webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · History
Not enough ratings
339 Chs

ตอนที่ 040 ความภักดีนี้เป็นของผู้ใด

ตอนที่ 40 ความภักดีนี้เป็นของผู้ใด

ขณะที่กำลังรับประทานมื้อเย็น หลินหลันนำเรื่องที่เยี่ยซินเอ๋อร์ต้องการเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์กับนางเล่าสู่หลี่หมิงอวินให้ได้รับรู้ ทันทีที่หลี่หมิงอวินรับฟัง เขาก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ ออกมา

“เจ้าช่วยพูดอะไรหน่อยสิ!” หลินหลันอยากได้ยินความคิดเห็นของหลี่หมิงอวินที่มีต่อเรื่องนี้ว่าคิดอย่างไร

หลี่หมิงหวินเงยหน้ามองนาง นัยน์ตาคู่ล้ำลึกราวกับมหาสมุทรฉายเพียงความนิ่งสงบและสว่างไสว เขาไม่แสดงอาการความรู้สึกใดๆ ในระหว่างที่เอ่ยขึ้น “เจ้าเองก็ได้ตอบตกลงไปแล้วนี่”

จากการที่ได้คลุกคลีกันในหลายวันมานี้ หลินหลันก็พอจะรู้ถึงนิสัยใจคอของเขาอยู่บ้าง เมื่อใดที่เขามีความสุขก็จะยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย เมื่อใดที่ไม่มีความสุขก็ยังสามารถยิ้มออกมาได้เช่นกัน แต่ทว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาไร้ซึ่งการเผยสีหน้าอารมณ์ใดๆ นั่นมั่นใจไว้ได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกไม่พึงพอใจ

“แล้วข้าไม่ตอบตกลงได้ด้วยหรือ เช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าข้าเป็นคนแล้งน้ำใจเอามากๆ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังถือโจ๊กรังนกมาให้ข้าชามหนึ่งด้วย” หลินหลันส่งเสียงออกแนวโวยวายเพื่อแก้ต่างให้แก่ตนเอง

หยินหลิ่วและอวี้หลงที่อยู่ด้านข้างต่างขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับโดยมิได้นัดหมาย นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เสี่ยวเจี่ยะรองได้ใกล้ชิดเส้าเหยียมากขึ้นหรอกหรือ

หลี่หมิงอวินกล่าวในใจ ถึงขั้นถือโจ๊กรังนกมาให้ด้วย?

“อวี้หลง เจ้าไปบอกเสี่ยวเจี่ยะรองว่าช่วงกลางวันเส้าฟูเหรินต้องอ่านหนังสือเป็นเพื่อนข้า ดังนั้นทุกวันจะมีเวลาว่างเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นก็คือช่วงห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ค่อยให้นางมาเวลาดังกล่าว” หลี่หมิงอวินครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยสั่งการอวี้หลง

อวี้หลงเข้าใจความหมาย การที่เส้าเหยียกำหนดเวลาอย่างชัดเจนให้แก่เสี่ยวเจี่ยะรองเช่นนี้ ก็เพื่อเมื่อถึงเวลาดังกล่าวเส้าเหยียจะได้หลบหน้าออกไป นี่คงเป็นทางออกเดียวที่พอจะทำได้

“ข้าน้อยจะไปบอกกล่าวให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” อวี้หลงฉีกยิ้มแล้วเดินออกไป

หลี่หมิงอวินก้มหน้ารับประทานอาหารต่อ สองวันมานี้ เขาค่อยๆ คุ้นชินในการใช้มือซ้ายกินอาหาร เพียงแต่การขยับเขยื้อนอาจจะช้าไปเสียหน่อย แต่นั่นยิ่งทำให้เห็นท่าทางที่อ่อนโยนชัดเจนยิ่งขึ้น

