webnovel

ท่วงทำนองในสายฝน (Melody in the rain)

สำหรับ “ท้องฟ้า” สายฝนคืออ้อมกอดอันอบอุ่น ตั้งแต่เล็กจนโตเธอมักหนีออกไปเล่นน้ำฝนอยู่บ่อย ๆ ทุกครั้งที่ฝนตก ท้องฟ้าจะรู้สึกอบอุ่นผ่อนคลาย ราวกับว่า “ใครบางคน” กำลังโอบกอด ปลอบประโลม และช่วยชะล้างความไม่สบายใจทั้งมวลให้หมดสิ้นไป โดยเฉพาะความเศร้าจากฝันร้ายที่หลอกหลอนเธอมาตั้งแต่เด็ก ภาพหญิงสาวในชุดสีแดงสดเปื้อนเลือดยังติดตาเธออยู่เสมอ ท่ามกลางสายฝนในคืนพระจันทร์เต็มดวง เลือดสาดกระจายไปทุกทิศ แต่หญิงสาวในชุดสีแดงก็ยังคงร่ายรำอยู่ท่ามกลางหยาดเลือดอย่างไม่รู้จักจบสิ้น “ระบำสีเลือด” คือคำที่เธอใช้เรียกความฝันนั้น ความรักที่มีให้ต่อสายฝนและความหวั่นกลัวจากฝันร้ายนี้ผูกพันกับเธอมาตลอดตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบใหญ่ เป็นความผูกพันที่เธอเองก็ไม่อาจหาคำอธิบายได้ กระทั่งวันหนึ่งสายฝนที่เธอรักก็ไม่ได้มาพร้อมกับเสียงสายฟ้าที่คุ้นชิน แต่กลับมีเสียงบรรเลงลอยคลอมาด้วย ท่วงทำนองประหลาดหากแต่ให้ความรู้สึกแสนคุ้นเคย ท้องฟ้าไม่รู้เลยว่านับตั้งแต่วินาทีนั้นชีวิตของเธอจะไม่อาจเหมือนเดิมได้อีก

Aksorn · Fantasy
Not enough ratings
8 Chs

Nightmare

พื้นดินชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดฝน เสียงเคร้งคร้างอันแสนคุ้นเคยลอยมากระทบโสต จากดินโคลนเฉอะแฉะที่เหยียบแล้วเป็นรอยเท้า เริ่มเจิ่งนองด้วยของเหลวสีแดงสดที่ไหลออกมาจากร่างใครบางคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่ห่างออกไป ฉากอันแสนคุ้นเคยปรากฏอยู่เบื้องหน้าท้องฟ้า แสงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวงทำให้เห็นหญิงสาวในชุดสีแดงสดเปื้อนเลือดกำลังกวัดแกว่งดาบเล่มยาวในมือ หยาดเลือดสาดกระเซ็นมากระทบหน้าเธอเป็นพัก ๆ แต่หญิงสาวผู้นั้นก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ท้องฟ้ายกมือขึ้นเช็ดหยดเลือดที่กระเด็นมาโดนหน้าแล้วก้าวไปยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้เห็นภาพได้ไม่ชัดนัก แต่สำหรับคนที่มองดูอยู่แทบทุกคืนอย่างท้องฟ้า เธอจำได้แม้กระทั่งหญ้าต้นเล็ก ๆ ที่ถูกเหยียบแบนเสียด้วยซ้ำ

แม้จะเคยเห็นจนจำได้ทุกรายละเอียด แต่ท้องฟ้าก็บังคับความรู้สึกอยากร้องไห้ในใจไม่ได้ ความอึดอัดบีบรัดหัวใจทุกครั้งที่เลือดจากปลายดาบกระเด็นมาใกล้ เธอเฝ้ารอคอยอย่างอดทน คอยอะไรบางอย่างที่จะช่วยพาเธอไปจากที่นี่

ไม่ต้องรอนานนัก เสียงเพลงประหลาดก็ลอยแหวกอากาศมาให้ได้ยิน ภาพตรงหน้าเริ่มจางหาย มีเพียงเสียงดนตรีนุ่ม ๆ คอยปลอบประโลมเธอราวกับจะถ่ายทอดความห่วงใย ท้องฟ้าสะดุ้งตื่นพลางหอบหายใจแรง ดวงตาเบิกกว้างอย่างคนขวัญหาย พอได้สติถึงได้รู้สึกว่าทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยังดีที่คืนนี้ไม่ได้แหกปากกรีดร้องให้พ่อกับแม่ตกใจเหมือนเมื่อก่อน

หญิงสาวลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป เธอต้องสงบจิตสงบใจเสียหน่อย แถมเหงื่อซ่กแบบนี้คงนอนต่อไม่ได้แน่ แต่ถึงแม้ว่าจะอาบน้ำเป่าผมจนเสร็จเรียบร้อยเตรียมนอนอีกรอบ เสียงเพลงประหลาดที่ได้ยินไปถึงในฝันยังคงไม่หายไปไหน

เสียงดนตรีนุ่ม ๆ แสนอ่อนโยนนั้นยังคงบรรเลงอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ดังนักเหมือนกับลอยมาจากที่ไหนสักที่ แต่เธอก็ได้ยินชัดเจนเลยทีเดียว ตอนแรกก็แอบหลอนอยู่หรอก แต่ตอนนี้รู้กลับสึกอุ่นใจมากกว่า เพราะมันช่วยเธอจากฝันร้ายที่หลอกหลอนมาตั้งแต่เด็กได้มากทีเดียว

ท้องฟ้าล้มตัวลงนอนอีกรอบปล่อยให้อารมณ์ที่สับสนวุ่นวายจากภาพฝันค่อย ๆ กลับเข้าที่เข้าทาง ความเศร้าปนโกรธเกรี้ยวที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนค่อย ๆ ไหลไปตามเสียงเพลงที่ได้ยิน เพียงไม่นานหญิงสาวก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ส่งผลให้ใครบางคนข้างนอกนั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

"นี่เครื่องอัดแกเสียรึเปล่าเนี่ย"

บาสเตียนพูดพลางเอามือเคาะ ๆ เครื่องอัดเสียงที่กำลังเล่นอยู่แต่กลับไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน

"เห้ย นี่เครื่องใหม่นะ จะเสียได้ไง" เจ้าของเครื่องอัดเสียงเริ่มโวยวาย ก่อนจะก้มลงเอาหูแนบกับเครื่อง แล้วกดปุ่มเพิ่มระดับเสียง

"นี่ไง ยังได้ยินเสียงหายใจของฟ้าอยู่เลย" คนตัวเล็กเด้งตัวขึ้นมาเถียงทันทีที่ได้ยินเสียงหายใจเบา ๆ

"แล้วทำไมไม่ได้ยินเสียงเพลงอ่ะ ฟ้าแกหูฝาดรึเปล่า" ชายหนุ่มนักดนตรีหนึ่งเดียวของกลุ่มหันมองหน้าเพื่อนตัวต้นเรื่อง

"ไม่ได้หูฝาดแน่ ๆ ฟ้าได้ยินจริง ๆ นะ"

ท้องฟ้ายืนกรานเสียงแข็ง หลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนสนิททั้งสองคนฟังในวันแรกที่มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอก็ได้ยินเสียงเพลงประหลาดนั่นแทบทุกคืน และที่น่าตกใจกว่านั้นคือเธอแทบไม่ได้ฝันร้ายเลย ท้องฟ้ามีปัญหาในการนอนหลับมาตลอด เรื่องนี้เพื่อน ๆ รู้ดี เพราะฝันร้ายที่หลอกหลอนมาตั้งแต่เด็กทำให้หญิงสาวกลัวการนอนหลับยิ่งกว่าอะไร จนพ่อกับแม่ถึงกับต้องพาไปพบแพทย์ แม้ว่าจะดีขึ้นจากตอนเด็กมากแล้ว แต่ก็ยังเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตอยู่ดี

เมื่อได้ยินว่ามีบทเพลงแปลก ๆ ทำให้เพื่อนสามารถนอนหลับได้โดยไม่ฝันร้าย ทั้งคู่รวมถึงท้องฟ้าเองก็ตื่นเต้นกันใหญ่ บาสเตียนที่เรียนทางด้านดนตรีจึงเสนอไอเดียให้เธอลองอัดเสียงเพลงนั้นไว้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด

"แต่มันก็แปลกนะ ทั้งหมอทั้งเบ๊บเคยลองให้ฟ้าฟังดนตรีก่อนนอนแล้วไม่ใช่เหรอ แบบดนตรีบำบัดอ่ะ แต่ก็ไม่ได้ผลนี่นา" คนตัวเล็กพูดพลางเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิด

"ก็เพราะแบบนั้นไง เบ๊บเลยอยากให้อัดเสียงมา เราจะได้เอามาวิเคราะห์กันได้ ว่าทำไมฟ้าถึงได้ตอบสนองแต่กับเสียง ๆ นี้" คนเรียนดนตรีพยายามอธิบาย

"ฟ้าหลอนรึเปล่า" พัดหันมองหน้าเพื่อนขณะที่ยกเครื่องอัดเสียงแนบหู "มันไม่มีเสียงอะไรเลยนะนอกจากเสียงหายใจอ่ะ"

