webnovel

บทนำ

บทนำ

"สุขสันต์วันเกิดนะครับท่านเจ้าสัว ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะครับ"

"ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก เชิญๆ อาเขมพาท่านนายพลไปที่โต๊ะหน่อยไป"

"ครับคุณปู่" ผมตอบรับคำคุณปู่

"นี่คุณชายสามหรอครับ โตขึ้นเยอะเลยนะครับเนี่ย" นายพลคงเดช อัศวเดชเดชาหันมามองผมแวบนึงละหันไปฟูดกะปู่ผมต่อ ราวกับจะไม่อยากไปนั่งที่โต๊ะอยากยืนคุยกะปู่ผมนานๆเพื่อให้คนมองว่าเขาสนิทสนมกับปู่ผมมากยังไงอย่างนั้นละ

"จะอายุ 20 ปีละครับท่านนายพล " คุณปู่ก็ตอบรับกลับไปราวกับไม่รู้จุดประสงค์ของผู้พูด

"เชิญท่านนายพลที่โต๊ะเถอะครับ เดี่ยวเขมนำทางเองครับ เชิญครับ" ผมเลยตัดบท และพาท่านนายพลไปยังโต๊ะเลย เมื่อเห็นว่าคนที่มาอวยพรคุณปู่เริ่มมาต่อคิวรอแล้ว

หลังจากที่ผมส่งท่านนายพลถึงโต๊ะแล้วผมที่จึงจะเดินย้อนกลับไปหาคุณปู่ ผมอดที่จะคิดไม่ได้ว่าเบื่อ เบื่อมากกก ทำไมมันน่าเบื่อแบบนี้นะ ในงานเลี้ยงแซยิดของคุณปู่ผม ที่ภายในงานเต็มไปด้วยคู่ค้าทางธุรกิจ เหล่าเสือสิงห์ที่จ้องจะตะครุบเหยื่ออย่างตระกลูอี้ หาคนอวยพรจากใจจริงๆไม่เห็นจะมีสักคนเลย ต้องเล่าก่อนว่าตระกลูผม หมายถึงตระกลูอี้นะครับ เราทำธุรกิจหลายอย่างมาก เกี่ยวกับยาทั้งแบบแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณ ยังไม่รวมเหล่าโรงพยาบาลที่ตระกลูอี้ถือหุ้นอยู่และเป็นผู้นำเข้ายาทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศหรือโรงพยาบาลที่ตระกลูอี้ต้องส่งยาไปให้ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ทำให้มีหลายคนต้องการผูกมิตรกับตระกลูอี้เพื่อผูกขาดเส้นทางในการขายกับตระกลูอี้แต่เพียงผู้เดียว ทำให้ในงานนี้ครอบครับผมต้องกระจายตัวเพื่อพูดคุยกับเหล่าคู่ค้าที่ไว้ใจและมีประโยชน์มากพอทั้งกับตระกลูอี้และประชาชนที่จะมารับการรักษาที่โรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ

ทำให้แม่ผมหรือคุณหญิงเหมยก็ต้องไปพูดคุยกับเหล่าผู้ถือหุ้น พ่อผมก็ต้องไปตกลงธุรกิจกับคู่ค้าคนสำคัญ พี่ใหญ่ที่เป็นหมอควบกับผู้บริหารหลักของโรงพยาบาลในเครือก็ต้องพูดคุยกับเหล่านายแพทย์ใหญ่จากโรงพยาบาลต่างๆ พี่รองก็รองรับคนใหญ่คนโตที่มาจากไหนไม่รู้ มาเนียนกินโต๊ะจีนฟรีรึเปล่าก็ไม่รู้อีกด้านนึงของงาน ดูๆไปแล้วไม่เหมือนงานแซยิดอะ เหมือนประชุมผู้ถือหุ้น หรืองานเลี้ยงหาคู่ค้ามากกว่านะในความรู้สึกผม ส่วนผมที่ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันเลยได้ยืนต้อนรับแขกกับคุณปู่ไปโดยปริยาย