หยินหลิ่วมองดูเส้าเหยียที่กำลังกินแต่ข้าวเปล่า ไม่คีบตักอาหารสักอย่าง ขณะที่เส้าฟูเหรินเอาแต่นั่งหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลาอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่ากำลังโมโหตัวเองหรือกำลังโมโหเส้าเหยียกันแน่ จึงเข้าไปตักน้ำซุปหนึ่งถ้วยให้แก่เส้าเหยีย “เส้าเหยีย ดื่มน้ำซุปสักคำเถอะเจ้าค่ะ! เส้าฟูเหริน ท่านก็ดื่มสักถ้วยนะเจ้าคะ นี่คือน้ำซุปที่ตุ๋นกับปลาตัวเล็กๆ ซึ่งเพิ่งจับได้จากแม่น้ำวันนี้เองเจ้าค่ะ รสชาติอร่อยสดใหม่อย่าบอกใครเชียวนะเจ้าคะ” ขณะที่กำลังเอื้อนเอ่ยออกไปหยินหลิ่วก็จัดการตักน้ำซุปให้นายหญิงหนึ่งถ้วยด้วยเช่นกัน แล้ววางลงอย่างเบามื้อตรงเบื้องหน้าของนายหญิง

หลินหลันรู้สึกอึดอัด นางเองก็ไม่ได้อยากตอบตกลง ทว่าคนเขาไม่อายหน้าที่จะเอ่ยปากร้องขอมาเอง......

หลี่หมิงอวินเหลือบสายตามองนาง นัยน์ตาของเขาดูอ่อนโยนลง แล้วเอ่ยพูดขึ้นอย่างไม่เก็บเอามาใส่ใจ “ตอบตกลงไปแล้วก็ช่างเถอะ อีกทั้งไม่ใช่เรื่องต้องกังวลอะไร ก็แค่เจ้าทั้งต้องช่วยข้าจดบันทึก ทั้งช่วยสอนเปี่ยวเหม่ย แล้วยังต้องคิดค้นส่วนผสมยา แค่เกรงว่าเจ้าจะเหนื่อยเกินไปเท่านั้นเอง”

ได้ยินคำพูดชวนรื่นหูเช่นนี้แล้ว อีกทั้งยังใส่ความเป็นห่วงที่มีต่อนางลงไปด้วย หลินหลันจึงค่อยๆ กลับมาอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย จึงเอื้อมมือไปนำซุปปลาซึ่งวางอยู่เบื้องหน้าหลี่หมิงอวินหยิบเอามา

“เอ้...ข้ายังไม่ได้ดื่มเลยนะ!” หลี่หมิงอวินมองนางอย่างประหลาดใจ เขาก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรนางเสียหน่อย เหตุใดจึงไม่ยอมให้ดื่มซุปนั่นเสียแล้ว

หลินหลันมุ่ยปาก “สองวันนี้เจ้ากินยาจีนเข้าไป ดังนั้นรับรู้รสชาติของปลาไม่ได้หรอก”

ทางด้านหยินหลิ่วเข้าใจว่าตนเองสับเพร่าไปเสียแล้ว จึงรีบร้อนกล่าวขออภัย

หลินหลันฉีกยิ้ม “ครั้งหน้าจำเอาไว้ก็พอแล้ว” พูดขึ้นแล้วก็ตักน้ำซุปปลาขึ้นมาชิมดู เมื่อได้ลิ้มรสสักครู่แล้ว จึงจงใจแกล้งแหย่ให้ใครบางคนให้โกรธ ด้วยการกล่าวเชยชม “ซุปปลานี้ช่างอร่อยจริงๆ เดี๋ยวเจ้าช่วยกลับบอกผู้คุมกรรเชียงเรือว่า ให้นางตกปลาสดใหม่มาทุกวันจะเป็นการดีที่สุด ไม่ว่าจะนำมาตุ๋นกินหรือทอดกินก็อร่อยทั้งนั้น”

“เส้าฟูเหรินชอบกินปลาทว่านี่ไม่ใช่ของที่จะได้กันมาอย่างง่ายดายน่ะสิเจ้าคะ ต่อให้ผู้คุมเรือเหวี่ยงแหทุกวันก็ใช่ว่าจะได้อะไรติดขึ้นมาเช่นนี้ทุกครั้งไปนะเจ้าคะ”

