการของหลิวอี๋เหนียง

ดวงตาทั้งสองข้างของหลิวอี๋เหนียงแดงกล่ำ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา นางกำลังมองมาที่หลินหลันด้วยดวงตาอันเศร้าโศก

หลินหลันตรวจชีพจรเป็นทีเรียบร้อย หัวใจของนางกลับจมดิ่งลง นางกระซิบถามข้างใบหูของหลิวอี๋เหนียงหนึ่งประโยค หลิวอี๋เหนียงมีสีหน้าตกตะลึงเป็นลำดับแรกตามด้วยพยักหน้าเล็กน้อยภายใต้สีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “เอ้อร์เส้าหน่ายนายยังพอรักษาได้หรือไม่เจ้าคะ”

หลินหลันทำทีท่าอันหมายถึงให้เงียบไว้ก่อนแล้วลุกขึ้นไปเขียนใบสั่งยา ทันทีที่เขียนเสร็จก็ส่งมอบให้แด่พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลิวอี๋เหนียงเพียงแค่ได้รับความหนาวเย็นจนส่งผลต่อเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นผลให้มีอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย มิเป็นอันใดร้ายแรงเจ้าค่ะ ข้าสั่งจ่ายสองตัวยาให้นางซึ่งเป็นตัวยาปรับสมดุลเจ้าค่ะ”

พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมองดูใบสั่งจ่ายยาในมือด้วยสีหน้าเย็นชาและดวงตาอันแฝงไว้ซึ่งความเจ็บใจ ราวกับอดไม่ได้ที่จะลงมือจัดการตัวต้นต่อเสียเวลานี้หลังได้อ่านประโยคที่หลินหลันเขียนไว้หัวกระดาษว่า...ระวังมีผู้แอบไปรายงาย ทำให้เขาต้องสกัดกลั้นความเดือดดาลจนทั้งเรือนร่างแข็งทื่อ

หลิวอี๋เหนียงไม่เห็นใบจ่ายยานั่นและยังได้ยินหลินหลันพูดด้วยเสียงบางเบา จึงกล่าวขึ้นอย่างไม่เชื่อ “ทว่าหมอฮว๋าเอ่ยว่า...”

หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวานและกล่าวขัดคำพูดของนาง “ข้ามั่นใจในทักษะการแพทย์ของตนเองอยู่ไม่น้อยทีเดียว ตอนนั้นอาการป่วยของภรรยาท่านจิ้งปั๋วโหว์ ขนาดหมอหลวงต่างพูดกันว่าจนปัญญาแต่แล้วก็เป็นข้าที่รักษาจนหายดีได้มิใช่หรือ”

“ทว่า...” หลิวอี๋เหนียงยังคงคัดค้านหัวชนฝา เมื่อครู่นายหญิงสะใภ้รองยังถามนางอยู่เลยว่ามีจุดแดงๆ บนร่างกายในส่วนล่างของนางด้วยใช่หรือไม่ ท่านหมอฮว๋าผู้นั้นได้เอ่ยไว้ว่า อาการของพิษจากสารปรอทจะส่งผลให้เรือนร่างมีจุดแดงๆ แล้วยังมีอาการปวดท้องน้อยและอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย จากที่นายหญิงสะใภ้รองเอ่ยถามเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางเองก็รับรู้แล้ว ทว่าเหตุใดจึงเอ่ยว่าเป็นอาการของโพรงมดลูกที่ได้รับความเย็นไปได้

หลี่จิ้งเสียนกล่าวขึ้นมาเสียงดังฟังชัด “ข้าเชื่อถือในทักษะการรักษาของหลินหลัน ในเมื่อมิใช่อาการป่วยร้ายแรงก็ดีแล้ว”

หลินหลันหันไปเขียนใบจ่ายยาอีกสองแผ่น แผ่นหนึ่งเป็นยาที่ใช้ในบรรเทาพิษของสารปรอทและข้อควรระมัดระวังในการรับประทานอาหาร อีกแผ่นหนึ่งคือยาที่ปรับสมดุลโพรงมดลูก หลังจากนั้นก็มอบมันทั้งหมดให้แก่พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย

“ท่านพ่อเพียงแค่ซื้อยาตามใบสั่งยานี้แล้วให้หลิวอี๋เหนียงรับประทานเพื่อปรับสมดุลสักสองสามเดือนก็เป็นอันหายดีแล้วเจ้าค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่โพรงมดลูกจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติดี อย่าเพิ่งตั้งครรภ์จะเป็นการดีที่สุดเจ้าค่ะ” ระหว่างที่หลินหลันเอ่ย น้ำเสียงของนางก็ค่อยๆ เบาลง “ยังดีที่อาการป่วยของอี๋เหนียงกำเริบขึ้นมา หากโชคดีตั้งครรภ์แล้ว เกรงว่าจะส่งผลให้สถานการณ์เลวร้ายไปยิ่งกว่านี้ ถึงทารกในครรภ์มิเสียชีวิตแต่ก็อาจทำให้พิกลพิการไปได้ ด้วยวิธีการนี้ มันช่างโหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรมเกินไปหน่อยนะเจ้าคะ... เพียงแต่อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ต่อให้ท่านพ่อโกรธเกรี้ยวมากเพียงใด ก็ต้องรอให้ผ่านพ้นปีใหม่ไปก่อนแล้วค่อยคิดจัดการ อีกอย่างท่านพ่อก็จำเป็นต้องหาหลักฐานให้ได้ด้วย...เมื่อครู่หลานเห็นใครบางคนออกไปจากลานบ้าน เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เห็นเสียแล้ว หมิงอวินถามไถ่อาจิน ทว่าอาจินกลับเอ่ยว่าไม่เห็นผู้ใดสักคนเจ้าค่ะ”

หลี่จิ้งเสียนหน้าซีดเผือดด้วยความโกรธที่เกินจะบรรยาย นังแก่ที่สมควรตาย นอกจากจะใช้วิธีที่อันเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ ยังกล้าติดตามความเคลื่อนไหวของเขาอย่างลับๆ อีก หลี่จิ้งเสียนนำใบจ่ายยาขจัดพิษยัดใส่ช่องในแขนเสื้อแล้วเอ่ยพูดกับหลินหลัน “พ่อเข้าใจแล้ว ลำบากเจ้าแล้วที่ต้องตากลมหิมะมาถึงนี่” หลังจากนั้นก็ตะโกนเรียนอาจิน

อาจินขานรับแล้วเข้ามาทันที เขาก้มหน้ารับฟังคำสั่งการ

หลี่จิ้งเสียนนำใบจ่ายยาตัวปลอมส่งให้อาจินแล้วกล่าวสั่งการ “เจ้ารีบไปร้านขายยาเพื่อนำตัวยาเหล่านี้มาให้เร็วที่สุด”

อาจินรับใบจ่ายยาไว้แล้วออกไปทันที

หลินหลันย่อเข่าลงในท่าคารวะอย่างนอบน้อม “เช่นนั้นลูกขอตัวกลับก่อนแล้วเจ้าค่ะ”

หลี่จิ้งเสียนถอดถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “เจ้ากลับไปก่อนเถิด! ด้านนอกนั่นเจ้าคงรู้ดีว่าควรพูดอย่างไร”

หลินหลันยิ้มอ่อนหวาน “ลูกเข้าใจความหมายของท่านพ่อทั้งหมดเจ้าค่ะ”

หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้หลินหลันกลับไปก่อน

หลี่หมิงอวินกล่าวถามทันทีที่เห็นนางออกมา “อาการป่วยของหลิวอี๋เหนียง...”

หลินหลันกล่าวแย้งขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ไว้กลับไปค่อยว่ากัน”

ในห้องปีกข้าง ณ เรือนหลั้วเซี๋ยจาย หยินหลิ่วกลับมาเรียกอวี้หลงให้ไปเข้างานต่อ หน้าที่กะกลางคืนปกติแล้วจะเป็นหยินหลิ่วและหรูอี้กลุ่มหนึ่ง ส่วนอีกกลุ่มคืออวี้หลงและป๋ายฮุ่ย