อ่อ ลืมเล่าถึงครอบครับที่น่ารักของผม คุณพ่อหรือคุณชายก้องเกียรติ อี้ ลูกชายคนเดียวของท่านเจ้าสัวชัยมงคล อี้กับคุญหญิงลำดวน มัวซ์ ที่เป็นลูกครึ่งจีน-ฝรั่งเศษ ทำให้คุณพ่อของผมหล่อเหลามากทั้งจากผิวพรรณที่ขาวหยวก โครงหน้าคม จากฝั่งจีน และตากลมโตสีเขียว ริมฝีปากได้รูปจากฝั่งฝรั่งเศษ ทำให้คุณพ่อผมเป็นที่ต้องตาต้องใจกับสาวๆทั่วทั้งประเทศ แต่คนที่ได้ใจคุณพ่อผมดันเป็นน้องสาวข้างร้านสาวน้อยไทยแท้ตาคม ผมยาวดำสะลวย รูปร่างสมส่วน หน้าตาจิ้มลิ้ม ที่ขยันมาก เพราะแต่ก่อนด้วยความที่คุณปู่คุณย่าผมท่านเปิดร้านขายยาสมุนไพรแบบเป็นหน้าร้านทั้งคู่ช่วยกันค้าขายในร้านเองกับลูกน้องไม่กี่คน ทำให้ร้านอาหารที่เปิดข้างๆกัน จึงรู้จักกันไปด้วยความที่คุณพ่อผมต้องมาเฝ้าร้านกับคุณปู่คุณย่าเสมอเลยได้รู้จักกับเหมยเหมย เด็กหญิงตัวน้อยที่น่ารักอย่างกะตุ๊กตาที่แม่ก็มาเฝ้าร้านเหมือนกัน คุณพ่อด้วยความะเป็นลูกชายคนเดียวจึงเอ็นดูเหมยเหมยๆมาก ต่างเติบโตมาด้วยกันระยะนึงจนคุณปู่ได้ค้าขายกับบริษัทยาแผนจีนขนาดใหญ่ทำให้คุณปู่ผมขยายกิจการออกไปเรื่อยๆทำให้ต้องย้ายบ้าน ย้ายร้านไปเปิดสาขาอื่นๆอีกมากมาย ไม่ได้อยู่เป็นหลักแหล่ง จนเมื่อคุณพ่อผมเรียนจบบริหารมาจึงมาทำให้ร้านขายยาคุณปู่ขึ้นเป็นบริษัทยา และผูกขายค้าขายกับโรงพยาบาลและร้ายขายยาทั่วไป และได้มาตรวจงานที่สาขาแรกทำให้รู้ว่าร้านอาหารเหมยฟางข้างร้านตัวเองได้ขยายร้านอย่างยิ่งใหญ่และสวยงามมาก ลูกค้าเต็มร้าน พ่อจึงนึกได้ถึงน้องสาวตัวน้อยของเขาไม่รู้ว่าจะโตขนาดไหนแล้ว เลยจะเข้าไปอุดหนุนทักทาย พอเข้าไปเด็กเสริฟ์จึงพาเข้าไปนั่งโต๊ะริมระเบียงติดแม่น้ำที่บรรยายกำลังดีเหมาะแก่การกินลมชมวิวเหลือเกิน เขาจึงกวาดตามองไปรอบๆชมความสวยงาม แต่ดันสะดุดตากับร่างบอบบางร่างนึงที่กำลังปัดฝุ่นออกจากชุดเด็กน้อยคนนึงที่เพิ่งหกล้มเมื่อกี้และกำลังยิ้มปลอบเด็กคนนั้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้เขาตกหลุมรักรอยยิ้มที่สวยงามนั้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เมื่อพ่อแม่เด็กมา ผู้หญิงคนนั้นจึงวิ่งเข้าไปหลังร้านแล้วยกอาหารออกไปเสริฟ์ลูกค้าโต๊ะอื่นและเมื่อมองมาที่โต๊ะพ่อผมเลยเข้ามาสอบถามดูแลราวกับพรหมลิขิตเพราะพ่อและแม่ผมคุ้นหน้ากันตั้งแต่แรกเริ่มจนถามไถ่กันไปมากจึงรู้ว่าเป็นใคร ยิ่งพอรู้พ่อผมก็เดินเต็มสูบสิครับ จีบสิรออะไร แม่ผมที่ชอบพ่อมาแต่เด็กก็ตกลงปรงใจคบหากันไม่ถึงปีก็แต่งงานกันอย่างยิ่งใหญ่ ถามว่าผมรู้ได้ไงนะเหรอครับ ก็พ่อแม่มักจะเล่าถึงความหลังอันหวานซึ้งให้ลูกๆอย่างพวกผมฟังยังไงละครับ เล่าทุกวี่ทุกวันที่มีโอกาส คลั่งรักแม่มากแหละผมรู้ ก็ไม่คลั่งรักได้ไงละครับ ก็แม่ผมหลังจากแต่งงานกันมาก็ช่วยเหลือพ่อนำพาธุรกิจมาได้ไกลขนาดนี้ นี่ละน่าที่เขาว่าคู่ชีวิตที่ดี ต้องเป็นทั้งเพื่อนคู่คิด เพื่อนคู่บุญ คู่ทุกข์คู่ยากจนสบายมาด้วยกัน ส่วนร้านอาหารของแม่ก็ขยายออกไปเหมือนกันครับตอนนี้เป็นร้านอาหารไทยที่มีเมนูหากินยากต้องจองคิวข้ามปีถึงได้กินและด้วยความเป็นสะใภ้ร้านขายยาแม่ผมจะธรรมดาไม่ได้ จึงคิดค้นทำอาหารยาที่แรกของประเทศให้บริษัทพ่อผมขายสิครับรออะไร อาหารที่ขายมีหลายรูปแบบมากเหมาะแก่คนกินยายากจึงทำมาในรูปแบบอาหารและตอนนี้กำลังทำแบบขนมออกมาเพื่อความกินง่ายและสะดวกสบาย ทุกคนสามารถอุดหนุนได้นะครับที่ร้านขายยาอี้ทั่วประเทศครับนี่ก็เป็นตำนานรักของพ่อกับแม่ผมเองครับ