เมื่อผลลัพธ์ออกมาแบบนี้ท้องฟ้าเองก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว หรือว่าเธอหลอนไปเองจริง ๆ กันนะ นี่เป็นโรคนอนไม่หลับไม่พอยังจะมีอาการประสาทหลอนอีกเหรอ ชีวิตเธอมันจะเศร้าเกินไปแล้ว

"ลองถามพ่อกับแม่รึยังว่าได้ยินไหม"

"ถามแล้ว แต่ห้องพ่อกับแม่ฟ้าอยู่อีกฝั่งไง แล้วเสียงมันก็ไม่ได้ดังอ่ะ เหมือนลอยตามลมมาไรงี้ ถ้าไม่ได้ยินก็ไม่แปลกป่ะ" หญิงสาวทำหน้ายู่

"หรือไม่มันก็อาจจะเป็นกลไกการป้องกันทางจิตใจก็ได้ไหม" เพื่อนสาวชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ ขณะที่ตัวต้นเหตุอย่างเธอได้แต่ส่งสายตาเป็นคำถามเพราะไม่เข้าใจ

"เพราะฟ้ามีปัญหาเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก เป็นเรื้อรังมาตลอด แล้วก็ยังหาวิธีรักษาที่ดี ๆ นอกจากใช้ยาไม่ได้ สภาพร่างกายกับจิตใจก็แย่ลงเรื่อย ๆ ถึงจุดหนึ่งสมองมันก็อาจจะสร้างกลไกใหม่ขึ้นมาหลอกประสาทสัมผัสตัวเอง ให้เธอคิดว่ามีเพลงอะไรสักอย่างที่สามารถช่วยให้นอนได้ไง"

บาสเตียนพยักหน้าหงึก ๆ เมื่อคิดตามที่เพื่อนตัวเล็กบอก ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าข้อสันนิษฐานนี้จะมีความเป็นไปได้ในเชิงวิทยาศาสตร์หรือไม่ แต่ก็ไม่ควรปัดตก

"เดี๋ยว ๆ เสียงมันอาจจะเบามากจนอัดไม่ติดก็ได้นี่" ท้องฟ้ายังคงยืนกระต่ายขาเดียวว่าเสียงเพลงนั่นเป็นของจริง

"โทษนะแม่คุณ มันอัดเสียงลมหายใจเธอได้ แต่มันอัดเสียงเพลงที่ลอยมาไม่ได้เนี่ยนะ"

เจ้าของเครื่องอัดเสียงมองหน้าคนเอาสีข้างเข้าแถเป็นเชิงว่าพอเถอะ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมอยู่ดี

"ก็ฟ้าเอาไว้ที่หัวเตียงไง มันอยู่ใกล้ฟ้าอ่ะ"

ท้องฟ้ายังคงพยายามเถียงข้าง ๆ คู ๆ โดยมีความหวังเต็มเปี่ยมว่าตัวเองคงไม่ต้องไปรักษาอาการประสาทหลอนเพิ่ม บาสเตียนมองหน้าเศร้าของเพื่อนอย่างเห็นใจ แล้วตัดสินใจพูด

"เอางี้ไหมฟ้า ฟ้ามาเข้าโครงการดนตรีบำบัดที่เบ๊บทำอยู่ดีไหม โครงการนี้มันร่วมมือกับโรงพยาบาลเยอะอยู่นะ เราจะได้ฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญไง ไม่ต้องงมหาคำตอบกันเองแบบไม่รู้ทิศรู้ทางแบบนี้"

บาสเตียนเสนอทางออกที่ดูเหมือนจะดี แต่เพราะคบกันมานานทำให้หญิงสาวทั้งสองมองหน้าหล่อ ๆ ของคนพูดอย่างไม่ไว้ใจ

"อะไร?"

"ไม่ใช่ว่าหาคนได้ไม่ครบแล้วมาเกณฑ์ฟ้าไปนะเบ๊บ" ท้องฟ้าหรี่ตามองเพื่อนสนิทที่เสนอได้ถูกจังหวะจนน่าสงสัย

"เห้ย ไอ้ที่หาได้ไม่ครบน่ะทีมงาน ไม่ใช่คนที่จะเข้ารับการบำบัดเหอะ!" ชายหนุ่มรีบพูดอย่างงอน ๆ เมื่อความหวังดีถูกตีความไปอีกทาง

"แน่นะ"

"อื้อ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ถ้าฟ้าเข้าโครงการ พัดก็มาด้วยสิ มาช่วยกัน จะได้ไขปริศนาเพลงประหลาดนี่ได้ไว ๆ ไง แล้วพัดก็จะได้เอาผลงานใส่พอร์ตด้วย" พูดพลางก็หันไปส่งยิ้มใสซื่อให้ว่าที่นักข่าวสาว

ท้องฟ้าและพัดมองหน้าหล่อ ๆ ของเพื่อนด้วยสีหน้าว่างเปล่าก่อนจะลุกขึ้นแยกย้ายกันไปโดยไม่พูดอะไร

"อ้าว ไปไหนก็อ่ะ เดี๋ยวก่อน รอเบ๊บด้วย" พอโดนรู้ทันเข้าให้ บาสเตียนก็ได้แต่ตาลีตาลานวิ่งตามเพื่อนสาวร่างเล็กไป โดยปล่อยให้ท้องฟ้าแยกไปอีกทางคนเดียว เพราะรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางนั้นไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่

"มาแล้วเหรอครับ"

น้ำเสียงดีใจดังขึ้นต้อนรับพร้อมกับร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนวันแรกปรากฏให้เธอเห็นในทันที ท้องฟ้าก้าวเข้ามาในชั้นใต้ดินของหอสมุดที่ซึ่งเคยเป็นอาณาเขตของเธอแต่เพียงผู้เดียว แต่ว่าตอนนี้กลับมีแขกประจำเสียแล้ว

รอยยิ้มกว้างกับหน้าหล่อ ๆ นี่เป็นอะไรที่อันตรายมากจริง ๆ ท้องฟ้าพยักหน้ายิ้มรับแต่ตากลับมองเลยไปยังชั้นหนังสือ หัวใจที่กำลังเต้นรัวเพราะถูกโจมตีอย่างกะทันหันโดยชายหนุ่มตรงหน้าทำให้ท้องฟ้ารีบออกห่างจากอีกฝ่าย กลัวว่าเขาจะรู้สึกถึงมันได้

"ทำไมวันนี้ช้าจัง"

เลิกทำเสียงแบบนี้สักทีเถอะ เธอยิ่งทำตัวไม่ถูกอยู่ ท้องฟ้าโอดครวญในใจ หลังจากต้องรับมือกับความปั่นป่วนที่ชายหนุ่มตรงหน้าสร้างขึ้นมาหลายครั้งหลายครา เพราะเขาเล่นลงมาปักหลักอ่านหนังสือในชั้นใต้ดินที่เป็นหลุมหลบภัยของเธอน่ะสิ

คงเรียกหลุมหลบภัยไม่ได้แล้วล่ะ ภัยที่อันตรายที่สุดเล่นลงมาเยือนแบบไม่เกรงใจกันแบบนี้...

เสียงกระซิบปนหัวเราะของอะไรบางอย่างลอยผ่านหลังท้องฟ้าไป เธอไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินหรือไม่ แต่ชายหนุ่มตรงหน้าขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง ท้องฟ้าเลยตัดสินใจเบี่ยงเบนความสนใจของเขา

"เม้าท์กับเพื่อนอยู่ข้างบนน่ะ"

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหันกลับมามองเธอ อยู่ ๆ ท้องฟ้าก็รู้สึกเหมือนกับว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอพรั่งพรูสิ่งที่พูดคุยกับบาสเตียนและพัดให้กับชายหนุ่มตรงหน้าฟังทั้งหมด พอพูดจบถึงได้รู้สึกตัว เป็นแบบนี้เสียทุกทีที่ได้เจอกัน มีอะไรก็เล่าให้คนตรงหน้าฟังเสียหมด ท้องฟ้าอดรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่ได้

"ไปด้วยได้ไหม" เสียงทุ้มนุ่มถาม

"ไปไหน"

"ก็โครงการอะไรที่คุณจะไปเข้าร่วมน่ะ"

"อ๋อ โครงการดนตรีบำบัดน่ะเหรอ ไปได้นะ เห็นแบ๊บบอกว่าขาดทีมงานอยู่ด้วย"

ท้องฟ้ารีบพูดอย่างดีใจ ในหัวก็นึกไปว่าจะรีดไถอะไรเพื่อนเป็นค่าตอบแทนดีที่เธออุตส่าห์ช่วยพาแรงงานไปให้เพิ่ม ไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของคนตรงหน้าที่ชักจะไม่สบอารมณ์ขึ้นทุกที

"ว่าแต่ นาย..เอ่อ..คุณ...ออกไปจากที่นี่ได้ด้วยเหรอ"

หญิงสาวเอียงคอถาม ทำเอาคนตรงหน้างง ถามแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน ดวงตากลมโตเป็นประกายจ้องเขาอย่างไม่แน่ใจก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง

"คุณ...แบบว่า...ใช่คนรึเปล่า?"