“อวี้หลง หรูอี้ออกไปกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายแล้ว คาดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะ ข้าปูที่นอนไว้ให้เรียบร้อยแล้ว โถน้ำร้อนก็คลุมเอาไว้แล้ว น้ำร้อนยังอุ่นอยู่บนเตา ยังมีของว่างมื้อดึก ข้าวหมากสุรานั่นข้ามคืนก็คงไม่อร่อยแล้ว กุ้ยซ่าวเลยทำหูถาวต้านฮวาเกิง[footnoteRef:1]ซึ่งกำลังตุ๋นอยู่น่ะ...” [1: หูถาวต้านฮวาเกิง (胡桃蛋花羹) เมนูอาหารรองท้องชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมหลักคือข้าวเหนียว วอลนัท อินทผลัมสีแดงและเกลือเล็กน้อย เคี่ยวผสมกันจนเหนือเสมือนโจ๊ก]

อวี้หลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะๆ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าวางใจเถอะ! ข้าจะไปกันเดี๋ยวนี้ล่ะ ป๋ายฮุ่ย พวกเราไปกันเถอะ!”

ป๋ายฮุ่ยที่กำลังนั่งปักดอกไม้อยู่บนที่นอนของตนเอง เมื่อได้ยินอวี้หลงเรียกนาง นางจึงเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ แล้วกลับมองไปยังหยินหลิ่วอย่างเย็นชาพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “หยินหลิ่วลำบากเข้างานต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน! ”

อวี้หลงไม่ทราบเหตุการณ์ระหว่างหยินหลิ่วและป๋ายฮุ่ยเมื่อก่อนหน้านี้ จึงกล่าวเชิงหยอกล้อ “มิใช่ว่าวันนี้เจ้าอยากแอบอู้ขึ้นมาหรอกหรือ”

ป๋ายฮุ่ยแสยะยิ้ม “ข้าหรือจะกล้า! เพียงแต่ในเมื่อใครบางคนไม่วางใจให้คนเขาคอยอยู่ปรนนิบัติข้างๆ ถึงเพียงนั้น เช่นนั้นคงทำได้แค่ตัวนางเองต้องเหนื่อยขึ้นอีกหน่อยแล้วล่ะ”

จิ่นซิ่วที่อยู่ข้างๆ สะกิดป๋ายฮุ่ยแล้วกล่าวเสียงบางเบา “พี่ป๋ายฮุ่ย นี่เจ้าเป็นอันใดไปหรือ ไปโกรธใครเขามา”

ป๋ายฮุ่ยไม่ส่งเสียงใดๆ อีก นางก้มหน้าลงแล้วทำงานเย็บปักต่อไป

หยินหลิ่วรู้สึกรำคาญป๋ายฮุ่ยมาพักใหญ่แล้ว จะด้วยอะไรอื่นไปได้นอกเสียจากนางจ้องแต่จะเข้าไปอยู่ข้างกายนายน้อยอยู่เรื่อย พอนางได้เห็นเช่นนั้นทีไรก็รู้สึกรำคาญอย่างยิ่ง หยินหลิ่วจึงแสยะยิ้มแล้วกล่าวออกไป “เจ้าไม่ไปทำหน้าที่ เรื่องนี้มิใช่ข้าพูดแล้วเป็นอันจบ เจ้าคงต้องไปถามแม่โจวเองหรือไม่ก็ถามเอ้อร์เส้าหน่ายนายดู ส่วนทางด้านเอ้อร์เส้าเหยียนั่นเจ้ามิต้องไปถามหรอก เพราะถามไปก็เท่านั้น”

ป๋ายฮุ่ยหน้าเสีย นางโยนสะดึงปักผ้าในมือลงบนพื้น “หยินหลิ่ว วันนี้เจ้าพูดออกมาให้กระจ่างทีเถอะว่าข้าทำผิดอันใดแล้วหรือเจ้าถึงต้องชักสีหน้าเช่นนี้”

หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ป๋ายฮุ่ยพูดน่าตลกเสียจริง ผู้ใดบ้างที่จะมิรู้ว่าเจ้าที่คอยปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเทียบกับผู้อื่นจึงต้องให้ความเคารพเสียหน่อยและมิแน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจได้ยกระดับขึ้นเป็นอี๋เหนียง ใครจะกล้าชักสีหน้าใส่เจ้าหรือ”