ส่วนพี่ชายผมทั้งสองคนนั้นงานดีไม่แพ้คุณพ่อครับ สูงยาวเข่าดี บอดี้มาร์เวล ผิวขาว หน้าตาพระเจ้าปั้น และดวงตาน้ำตาลแหลือบเขียวทั้งคู่ครับ ส่วนผมได้แม่มากเต็มๆ ไม่สูงไม่ยาว แค่ขาว จมูกนิดตปากหน่อย หน้าตาจิ้มลิ้ม ฉายาลูกสาวคนที่สุดท้องครับ เพราะผมสวยมาก ไม่อยากใช่คำนี้หรอก แต่ตรงสุดเห็นภาพสุดน่าจะคำนี้แหละ และที่อกซ้ายตรงหัวใจมีปานรูปคล้ายดอกไม้ดอกนึงด้วยครับ ปู่กับย่าผมเลยมีความเชื่อแปลกๆว่าสงสัยมีคนจับจองผมเอาไว้แล้วแน่เลย

ตุ้บบ!! ด้วยความที่ผมมัวแต่เดินไปคิดไปเลยไม่ทันระวังจึงเผลอเดินชนกำแพงครับ เอ๊ะ ไม่ใช่กำแพง กำแพงอะไรอยู่กลางห้อง กำลังอะไรใส่สูทสีดำบ้านะสิ พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติ ใบหน้าคมคลาย คิ้วดกเข้มโก่งได้รูป ตาคมเรียวรีคมปราบดุดันนั้น ตวัดมองทีทำให้คนหวาดหวั่นได้ รับกับจมูกโด่ง และริมฝีปากหนาได้รูปนั้น ทำให้ผมตกตะลึงในความหล่อเหลาของเขาไม่ได้ จนเขาก้มหน้าลงมาสบตากับผม ผมถึงได้เห็นสีตารัตติกาลที่ดูลุ่มลึกยากจะเข้าถึงของเขา

"ขอโทษครับ ผมไม่ทันมอง" ผมรีบกล่าวคำขอโทษเขาทันที ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เผื่อเป็นคู่ค้าของที่บ้านจะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง

"ไม่เป็นไร คุณไม่บาดเจ็บนะครับ"

"ไม่เป็นไรคครับ" ร่างสูงใหญ่จึงมองสำรวจผมทั้งตัว ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกลไม่รู้

"คุณคงเป็นหลานท่านเจ้าสัวสินะครับ"

"ครับ ผมเขมรัตน์ครับ"เขาทำเหมือนรู้จักผมเลย สงสัยจะเป็นคู่ค้าของที่บ้านจริงๆแฮะ

"พอดีเลยครับ เจอตัวสักที พอดีผมอยากจะฝากของขวัญไปให้ท่านเจ้าสัวหน่อยนะครับ" เขานำกล่องของขวัญขนาดกลางที่ห่อด้วยกระดาษสีแดงงดงามมากยื่นให้ผม ก็จึงรับมาอย่างปฏิเสธไม่ได้