“หยินหลิ่ว เจ้าช่วยบอกผู้คุมกรรเชียงเรือว่าช่วงนี้ข้าได้รับบาดเจ็บที่มือ กำลังต้องกินยา จึงไม่อาจรับรู้รสชาติของปลาได้ บอกนางให้รอข้าหายบาดเจ็บแล้วค่อยทำซุปปลามาใหม่” หลี่หมิงอวินคีบผักสีเขียวขึ้นมาพลางพูดอย่างเนิบๆ ขณะนั้นเองแววตาเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาที่หลุบตาลงเล็กน้อย

หลินหลันรู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง “เจ้านี่ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย”

หลี่หมิงอวินเชยสายตาขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “ข้าก็แค่อยู่ใกล้หมึกจึงติดสีดำ[footnoteRef:1]เข้าให้” [1: อยู่ใกล้หมึกจึงติดสีดำ(近墨者黑) เป็นสำนวนหนึ่งที่ให้ความหมาย ว่า ใกล้คนหรือสภาพแวดล้อมเช่นไร ก็จะเป็นไปตามเช่นนั้น]

หลินหลันกัดฟันอย่างโกรธเคือง “เจ้าสิเป็นหมึก ทั้งท้องของเจ้าก็เต็มไปด้วยน้ำหมึก และอวัยวะภายในก็ล้วนเป็นสีดำทั้งหมดด้วย หยินหลิ่วเจ้าอย่าได้ฟังเขา ทำตามที่ข้าบอกเป็นอันพอ”

หยินหลิ่วมองไปยังเส้าเหยียสลับกับมองไปยังเส้าฟูเหรินด้วยความลำบากใจ ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อฟังผู้ใดดี

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อยขณะมองไปยังหลินหลัน “ข้าคิดว่าข้าควรส่งจดหมายไปยังร้านขายยาฮู๋จี้สักฉบับ ให้บรรดาศิษย์พี่ของเจ้าส่งของขวัญเหมือนเดิมนั่นมาให้อีกชุด”

หลินหลันมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอันน่าสะอิดสะเอียนของเขาและการแสดงท่าทีราวกับผู้ชนะ ในใจจึงพร่ำสาปแช่งเขารัวๆ ชายหนุ่มผู้นี้ช่างกล้าใช้สิ่งนี้เพื่อคุกคามนาง ทว่านางกลัวการถูกคุกคามที่ไหนกันเล่า หลินหลันยิ้มอย่างมีอะไรแอบแฝง ก่อนจะโบกปัดมือไปทางหยินหลิ่ว “เจ้าออกไปก่อน”

หลี่หมิงอวินเดิมที่แค่อยากแกล้งหยอกล้อนางก็เท่านั้น ใครใช้ให้วันเวลาบนเรือมันน่าเบื่อเสียขนาดนี้ล่ะ! แต่ทันทีที่รอยยิ้มของหลินหลันปรากฏ ก็ทำให้เขารู้สึกถึงรางที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

หยินหลิ่วตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดังนั้นการทีนายหญิงขอให้นางออกไปจึงช่วยให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันที ไม่รีรอรีบเพ่นหนีไปจากสถานการณ์แห่งความขัดแย้งนี้อย่างรวดเร็ว

หลินหลันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่ใช่รอยยิ้ม “แค่เจ้าเขียนจดหมายไป ถึงตอนนั้นคงทำให้เหล่าศิษย์พี่พากันหัวเราะเยาะกันยกใหญ่ แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าแล้วกัน”

ในใจของหลี่หมิงอวินเริ่มรู้สึกเสียศูนย์ ทว่ากลับทำเป็นปากแข็งเอาไว้ “มีอะไรให้น่าขำ”

หลินหลันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ใช้ยาเหล่านั้น หากไม่ใช่ว่าตนเองไม่ได้เรื่อง ก็เป็นพวกบ้ากาม แล้วเจ้าคาดหวังว่าบรรดาศิษย์พี่ของข้าจะคิดว่าเจ้าเป็นประเภทไหนดีล่ะ” ขณะพูดก็มองไปที่เขาด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน

การต่อสู้กับผู้คน บางครั้งมันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะหน้าหนากว่ากัน กับคนอย่างหลี่หมิงอวินที่หนังหน้าบางเสียเช่นนี้ แล้วยังจะมาพูดถึงยาปลุกอารมณ์ทางเพศงั้นหรือ ต่อให้เขายืมเอาความกล้ามาสิบเท่า ก็ยังไม่ทำให้เขากล้าพอด้วยซ้ำ

ใบหน้าของหลี่หมิงอวินแดงก่ำ และเป็นเขาที่พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ จึงก้มหน้าก้มตากินอาหารและไม่พูดออกมาอีก

หลินหลันดื่มซุปปลาอย่างผ่อนคลาย จงใจแสดงสีหน้าอารมณ์ที่แสนดื่มด่ำไปกับความเอร็ดอร่อย แล้วยังถอนหายใจขึ้นมาเป็นครั้งคราว “ซุปปลานี้ช่างรสชาติอร่อยเสียจริงอ่า!”

คนตรงหน้าที่เดิมหน้าแดงก่ำกลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำคร่ำเครียด

อวี้หลงไปยังห้องของเสี่ยวเจี่ยะรอง และได้ถ่ายทอดสิ่งที่หมิงอวินเส้าเหยียได้กล่าวไว้ โดยจงใจเน้นว่านั่นคือสิ่งที่เส้าเหยียเป็นผู้พูด

ดูเหมือนว่าเยี่ยซินเอ๋อร์จะไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มของนางยังคงอ่อนโยนเช่นเดิม รวมถึงน้ำเสียงก็ยังคงนุ่มนวล “ความปรารถนาเล็กๆ ของข้ากำลังทำให้เปี่ยวเกอและพี่สะใภ้ของข้าลำบากเสียแล้ว เจ้ากลับไปบอกเส้าฟูเหรินว่าหลังจากนี้ข้าจะไปช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มเพื่อให้นางช่วยสอน”

แล้วเอ่ยเรียกหลิงอวิ้นหลังจากพูดจบ “แบ่งเชอร์รี่ที่เพิ่งได้มาใหม่วันนี้ออกมาครึ่งหนึ่งแล้วให้อวี้หลงนำไปให้เส้าเหยียและเส้าฟูเหรินได้ชิมตอนยังสดใหม่”

หลิงอวิ้นตอบรับ ทว่าในใจกลับรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย เสี่ยวเจี่ยะตั้งแต่ออกเดินทางมาก็ทานอะไรไม่ค่อยลงมาโดยตลอด วันนี้เรือได้เข้าเทียบฝั่ง แม่ติงนึกขึ้นมาได้ว่าเสี่ยวเจี่ยะชอบกินเชอร์รี่ จึงตั้งใจสั่งให้คนขึ้นฝั่งไปตามหา จนในที่สุดก็ได้มาหนึ่งตะกร้าเล็กๆ

“ได้ยินมาว่าเจ้าก็มีอาการเมาเรือเช่นกัน เดิมทีควรจะได้พักผ่อนให้เต็มที่ แต่มือของเส้าเหยียดันเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาเสียได้ คงเป็นการลำบากต่อเจ้ามากจริงๆ” เยี่ยซินเอ๋อร์ถอดปิ่นปักผมประดับทับทิมที่ติดอยู่บนมวยผมออกแล้วยัดมันใส่ลงไปบนมืออวี้หลง

อวี้หลงตระหนกตกใจ เสี่ยวเจี่ยะรองทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน รีบร้อนส่ายหน้าพัลวัน “เสี่ยวเจี่ยะรอง อย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ การรับใช้เจ้านายเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นข้ารับใช้อย่างพวกเราเจ้าค่ะ”

เยี่ยซินเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แล้วเหตุใดจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ข้าต้องเรียนการแพทย์กับเส้าฟูเหริน วันหลังคงต้องรบกวนเจ้าอยู่ไม่น้อย หากเจ้าปฏิเสธนั่นคงแสดงให้เห็นว่าเจ้ามองข้าเป็นคนอื่นคนไกลผู้หนึ่ง”