จิ่นซิ่วได้ยินทั้งสองพูดจาใส่กันอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบกล่าวเกลี้ยกล่อม “ทุกคนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น มีอันใดก็ค่อยพูดค่อยจากันเถิด”

อวี้หลงเข้าใจถึงสถานการณ์เบื้องหน้าเป็นอย่างดี ความนึกคิดของป๋ายฮุ่ย ในที่แห่งนี้มีผู้ใดบ้างที่จะไม่รู้ เพียงแต่นางและหยินหลิ่วเป็นผู้ติดตามนายหญิงน้อยมา แน่นอนว่าต้องมีใจเข้าข้างนายหญิงของตนเป็นธรรมดาและคอยนึกคิดถึงความรู้สึกของนายหญิง ขณะที่คนอื่นๆ จะอย่างไรก็นับว่าเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่กับป๋ายฮุ่ยมาหลายปี มิตรภาพความรู้สึกจึงแน่นแฟ้นเป็นพิเศษ เกรงว่าจะอดมิได้ที่พากันคาดหวังให้ป๋ายฮุ่ยได้ขึ้นนั่งตำแหน่งอนุภรรยา

ป๋ายฮุ่ยโมโหจนจิตใจร้อนรุ่มและกล่าวขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “ผู้ใดเขาต้องการขึ้นเป็นอี๋เหนียงหรือ พวกเราในฐานะทาสรับใช้มีเพียงจิตใจที่คิดว่าจะปฏิบัติต่อผู้เป็นนายอย่างไรให้ดีที่สุดและทำให้เต็มที่สุดความสามารถของตนเองก็เป็นพอแล้ว หรือว่าการที่ข้าทำเสื้อผ้าให้เอ้อร์เส้าเหยียก็ต้องถูกเจ้าเยาะเย้ยด้วยหรือ”

หยินหลิ่วกล่าวกระแหนะกระแหน “ใช่สิ พี่ป๋ายฮุ่ยน่ะช่างใส่ใจในละเอียดเป็นที่สุด มีน้ำใจมากที่สุด ความนึกเมื่อเทียบกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็ยังรอบครอบยิ่งกว่า แถมยังเอาใจใส่เอ้อร์เส้าเหยียมากยิ่งกว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายเสียอีก”

ป๋ายฮุ่ยโมโหจนดวงตาแดงระเรื่อ “เจ้าหยุดพูดจาเลอะเทอะไร้ยางอายได้แล้ว คนที่ ณ ที่แห่งนี้มีผู้ใดบางที่ไม่คิดปฏิบัติต่อผู้เป็นนายอย่างสุดหัวใจและสุดความสามารถหรือ เหตุใดถึงต้องด่าว่าข้าเพียงผู้เดียวด้วย”

อวี้หลงเกรงว่าทั้งสองจะทะเลาะกันขึ้นมาจนได้ ไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบ ทว่าหากเป็นการทะเลาะกันด้วยเหตุนี้แล้วถูกแม่โจวหรือเอ้อร์เส้าหน่ายนายรับรู้เข้าแล้ว คงต้องถูกลงโทษกันพอดี เอ้อร์เส้าหน่ายนายยิ่งกำชับเสมอว่าให้ทุกคนสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ความนึกคิดของป๋ายฮุ่ยก็มิใช่ว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายมองไม่ออก! คงต้องวางแผนจัดการไว้ด้วยแน่นอน แล้วใยพวกนางต้องออกตัวมีปัญหากับป๋ายฮุ่ยด้วยเล่า นางจึงรั้งหยินหลิ่วแล้วกล่าวออกไป “เจ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อย หากให้แม่โจวรับรู้เข้าระวังจะโดนลงโทษเอาได้”

เดิมทีหยินหลิ่วยังอยากจะดึงประโยคทิ่มแทงออกมาพูดอีกสักสองสามประโยค จะได้ให้ป๋ายฮุ่ยตาสว่างขึ้นมาบ้าง ทว่าสีหน้าดุดันของอวี้หลงกับชุดรั้งนางเอาไว้จึงทำได้เพียงสะกดอารมณ์โมโหกลับลงไปแล้วสบถฮึ หลังจากนั้นจึงไปนั่งบนตำแหน่งที่นอนของตนเอง

