webnovel

ท่วงทำนองในสายฝน (Melody in the rain)

สำหรับ “ท้องฟ้า” สายฝนคืออ้อมกอดอันอบอุ่น ตั้งแต่เล็กจนโตเธอมักหนีออกไปเล่นน้ำฝนอยู่บ่อย ๆ ทุกครั้งที่ฝนตก ท้องฟ้าจะรู้สึกอบอุ่นผ่อนคลาย ราวกับว่า “ใครบางคน” กำลังโอบกอด ปลอบประโลม และช่วยชะล้างความไม่สบายใจทั้งมวลให้หมดสิ้นไป โดยเฉพาะความเศร้าจากฝันร้ายที่หลอกหลอนเธอมาตั้งแต่เด็ก ภาพหญิงสาวในชุดสีแดงสดเปื้อนเลือดยังติดตาเธออยู่เสมอ ท่ามกลางสายฝนในคืนพระจันทร์เต็มดวง เลือดสาดกระจายไปทุกทิศ แต่หญิงสาวในชุดสีแดงก็ยังคงร่ายรำอยู่ท่ามกลางหยาดเลือดอย่างไม่รู้จักจบสิ้น “ระบำสีเลือด” คือคำที่เธอใช้เรียกความฝันนั้น ความรักที่มีให้ต่อสายฝนและความหวั่นกลัวจากฝันร้ายนี้ผูกพันกับเธอมาตลอดตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบใหญ่ เป็นความผูกพันที่เธอเองก็ไม่อาจหาคำอธิบายได้ กระทั่งวันหนึ่งสายฝนที่เธอรักก็ไม่ได้มาพร้อมกับเสียงสายฟ้าที่คุ้นชิน แต่กลับมีเสียงบรรเลงลอยคลอมาด้วย ท่วงทำนองประหลาดหากแต่ให้ความรู้สึกแสนคุ้นเคย ท้องฟ้าไม่รู้เลยว่านับตั้งแต่วินาทีนั้นชีวิตของเธอจะไม่อาจเหมือนเดิมได้อีก

Aksorn · Fantasy
Not enough ratings
8 Chs

The little frog loves rain I

ดาริกากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหาร ขณะที่อรุณผู้เป็นสามีกำลังยกถ้วยแกงมาวางบนโต๊ะ

"คุณคะ ฟ้ายังไม่ตื่นอีกเหรอคะ" ขมวดคิ้วหันหน้ามองสามี

"ยังเลยจ้ะ สายตามเคยนั่นแหล่ะ เดี๋ยวผมไปตามให้นะ" อรุณถอดผ้ากันเปื้อน ก่อนจะเดินช้า ๆ ขึ้นไปปลุกลูกสาวตัวดีผู้ขึ้นชื่อเรื่องนอนกินบ้านกินเมือง เพียงไม่นานท้องฟ้าเดินมาที่โต๊ะในชุดนักศึกษา สภาพงัวเงีย ผมเผ้ากระเซิง ใต้ตาคล้ำ พร้อมกับใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอาง

"ไงเรา ดูหนังดึกอีกตามเคยล่ะสิ ขนาดไฟดับยังดันทุรังนะ"

"แหม แม่จ๋า แม่น่าจะชินได้แล้วนา" ลูกสาวเพียงคนเดียวในบ้านทำตัวออดอ้อน

"ไม่อยากชินจ้ะ เสียดายเซลล์สมองที่แม่กับพ่ออุตส่าห์ให้ไป"

"หูยย แรงอ่ะ" ทำหน้างอได้เพียงชั่วครู่ ท้องฟ้าก็หันไปสนใจอาหารบนโต๊ะ มือคว้าช้อนจ้วงหมูสามชั้นในชามเข้าปากแบบไม่รักษาภาพลักษณ์

"ใช้ช้อนกลางสิลูก แล้วนี่ตาทำไมแดงแบบนั้น" อรุณจับคางลูกสาวให้หันหน้ามาให้ดูชัด ๆ ขณะที่ท้องฟ้ายังเคี้ยวตุ้ย ๆ รอยสีแดงระเรื่อแปลก ๆ ปรากฏให้เห็นบริเวณขอบตา