อวี้หลงลังเลใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะรับเอาปิ่นปักผมมากุมไว้ในมือแล้วแสดงท่าคาราวะ “อวี้หลงขอขอบพระคุณเสี่ยวเจี่ยะรองสำหรับรางวัลชิ้นนี้เจ้าค่ะ”

หลังจากอวี้หลงออกจากห้องไป ใช้เวลาครุ่นคริดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงตรงไปยังห้องของแม่โจว

แม่โจวมองไปยังปิ่นปักผมนั้นอย่างตกตะลึงในทันทีทันใดก่อนจะเปลี่ยนไปใช้สมาธิ นี่คือของขวัญที่ท่านหญิงชราให้แก่นางเมื่อครั้งครบรอบวันคล้ายวันเกิดเมื่อตอนอายุสิบเอ็ดปีของเสี่ยวเจี่ยะรอง ทับทิมที่ฝังอยู่นั้นไม่ใช่อย่างดีที่สุด แต่ก็มีราคาไม่น้อยเช่นกัน การที่เสี่ยวเจี่ยะรองแสดงความมีน้ำใจเช่นนี้ ทำให้เห็นได้ว่านางยังไม่ยอมถอดใจง่ายๆ เรื่องการเป็นสามีภรรยาแบบปลอมๆ ของหลินหลันกับเส้าเหยียถูกปิดบังไว้อย่างแน่นหนา ผู้ที่รู้เรื่องนอกเสียจากเจ้าของเรื่องทั้งสองคน ก็มีเพียงท่านชายชราและท่านหญิงชราและนางเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่เสี่ยวเจี่ยะรองจะรับรู้ถึงรายละเอียดส่วนนี้เข้า เสี่ยวเจี่ยะรองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือยินยอมที่จะลดทอนคุณค่าตัวเองไปเป็นมือที่สามเช่นนั้นหรือ แม่โจวส่ายหน้า เสี่ยวเจี่ยะรองแม้ดูมีนิสัยที่อ่อนโยน ทว่าความจริงแล้วนั้นมีความหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก การเข้าไปเป็นมือที่สามของผู้อื่นเช่นนั้น ต่อให้นายท่านตอบรับส่งเดชไปแล้ว เสี่ยวเจี่ยะรองก็คงไม่สามารถยอมให้ตัวเองเผชิญความไม่ยุติธรรมได้หรอก จึงอยากจะเทียบชั้นเท่าหลินหลันเช่นนั้นหรือ แม่โจวส่ายหน้าขึ้นมาอีกครั้ง การคาดเดาทั้งหมดในใจ แต่ละอย่างล้วนทำให้นางอดที่จะรู้สึกหวั่นใจไม่ได้เลย

อวี้หลงมองแม่โจวที่กำลังดูไม่สบายใจ ตอนนี้เสี่ยวเจี่ยะรองมีความคิดที่จะพึ่งพานาง นางเองเป็นเพียงแค่สาวรับใช้ผู้หนึ่งก็เท่านั้น จึงไม่สามารถเปิดเผยออกไปอย่างตรงๆ ต่อผู้เป็นนายได้ แต่ทว่านางก็จะไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของผู้ใดเป็นอันขาด

“เจ้าเอาเก็บไว้ก่อนแล้วกัน! ทางด้านเสี่ยวเจี่ยะรองหากมีความเคลื่อนไหวอันใด ก็รีบมารายงานทันที” แม่โจวครุ่นคิดชั่วขณะแล้วยื่นปิ่นปักผมคืนให้แก่อวี้หลง

อวี้หลงเอ่ยตอบรับ ก่อนจะถามขึ้นอีก “เช่นนั้น...เรื่องนี้ต้องบอกเส้าฟูเหรินหรือไม่เจ้าคะ”

แม่โจวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งครึม “บอกนางไว้ก็ดีเหมือนกัน หากนางเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย ในใจก็คงจะพอเดาออกได้ถึงความเป็นไป อีกทั้งจะได้ไม่สงสัยระแวงใจในตัวเจ้า”