จิ่นซิ่วเมื่อเห็นป๋ายฮุ่ยร้องไห้ออกมาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเคืองหยินหลิ่วอยู่เล็กน้อย “ทุกคนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น อยู่กันดีๆ แท้ๆ แล้วนี่เหตุใดต้องมีปัญหากันขึ้นมาด้วย” ระหว่างนั้นก็ช่วยส่งผ้าเช็ดหน้าให้ป๋ายฮุ่ยเช็ดน้ำตา “อย่าร้องเลยนะ อีกเดี๋ยวหากใครมาเห็นเข้าจะคิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หากเจ้าอารมณ์ไม่ดี คืนนี้ข้าไปทำงานแทนเข้าก็ได้!”

หยินหลิ่วที่เพิ่งดับอารมณ์ไฟโทสะของตนเองลงไปกลับถูกจิ่นซิ่วจุดมันขึ้นมาอีกระรอก นางจึงกล่าวเชิงเหน็บแนม “จิ่นซิ่ว เจ้าก็อย่ามีน้ำใจมากเกินไปเลย แย่งหน้าที่ดีๆ ของเขา เดี๋ยวคนเขาจะหงุดหงิดใจเอาได้นะ”

ป๋ายฮุ่ยกล่าวทั้งน้ำตา “ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าเป็นที่พึงพอใจของเอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแต่ไหนแต่ไร และคงอยากที่จะขับไล่พวกเราเหล่านี้ออกไปให้ไกลๆ จะได้เหลือเพียงพวกเจ้าที่คอยปรนนิบัติเจ้านาย ก็ได้ เดี๋ยวข้าจะไปลาออกเดี๋ยวนี้ ให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายส่งข้าออกไปเสีย จะได้สมใจพวกเจ้าเสียที” นางลงจากเตียงเตาขณะเอ่ยด้วยต้องการออกไปข้างนอก

จิ่นซิ่วจึงรีบคว้าแขนนางเอาไว้ “พี่ป๋ายฮุ่ย พี่อย่าเลอะเถอะน่า พวกเราล้วนลงนามสัญญาประเภทรับใช้จนวันตาย แล้วจะลาออกได้อย่างไรกัน อีกอย่าง เจ้ามิได้ทำเรื่องอันใดผิดเสียหน่อย เหตุใดต้องละทิ้งหน้าที่เพียงเพราะคำพูดของคนข้างๆ ด้วย นี่มิเท่ากับทำร้ายจิตใจผู้เป็นนายหรอกหรือ”

อวี้หลงมองไปยังหยินหลิ่วและขอให้นางอดกลั้นไว้ ใยเจ้าต้องพูดเสียมากมายเช่นนี้ด้วย ทว่าเมื่อป๋ายฮุ่ยเริ่มเอ่ยปากด้วยคำว่าพวกเจ้าพวกข้า ซึ่งแสดงออกถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มันทำให้นางมิอาจทนฟังอย่างเงียบๆ ต่อไปได้จึงกล่าวขึ้น “พี่ป๋ายฮุ่ย ข้าและหยินหลิ่วถึงจะเป็นผู้ที่ติดตามเอ้อร์เส้าหน่ายนายมา ทว่าเอ้อร์เส้าหน่ายหาได้เข้าข้างข้าและหยินหลิ่วไม่ เอ้อร์เส้าหน่ายนายปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมมาโดยตลอด การที่เจ้าพูดจาเช่นนี้ หากเอ้อร์เส้าหน่ายนายได้ยินเข้า เช่นนั้นคงต้องรู้สึกเจ็บปวดด้วยความผิดหวังอย่างแน่นอน”

ป๋ายฮุ่ยตระหนักได้ทันทีว่าตนเองพูดในสิ่งที่มิควรพูดออกไป ชะตาชีวิตในหน้าที่การงานของตนเองภายภาคหน้าล้วนอยู่ในมือของนายหญิงน้อยทั้งสิ้น หากคำพูดนี้ทำให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่พึงพอใจ คงหนีไม่พ้นเรื่องเลวร้ายที่อาจตามมาได้ “ข้าหรือจะกล้ามิให้ความเคารพต่อเอ้อร์เส้าหน่ายนาย เป็นหยินหลิ่วต่างหากที่พูดจาชวนโมโหเกินไป”