"หรือแอบออกไปเล่นน้ำฝนอีกแล้ว"

"แม่ขา หนูไม่ใช่กบนะ หนูเลิกเล่นน้ำฝนตั้งนานแล้ว" หญิงสาวค้อนควับเมื่อมารดาหรี่ตาจ้องจับผิด "นานแล้วอะไรล่ะ เมื่อเดือนที่แล้วยังแอบออกไปนอนกลิ้งตากฝนที่สวนอยู่เลย พ่อเห็นนะ"

คนโดนจับได้รีบกลืนข้าวในปากโดยแทบไม่ได้เคี้ยว ก่อนจะพูดละล่ำละลั่ก "นอนกลิ้งอะไร๊พ่อ ตาฝาดแล่ว" ถึงจะทำท่าไม่รู้ไม่ชี้อย่างไร แต่เสียงที่สูงปรี๊ดนั่นก็บ่งบอกพิรุธสุด ๆ

"ตัวเราเล็กมากล่ะมั้ง...มองจากดาวอังคารยังเห็นเลย" โดนจับได้ไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องขนาดตัวนี่เป็นสิ่งเดียวที่ท้องฟ้ายอมไม่ได้ เพราะอยากดูตัวเล็กตัวน้อยน่ารักน่าอุ้ม คนอุตส่าห์เสียเงินค่าฟิตเนสนะพ่อ!

"แรงมากพ่อ กรุณาให้เกียรติเอวยี่สิบห้าของลูกด้วยค่ะ!" หญิงสาวเชิดหน้าพูดอย่างมั่นใจพร้อมกับบิดเอวเอสให้ผู้เป็นบิดาดู

"สงสัยสายวัดบ้านเราต้องซื้อใหม่แล้วล่ะพ่อ" ดาริกาหันไปทำหน้าจริงจังกับสามี เล่นเอาคนถูกแกล้งแทบกรี๊ด

"แม่!! นี่ลูกนะ นี่ลูกไง"

"ก็ลูกน่ะสิจ๊ะถึงได้ซักอยู่เนี่ย เมื่อคืนไม่ได้ออกไปจริง ๆ ใช่ไหม ฝนตกหนักนะ ฟ้าผ่าไม่หยุด แถมไฟดับด้วย"

"ไม่ได้ออกไปจริงจริ๊ง หนูนอนดูหนังอยู่" ท้องฟ้าหลบตาพลางยัดหมูสามชั้นอีกชิ้นเข้าปากเป็นการกลบเกลื่อน

"ดีแล้ว ๆ เดี๋ยวก็ไม่สบาย"

ท้องฟ้าพยักหน้ารับ แล้วก็ชะงักไปเมื่อคิดถึงเสียงเพลงปริศนาที่ได้ยินเมื่อคืน ดาริกาสังเกตเห็นอาการของลูกจึงทัก

"มีอะไรฟ้า?"

"หนูได้ยินเสียงเพลงอะไรไม่รู้แปลก ๆ ลอยมา แถวบ้านเรามีงานอะไรรึเปล่า" ถึงจะพูดแบบนั้นแต่กลบสีหน้ากลัว ๆ ของตัวเองไม่ได้

"ไม่มีนะ ใช่ไหมคะคุณ?"

"ไม่มีนะพ่อว่า อ้อ..แต่บ้านนู้นลูกเขาเรียนอยู่คณะดุริยางค์นะลูก เขาซ้อมรึเปล่า?"

ท้องฟ้าได้แต่พยักหน้ารับคำ แต่ก็ไม่วายสงสัย แม้ปากจะเคี้ยวหยับ ๆ แต่อดคิดถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ เธอย่องออกไปเล่นน้ำฝนจริง ๆ นั่นแหล่ะ แต่ใครมันจะไปอดใจไหวล่ะ ถึงตอนแรกฝนจะตกหนักก็เถอะ แต่ตอนที่เธอออกไปมันเบาลงแล้วนี่นา กลิ่นดินกับฝนชุ่มช่ำซะขนาดนั้น ต่อให้กลัวเสียงเพลงประหลาดแต่เธอก็ไม่ยอมพลาดหรอก โดยเฉพาะในโอกาสที่พ่อกับแม่หลับไปแล้วอย่างเมื่อคืน

"ดูหนังผีมากก็แบบนี้แหล่ะเรา กลัวแล้วจะดูทำไมฮึ?"

"แม่อ่า ไม่เข้าใจวัยรุ่นเลย" หญิงสาวสะดุ้ง แต่ด้วยความหัวไวจึงตอบกลับผู้เป็นมารดาได้ในทันที

"ไปได้แล้ว มัวแต่กินอยู่นั่น เดี๋ยวก็ไปเรียนสายอีก มีหอก็ไม่ยอมอยู่ ชอบถ่อมานอนบ้านให้มันไกลเล่นซะอย่างนั้น" ดาริกาบ่น "ชอบลำบากทำไมไม่บอกแม่ ตอนสอบจะได้ให้กางเต็นท์นอนที่มหาลัยแทน"

"ก็คิดถึงแม่นี่จ๊ะ" ท้องฟ้าทำปากจู๋จะเข้าไปหอมแก้มแม่ แต่ดาริกาเบี่ยงตัวหลบแล้วใช้ช้อนกาแฟเคาะหน้าผากลูก

"ไม่ต้องทำมาปากหวาน พกร่มไปด้วยล่ะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยอย่างกับพายุเข้า"

"นั่นสิคุณ นี่มันหน้าหนาวแท้ๆ แต่บ้านเราฝนตกทุกวันจนนึกว่าหน้าฝนแล้วนะเนี่ย"

ท้องฟ้านั่งฟังเงียบ ๆ แต่แอบอมยิ้มเพราะชอบฝนยิ่งกว่าอะไร ดาริกาเห็นเข้าจึงอดแหย่ลูกไม่ได้

"แต่กบน้อยแถวนี้คงดีใจเนื้อเต้นเลยเนอะคุณเนอะ" พอโดนแซว มีหรือคนอย่างเธอจะยอมอยู่เฉย หญิงสาวรับมุกด้วยการกระเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกระโดดลงไปนั่งเลียนแบบกบ ร้องอ๊บ ๆ โชว์ผู้เป็นแม่ อรุณและดาริกาได้แต่นั่งขำ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับยัยลูกตัวแสบของตัวเองดี

ขณะที่ท้องฟ้ากำลังกระโดดเลียนแบบกบไปมารอบโต๊ะ สร้างเสียงหัวเราะจนดังลอดออกมานอกบ้าน บรรยากาศของความสุขกระจายไปทั่วบริเวณ แต่ท้องฟ้าเหนือบ้านของเธอกลับเริ่มมีเมฆทะมึนปกคลุม

หญิงสาวเดินออกมาหน้าประตูบ้านหลังจากเย้าแหย่พ่อกับแม่จนหนำใจแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้ายิ้ม ๆ มองดูประกายสายฟ้าแล่บท่ามกลางเมฆทะมึน แล้วชะเง้อมองเข้าไปในตัวบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าผู้เป็นแม่ไม่ได้เดินตามออกมา

ร่มคันโปรดถูกหยิบออกจากที่ซ่อน ร่มกระดาษเคลือบน้ำมันสีแดงคันเล็กมีสายเงินรูปพระจันทร์เสี้ยวและหยาดฝนห้อยระย้า มือเรียวรีบยัดร่มใส่กระเป๋าใบใหญ่รวมกับเสื้อผ้าสำรอง แล้ววิ่งออกจากบ้านทันทีโดยไม่ทันสังเกตว่าสายเงินและจี้หยาดฝนห้อยออกมาจากกระเป๋าที่ปิดไม่สนิทนั้น กำลังห้อยระย้าแกว่งล้อแสงอาทิตย์ไปมา ประกายสะท้อนจากจี้หยาดฝนสว่างวาบ พร้อมกับร่างของใครบางคนเคลื่อนที่ตามเธอไป