อวี้หลงหลังจากได้รับคำแนะนำก็รู้สึกสบายใจขึ้น กล่าวลาแม่ของโจวแล้วถือเชอร์รี่กลับไปยังห้องของเส้าฟูเหริน

หลี่หมิงอวินหลังจากรับประทานมื้อเย็นเป็นที่เรียบร้อย จึงออกไปรับอากาศบริสุทธิ์บนดาดฟ้าบริเวณส่วนท้ายเรือ โดยมีหยินหลิ่วไปคอยให้การปรนนิบัติ ภายในห้องจึงเหลือเพียงหลินหลันซึ่งกำลังค้นคว้าตัวยาสูตรพิเศษแบบฉบับของนาง ยาเหล่านี้ นางอยากจะทำขึ้นมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ว่าด้วยความยากจนจึงไม่มีเงินซื้อวัตถุดิบยา อีกทั้งยังเกรงว่าจะถูกท่านอาจารย์และบรรดาศิษย์พี่พากันเห็นต่าง ตอนนี้ค่อยดีหน่อย ด้วยความร่ำรวยของตระกูลเยี่ย เพียงแค่นางเอ่ยปากสั่งซื้อ ไม่ว่าต้องการวัตถุดิบยาอะไรก็ล้วนได้ทั้งหมดตามที่ต้องการ และเนื่องจากท่านอาจารย์และบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลายไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย นางจึงสามารถทำการทดลองได้เท่าที่ใจต้องการ

“เส้าฟูเหริน...”

หลินหลันกำลังขะมักขะเม้นในการนำหนิวหวง[footnoteRef:2]มาบดขยี้ให้กลายเป็นผง ได้ยินอวี้หลงเอ่ยเรียกนาง จึงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ากลับมาได้จังหวะพอดีเลย ช่วยข้าบดสิ่งเหล่านี้ให้เป็นผงทีสิ” [2: หนิวหวง (牛黄) cow bezoar หรือโคโรค เป็นก้อนนิ่วหรือก้อนหินปูนที่เกิดในถุงน้ำดีของวัวบ้าน สมัยก่อนวัวที่ตายด้วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี(gall stone) จะมีตาสีแดงก่ำ สันนิษฐานว่าเป็นนิ่วโดยหมอจะผ่าเอาก้อนนิ่วนั่นมาใช้ทำยา]

อวี้หลงวางเชอร์รี่ลงแล้วรีบเข้ามาช่วยในทันที

เมื่อเห็นเส้าฟูเหรินซึ่งกำลังยุ่งวุ่นวายภายใต้ท่าทีเริงร่า อวี้หลงก็เกิดลังเลที่จะเอ่ยปากพูดออกไป “เส้าฟูเหริน ข้าน้อยมีเรื่องที่ต้องการรายงานเจ้าค่ะ”

“เจ้าว่ามาเลย!” หลินหลันคาดเดา จะเป็นเรื่องที่เยี่ยซินเอ๋อร์รู้สึกไม่พึงพอใจหลังจากได้ยินการจัดการของหลี่หมิงอวินใช่หรือไม่

“ข้าน้อยได้นำคำพูดของเส้าเหยียถ่ายทอดให้แก่เสี่ยวเจี่ยะรองแล้วเจ้าค่ะ” อวี้หลงแสดงสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความสับสนกังวล

“อ่อ? แล้วเสี่ยวเจี่ยะรองว่าอย่างไรบ้างหรือ” แม้สีหน้าของหลินหลันจะดูเหมือนไม่สนใจเท่าไหร่นัก ทว่าในใจกลับกำลังอยากรู้อยากเห็นอยู่พอตัว

“เสี่ยวเจี่ยะรองกล่าวว่า นางจะมาเรียนรู้ในช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มตามที่ได้แจ้งเอาไว้เจ้าค่ะ และเพื่อแสดงการขอบคุณ เสี่ยวเจี่ยะรองจึงให้ข้าน้อยนำเชอร์รี่ครึ่งตะกร้ามาให้เส้าเหยียและเส้าฟูเหรินได้ชิมดูเจ้าค่ะ” อวี้หลงเอ่ยพลางชี้ไปที่ตะกร้าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

หลินหลันรำพึงรำพันอยู่ในใจ เยี่ยซินเอ๋อร์ยังคงมุ่งมั่นอยู่อีกรึ!