อวิ๋นอิงซึ่งอยู่ด้านนอกกล่าวขึ้น “เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาแล้ว”

อวี้หลงกล่าวขึ้นทันที “จิ่นซิ่ว เจ้าไปคอยปรนนิบัติกับข้าก่อนแล้วกัน ป๋ายฮุ่ย เจ้ารีบใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นประคบดวงตาเสียแล้วค่อยตามมา”

หลินหลันและหลี่หมิงอวินเมื่อกลับมาถึงห้องและไม่เห็นผู้ใดมาคอยปรนนิบัติ หลินหลันจึงเอ่ยถามหรูอี้ “วันนี้เป็นหน้าที่ของอวี้หลงและป๋ายฮุ่ยใช่หรือไม่”

หรูอี้ดับไฟในโคมที่ถือมาแล้ววางเก็บเข้าทีพลางกล่าวตอบ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปดูเดี๋ยวนี้ บางทีพวกนางอาจคิดว่าเอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายคงมิได้กลับมาไวเช่นนี้จึงไปยุ่งเรื่องอื่นแล้วกระมังเจ้าคะ!”

ทันใดนั้นอวี้หลงและจิ่นซิ่วก็เข้ามา อวี้หลงไปปรนนิบัตินายน้อยเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนจิ่นซิ่วรับหน้าที่ปรนนิบัตินายหญิงเช็ดเครื่องประทินความงาม หลินหลันมองเห็นนัยน์ตาอันไม่เป็นสุขของจิ่นซิ่วจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เหตุใดวันนี้ถึงเป็นเจ้ามา แล้วป๋ายฮุ่ยล่ะ”

จิ่นซิ่วกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ “เมื่อครู่ป๋ายฮุ่ยปวดท้อง ข้าน้อยจึงมาแทนนางก่อนชั่วครู่เจ้าค่ะ”

หลินหลันนิ่งเงียบ ไม่เก็บเอามาใส่ใจ

หลังหลี่หมิงอวินเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาแล้วออกมาเป็นที่เรียบร้อย อวี้หลงก็กล่าวขึ้น “กุ้ยซ่าวตุ๋นหูถาวต้านฮวาเกิงไว้เจ้าค่ะ ต้องการให้ข้าน้อยไปยกมาให้หรือไม่เจ้าคะ”

ระหว่างพูดอยู่นั้น ป๋ายฮุ่ยก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินเข้ามาโดยในมือถือถาดเอาไว้ นางกล่าวด้วยเสียงอันนุ่มนวล “นี่คือหูถาวต้านฮวาเกิงที่เพิ่งตุ๋นเสร็จเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายดื่มให้ร่างกายอุ่นๆ สักชามนะเจ้าคะ!”

หลินหลันมองไปยังป๋ายฮุ่ยแวบสายตาหนึ่งและเห็นดวงตาที่แดงระเรื่อของนางเสมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา หลังจากนั้นจึงมองไปยังอวี้หลงที่กำลังหลุบสายตาลง “วางไว้เถอะ!” หลินหลันอย่างอ่อนโยน

หลี่หมิงอวินกลับกล่าวอย่างเฉยเมย “ล้างหน้าบ้วนปากแล้ว ไม่กินของหวานเหล่านี้แล้วล่ะ อวี้หลง ช่วยไปชงชามาทีสิ”

อวี้หลงขานรับแล้วออกไปชงชา

ป๋ายฮุ่ยเผยสีหน้าอึดอัดใจอย่างไม่รู้ตัว

หลินหลันแอบถอดถอนหายใจ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ! มิต้องอยู่ปรนนิบัติที่นี่แล้ว”

จิ่นซิ่วโน้มตัวโค้งลงไปเบื้องหน้าและกล่าวลา เมื่อเห็นป๋ายฮุ่ยยังคงตะลึงงึนอยู่ตรงนั้นจึงเข้าไปกระตุกชายแขนเสื้อของนางอย่างเบามือ ป๋ายฮุ่ยถึงได้ย่อเขาลงคารวะแล้วออกไปพร้อมกับจิ่นซิ่ว