"ครับ เดี่ยวผมมอบให้คุณปู่ให้นะครับ แต่จะให้บอกว่ามาจากใครครับ" ผมถามด้วยความฉงน

"เดี่ยวท่านเจ้าสัวจะรู้เองละครับ ว่าใคร"เขาตอบมาด้วยเสียงเจ้าเล่ห์มากอะ ผมควรทิ้งดีมั้ย และสวสัยเขาคงเห็นว่าผมไม่ไว้ใจเขามั้ง เขาเลยยื่นบางอย่างให้ผม

"อะไรเหรอครับ" ผมงงสิ เหมือนจะยื่นหนังสือเล่มนึงให้ผมนะ

"ของตอบแทนที่คุณช่วยส่งมอบของขวัญให้ท่านเจ้าสัวแทนผมไงครับ"เขาด้วยท่าทางสบายๆ

"หนังสืออะไรครับ"

"หนังสือทั่วไปนี่ละครับ ไว้ใจได้ มันจะประโยชน์กับคุณ"หนังสืออะไรว่ะ ผมจึงยื่นมือไปรับมาและพิจารณารูปร่างหนังสือแปลกๆนี่ เล่มไม่หนาไม่บาง ปกดำล้วนไม่มีลวดลายไม่มีชื่อหนังสือ แปลก?

ทันทีที่ผมเงยหน้าจะถามว่ามันเกี่ยวกับอะไร เบื้องหน้าผมก็ไม่เห็นใครแล้ว เหี้ย!!! หาย!!! หายไปแล้ว หายไปไหน ไม่เห็นแม้แต่หลัง ไม่เห็นหัวเห็นหางเลยเว้ย ผีป่ะว่ะเนี่ย แต่ไม่น่าใช่ก็ของที่เขาให้ทั้งสองอย่างยังอยู่ในมืองผมอยู่เลย

"อาเขม ยืนทำอะไรตรงนั้นคนเดียวนะลูก มาช่วยปู่รับแขกมาลูก"ช่วงที่ผมกำลังงงอยู่นั้น คุณปู่ก็ส่งเสียงผมจากหน้าห้องงานเลี้ยง ผมเลยเดินเอาของขวัญไปวางไว้ยังกองของขวัญและถือหนังสือไปยืนต้อนรับแขกกับคุณปู่จนงานเลี้ยงเสร็จ

เฮ้อออ เหนื่อย หลังจากงานเลี้ยงเลิก ทุกคนก็แยกย้ายกลับห้องตัวเอง ไม่มีเวลาพูดคุยอะไรกันหรอกครับ เหนื่อยรับแขกกันทุกคน ผมจึงเดินเข้าไปอาบน้ำอาบท่าก่อน รู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย ผมแต่งตัวพร้อมเข้านอนแล้ว จึงเดินมาล้มตัวนอนคว่ำไปกะเตียงกำลังจะหลับตา แต่หางตาดันเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนั้นที่โต๊ะหัวเตียงผมเลยลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงละหยิบหนังสือมาดูอย่างละเอียด ซึ่งภายนอกไม่มีอะไรเลย ไม่มีแบบไม่มีเลยยยย หนังสืออะไรว่ะเนี่ย ผมเลยเปิดหนังสือออกดู ก็เห็นบทนำหนังสือที่ห้องนอนของอี้เหลียนหลงเลยครับ นึกว่าหนังสือน่ากลัวอะไร ที่แท้ก็หนังสือนิยายนี่เอง ผมเลยว่าจะอ่านเล่นๆก่อนนอนสักละกัน แต่ตอนที่จะอ่านต่อความง่วงก็เข้ามาครอบงำผมเลยล้มตัวลงนอนละเปิดไฟในห้องโดยที่มีหนังสือวางอยู่บนอก

จู่ๆหนังสือเล่มนั้นก็เริ่มเรืองแสงสว่างจ้า จนแสงเริ่มครอบคลุมไปทั้งร่างของเขมรัตน์ละหายวับไปทั้งร่างของเขมรัตน์เหลือเพียงหนังสือเล่มเดิมที่กำลังจะโลดแล่นมีตัวอักษรร้อยเรียงตามเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ โดยมีสายตาคู่นึงที่ยืนมองอยู่ในเงามืดมาตั้งแต่แรกจนเกิดแสงสว่างวับหายไปกับตา เมื่อเห็นว่าสำเร็จทุกอย่างด้วยตาตัวเองแล้ว มุมปากจึงกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แล้วร่างนั้นก็ค่อยๆสะลายหายไปกับสายลม

อ่านแล้วชอบไหม เพิ่มในคลังหนังสือเลยสิ!

mmmintmintcreators' thoughts