“เสี่ยวเจี่ยะรองยังให้รางวัลสิ่งนี้แก่ข้าน้อยอีกด้วย...” อวี้หลงหยิบเอาปิ่นปักผมออกมาให้นายหญิงของตนดู

ขนาดทับทิมช่างเม็ดใหญ่ชะมัด ทันใดนั้นหลินหลันก็รู้สึกว่าตนเองยากจนเสียจริง คนอื่นเขาให้รางวัลข้ารับใช้กันทีล้วนเป็นสิ่งของที่ดีกว่าของที่นางซื้อมาจากร้านรุ่ยฝู๋เสียอีก

“ในเมื่อเป็นของที่เสี่ยวเจี่ยะรองให้เป็นรางวัล เจ้าก็เก็บเอาไว้เถอะ!” หลินหลันฉีกยิ้มเล็กน้อย

“เส้าฟูเหริน...” อวี้หลงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “เส้าฟูเหรินโปรดวางใจได้ ในใจของอวี้หลงมีเจ้านายแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ”

หลินหลันอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าวอย่างติดตลก “มีแค่เพียงผู้เดียวจริงๆ หรือ”

หลังจากได้ยินเช่นนี้อวี้หลงก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนกแล้วคุกเข่าลงบนพื้น และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหล่าฟูเหรินได้มอบอวี้หลงให้แก่เส้าฟูเหริน อวี้หลงจึงรับเส้าฟูเหรินเป็นนายหญิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น และจะจงรักภักดีต่อเส้าฟูเหรินเท่านั้นเจ้าค่ะ”

หลินหลันคาดไม่ถึงว่าประโยคล้อเล่นเพียงประโยคเดียวจะทำให้อวี้หลงหวาดกลัวเช่นนี้ จึงรีบช่วยประครองนางลุกขึ้น ก่อนจะหัวเราะแล้วกล่าวขึ้น “เจ้าช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงๆ ข้าเพียงล้อเล่นกับเจ้าและเจ้าก็คิดเป็นจริงเป็นจังเสียได้ หากเจ้าไม่ดี ข้าคงส่งเจ้ากลับคืนเหล่าฟูเหรินตั้งไปนานแล้ว ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้วที่จะพาเจ้าและหยินหลิ่วไปยังเมืองหลวงด้วยกัน นั่นหมายถึงว่าข้าเชื่อใจพวกเจ้า แม้ว่าข้าจะมีภูมิหลังที่ต่ำต้อย แต่ก็รู้ดีว่าการหวาดระแวงใครต่อใครนั้นไม่ได้ช่วยอะไร วันนี้เราได้เปิดใจคุยกันก็ดีแล้ว การไปเมืองหลวงในครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายเพียงใดที่กำลังรออยู่ แต่ข้าเชื่อว่าตราบใดที่นายและข้ารับใช้ยังมีใจรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าอุปสรรคอันตรายจะใหญ่หลวงเพียงใดก็จะสามารถผ่านพ้นไปได้”

นางไม่สนใจหรอกว่าในใจของอวี้หลงแท้จริงแล้วนั้นผู้เป็นนายที่แท้จริงคือเหล่าฟูเหรินที่เฟิงอานท่านนั้นหรือเป็นนางกันแน่ เพราะว่าสำหรับนางและเหล่าฟูเหรินต่างก็ล้วนมีจุดประสงค์เดียวกัน

อวี้หลงเมื่อได้ยินดังกล่าวก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น ขณะเดียวกันนัยน์ตาของนางก็เผยให้เห็นถึงความมั่นคงแน่วแน่ “คำพูดของเส้าฟูเหริน อวี้หลงจดจำใส่ใจแล้วเจ้าค่ะ”