อวี้หลงชงชาร้อนมาให้แล้วนำมันไปวางลงเบื้องหน้าของนายน้อย “อวี้หลง ช่วยข้าเปลี่ยนชุดทีสิ” หลินหลันกล่าว

ทั้งสองเดินเรียงรายเข้าห้องน้ำไป

“ป๋ายฮุ่ยเป็นไรไปหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม

อวี้หลงกล่าวเสียงบางเบา “มิได้เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ”

หลินหลันถลึงตาโตใส่ “เจ้ายังปิดบังข้าอีกหรือ”

อวี้หลงรีบกล่าวทันควัน “ข้าน้อยมิบังอาจเจ้าค่ะ มิรู้เช่นกันว่าก่อนหน้านี้หยินหลิ่วไปหาเรื่องอันใดป๋ายฮุ่ยเข้า ทั้งสองเลยมีปากเสียงกันนิดหน่อยเจ้าค่ะ...”

หลินหลันเข้าใจได้ในทันที คงเป็นเรื่องก่อนหน้าที่หยินหลิ่วกระแหนะกระแหนป๋ายฮุ่ยที่ทำเสื้อผ้ามาให้หมิงอวินอย่างแน่นอน ซึ่งทำให้ป๋ายฮุ่ยคงไม่พึงพอใจขึ้นมา “เจ้าบอกให้หยินหลิ่วอย่าก่อเรื่อง ปีใหม่ทั้งที อย่าพาลให้ไม่มีความสุขกันเลย เรื่องของป๋ายฮุ่ย ข้ามีวิธีจัดการของข้า”

อวี้หลงกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

ระหว่างรอหลินหลันออกมา หลี่หมิงอวินขึ้นไปอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนอน อวี้หลงช่วยเติมถ่านลงในอ่างไฟเล็กน้อยหลังจากนั้นถึงได้ออกไป

หลี่หมิงอวินกล่าวระหว่างที่หลินหลันกำลังจะขึ้นเตียง “เจ้านอนด้านนี้เถอะ! ข้าอยู่ฝั่งด้านนอกจะได้อ่านหนังสือสะดวกหน่อย”

“ไม่เอา ตำแหน่งที่เจ้านอนแล้วมันอุ่นดี” หลินหลันดันเขาให้เขยิบเข้าไปฝั่งด้านใน

หลี่หมิงอวินจึงทำเพียงเขยิบตัวเข้าไปด้านในเพื่อหลีกให้

หลินหลันดึงแขนข้างหนึ่งของเขามาหนุนแล้วซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา

หลี่หมิงอวินปิดหนังสือแล้ววางลงด้านข้างแล้วจึงกระชับแขนกอดนานแน่นขึ้นมาเล็กน้อย “มือของเจ้ามักจะเย็นเฉียบอยู่เรื่อย”

“เพศชายเป็นหยาง เพศหญิงเป็นหยิน สตรีจึงกลัวหนาวมากกว่าเล็กน้อย” หลินหลันนำมือสอดเข้าไปใต้เสื้อของเขาเพื่อรับความอบอุ่นแต่นั่นทำให้เขาถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความเย็นที่สัมผัสลงไป

“อาการป่วยของหลิวอี๋เหนียง...” เขาเอ่ยถามหลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก

หลินหลันกล่าวอย่างหดหู่ “แม่มดชราวางยาพิษใส่นาง น่าจะเป็นสารปรอท ด้วยใช้ในปริมาณที่น้อยมากจึงส่งผลให้ออกอาการอย่างช้าๆ ถ้าหากพบเจอช้าไปอีกนิด เกรงว่าภายภาคหน้าหลิวอี๋เหนียงคงมีลูกมิได้ง่ายๆ แล้ว หากนางควบคุมปริมาณยาไม่ดี อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตก็เป็นไปได้”

เขาถึงกับชะงักลมหายใจ ระหว่างนั้นก็กอบกุมมือน้อยๆ ของหลินหลันที่อยู่ใต้เนื้อผ้าอย่างแน่นขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

“คนผู้นี้จิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว”