webnovel

บทที่ 15 เงาในอดีต

บทที่ 15

เงาในอดีต

ตื่นเช้ามาผมก็ช่างใจอยู่ว่าจะมาฝึกต่อดีมั้ย เมื่อวานผมก็ใช้อารมณ์เกินไปอยู่เหมือนกัน พอมานั่งทบทวนก็รู้สึกว่าตัวเองก็ทำเกินไปทั้งยังก้าวร้าวอีกต่างหาก คงต้องไปขอโทษพี่หลงละนะ เฮ้อ งั้นก็ไปลองอีกสักวัน พูดคุยปรับความเข้าใจกันสักหน่อยน่าจะดีขึ้นละมั้ง ผมคิดปลอบใจตัวเองไปงั้นแหละ จริงๆก็แค่อยากไปขอโทษพี่หลงที่หยาบคายและก้าวร้าวแค่นั้นเลย ไม่มีอะไร ผมอาบน้ำแต่งตัวจัดการตัวเองก็ร่ายเวทยืมาหยุดยืนที่หน้ารั้วไม้ทางเข้าบ้านไผ่พี่หลง ซึ่งผมลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปยังไง ทักทายยังไง ต้องทำตัวแบบไหนกัน ทำตัวไม่ถูกเลย

"มาถึงแล้วเหรอเหลียนเอ๋อร์ พี่รอเจ้าอยู่พอดี"ขณะที่ผมยืนหาวิธีจะเข้าไปขอโทษพี่หลงอยู่นั้น เสียงทุ้มอ่อนโยนก็ดังขึ้นข้างหูผม เมื่อผมหันไปมองข้างหลังก็เห็นพี่หลงยืนถือดอกเซียนหยาง สมุนไพรระดับเทพเซียนที่หาได้ยาก แม้แต่ในห้องสมุนไพรของเขตบุหลันเองยังไม่มีสักดอก ที่ตอนนี้มีพลังปราณแผ่ออกมาสีแดงอ่อนรอบๆกลีบดอกสีชมพู มองด้วยตาคือสวยงามมาก ยิ่งตัดกันกับชุดสีดำนั้นที่พี่หลงสวมใส่ยิ่งทำให้ดอกเซียนหลงดูโดดเด่นขึ้นมา ผมไม่เคยเห็นดอกเซียนหยางเลยตั้งแต่มาเรียนที่นี่เห็นแต่ในตำราโอสถหายากที่ควรค่าแก่การสะสมเพราะนอกจากจะหายากแล้ว ยังไม่มีใครเพาะปลูกต้นเซียนหยางได้ ทำให้เป็นที่ต้องการมากเพราะสรรพคุณช่วยปลูกแก่นพลังธาตุ กล่าวคือทำให้คนที่ไม่มีแก่นธาตุมีแก่นธาตุจนทำให้มีพลังปราณได้เปลี่ยนจากคนไร้ค่าเป็นคนฝึกยุทธ์ได้ เหตุนี้จึงทำให้เป็นที่ต้องการทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะชนชั้นไหนที่มีลูกหลานเกิดมาไม่มีแก่นธาตุก็จะเสาะแสวงหาดอกเซียนหยางมาให้บุตรหลานเพื่อทำให้บุตรหลานเป็นชาวยุทธ์นั้นเอง

แต่ก็ใช่ว่าจะหาง่ายเหมือนไปซื้อตลาดก็ได้มา คิดผิดแล้วเพราะดอกเซียนหยางเกิดสามปีหนึ่งครั้งแต่ละครั้งจะบานเพียงสามวันหลังจากบาน หากไม่มีคนเก็บก็จะเหี่ยวเฉาแล้วตายลงตรงนั้น หลังจากนั้นสามปีก็จะขึ้นที่เดิมจนกว่าจะมีคนมาเก็บดอกมันไป หากเก็บต้นมันก่อนที่ดอกจะบานเพราะจะเอาไปปลูกก่อนดอกจะบานมันก็จะตาย เก็บดอกที่ยังบานไม่เต็มที่ต้นก็จะตายดอกก็ใช้ไม่ได้ และหากคนที่เก็บไม่รู้วิธีเก็บมันก็จะเหี่ยวเฉาไม่สดชื่นอย่างตอนนี้ที่ผมเห็นมันอยู่ในมือพี่หลง

"พะ…พี่หลง"ผมเรียกร่างสูงอย่างตกตะลึงที่ได้เห็นดอกเซียนหยางในมือพี่หลง

"พี่ให้เจ้า เมื่อวานพี่ขออภัยที่แกล้งเจ้าแรงเกินไป อภัยให้พี่ได้หรือไม่"ร่างสูงพูดเสียงอ่อนโยนจนผมแทบไม่เชื่อสายตา จนต้องเงยหน้าสบสายตาคมคู่นั้นที่มองมาอย่างอ่อนโยนแกมรู้สึกผิด พร้อมทั้งยื่นดอกเซียนหยางมาทางผม ตอนนี้หัวผมขาวโพลนไปหมดกับสายตาที่มองสบกันอยู่ตอนนี้ มันทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมานอกอกอยู่แล้ว รู้สึกร้อนๆที่หน้ายังไงไม่รู้ที่เห็นพี่หลงที่ชอบทำตัวเย็นชามาทำอะไรแบบนี้ให้ผม เขินๆยังไงไม่รู้ เห้ยยย เขินอะไร เราเป็นผู้ชายทั้งคู่นะจะมาขงมาเขินอะไรก่อน ทำตัวอย่างกับสาวน้อยที่โดนผู้ชายจีบงี้นแหละ พี่หลงก็แค่อยากขอโทษผมป่ะ ไม่น่าจะมีอะไรมากกว่านี้หรอก

"ข้าไม่ได้โกรธพี่หลง ข้าเองก็ทำตัวหยาบคายก้าวร้าวพี่หลงไปมาก ข้าขออภัย พี่หลงอภัยให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ ส่วนดอกเซียนหยางนี่ข้ารับไม่ได้หรอก มันมีค่ามากเกินไปขอรับ"ผมพูดอย่างที่คิดก่อนจะยื่นมือไปผลักมือใหญ่ที่ถือดอกเซียนหยางตรงหน้ากลับไป

"เหลียนเอ๋อร์ทำถูกแล้ว พี่ผิดเอง ที่แกล้งเจ้ารุนแรง พี่สมควรแล้วที่จะโดนเจ้าโกรธ หากเจ้าอภัยให้พี่จริงจงรับดอกไม้นี่ไปเถอะ พี่เห็นมันสวยดีเหมาะกับเจ้า พี่จึงเก็บมาให้เหลียนเอ๋อร์"พี่หลงพูดอย่างยิ้มๆก่อนจะพยายามยัดดอกเซียนหยางใส่มือผม พูดเหมือนมันเป็นดอกไม้ธรรมดางั้นแหละ

"กะ..เก็บดอกไม้มาให้ข้า พี่หลงไม่รู้รึว่ามันคือดอกเซียนหยาง"ผมถือดอกเซียนหยางพร้อมทั้งมองอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ พี่หลงทำหน้าครุ่นคิดพร้อมทั้งสีหน้าที่ว่างเปล่าราวกับไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมทำได้เพียงยกมืออีกข้างที่ว่างแล้วตบหน้าผากตัวเองเสียงดัง

"พี่ก็ว่ามันมีพลังปราณออกมาด้วยน่าจะเป็นสมุนไพรที่เหลียนเอ๋อร์นำไปปรุงยาได้เลยเก็บมาให้ ถ้าเกิดว่ามันมีประโยชน์ต่อเจ้า พี่ก็ดีใจแล้วละที่ยังไงเหลียนเอ๋อร์ต้องได้ใช้ในสักวันนึง"

"แต่ดอกเซียนหยางมีค่าที่ไม่อาจประเมินได้ หากพี่หลงนำไปขายต้องได้เงินมากมายขนาดซื้อแคว้นได้เลยนะขอรับ จะให้ข้าจริงๆหรอ"ผมบอกตามความจริงที่รู้

"พี่ให้เจ้า พูดแล้วไม่คิดคืนคำ"ร่างสูงพูดเสียงหนักแน่นราวกับจะย้ำถึงสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นสิ่งที่สมควรที่สุดแล้ว

"งั้นข้าจะเก็บไว้ เพื่อที่วันนึงจะมอบให้กับคนที่สมควรได้รับมันอย่างแท้จริง พี่หลงว่าดีหรือไม่ขอรับ"ผมถามออกไปตามที่คิดเอาไว้ เพราะดอกเซียนหยางถึงจะมีค่ามาก แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์กับคนที่มีแก่นธาตุอยู่แล้วอย่างผมกับพี่หลง ฉะนั้นเก็บเอาไว้ให้คนที่สมควรในเวลาที่เหมาะสมในสักวันน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด

"ได้สิ ทำตามที่เหลียนเอ๋อร์เห็นสมควรเถอะ"

"ขอรับ"ผมจึงเก็บไว้ในแหวนมิติใกล้ๆต้นดอกแก้วผสานจิตที่ในกระถางมีผลึกหวนคืนอยู่ ผมเก็บไว้ใกล้ๆกันเพราะต้องการให้ผลึกหวนคืนรักษาสภาพของดอกเซียนหยางให้คงเดิมยาวนานที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะกี่เดือนกี่ปีที่จะเจอคนที่เหมาะสมจะใช้ดอกเซียนหยางนั้น

"เช่นนั้นวันนี้เราจะฝึกอะไรกันดีขอรับ"ผมถามทันทีที่เก็บดอกเซียนหยางเสร็จ ด้วยหัวใจนุ่มฟูที่พี่หลงง้อผมก่อนแหละ อิอิ น่าหมั่นไส้ตัวเองอยู่เหมือนกันนะ รู้สึกสวยจนคนต้องมาง้ออะครับ

"เมื่อวานเราผ่านด่านแรกไปแล้ว งั้นวันนี้เรามาเลือกอาวุธที่เราถนัดก่อน จะได้เรียนเสริมเรียนเพิ่มตรงไหน"พี่หลงร่ายแผนการฝึกในวันนี้ให้ผมฟัง

"ที่จวนข้าเคยเรียนวิชาดาบและวิชาพัดบินขอรับ"ผมบอกพี่หลงไปเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนที่พี่หลงจะสอนผม

"แล้วทั้งสองสิ่งเจ้าชอบสิ่งใดมากกว่ากัน"

"ไม่ชอบทั้งสองอย่างขอรับ"ผมตอบพี่หลงจริงๆ ตอบจากใจ ไม่ชอบอะไรสักอย่าง

"...."ทำไมพี่หลงมองผมเงียบๆหลังจากที่ผมตอบละ ก็คนไม่ชอบจริงๆนี่น่า

"ก็ท่านพ่อท่านแม่ข้าสอนให้นี่น่า ข้าก็จำเป็นต้องเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าถามข้าว่าชอบอะไร ข้าก็ไม่รู้ เพราะทั้งสองอย่างที่ข้าเคยเรียน ข้าล้วนไม่ชอบทั้งนั้น"

"เช่นนั้นเราคงต้องเริ่มเลือกกันใหม่ เพราะสิ่งที่เราชื่นชอบ จะทำให้เราอยากเรียนให้สำเร็จด้วยเวลาอันสั้น จะได้มีเวลาเรียนเพลงอาวุธอื่นที่คล้ายคลึงกันหลังจากฝึกเพลงอาวุธประตัวเจ้าเสร็จ"

"เพลงอาวุธประจำตัวรึขอรับพี่หลง"ผมถามอย่างงงๆผมต้องมีเพลงอาวุธเป็นของตัวเองด้วยเหรอ

"สิ่งที่พี่สอนให้เป็นวิชาเดียวกันก็จริง แต่ผู้ที่รับการฝึกจะฝึกได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่ที่ผู้ฝึกเอง จนหลายครั้งวิชาเดียวกัน แต่ผู้ใช้ต่างกัน ก็ทำให้เป็นเพลงอาวุธที่แตกต่างออกไปได้ ทุกคนมีเพลงอาวุธที่เหมาะกับตัวเองเสมอ เหลียนเอ๋อร์ก็เช่นกัน"พี่หลงบอกอย่างใจดี ซึ่งผมก็พอคิดภาพตามที่พี่หลงบอกออกอยู่

"เช่นนั้น เราจะเลือกจากอะไรขอรับ"ผมถามอย่างงงๆเพราะตอนนี้เราอยู่กันกลางป่าจะเอาอาวุธมากมายจากไหนมาให้ผมเลือก ว่าผมจะเหมาะกับอะไร

"เข้าไปในบ้านก่อนเถอะ"พี่หลงจึงเดินนำผมเข้าไปในบ้านไม้ไผ่ขนาดกลางนั้นทันที ผมเดินตามเข้าไปพลางสำรวจบ้านที่ไม่มีอะไรตกแต่งมากนัก สมกับเป็นบ้านชายชาตรีที่อยู่คนเดียวโสดๆกลางป่าละเนอะ แต่ทุกอย่างก็เป็นสัดเป็นส่วนอย่างสะอาดสะอ้านพอตัว และก็มีครัวเล็กๆที่มีแต่กองฟืนและเตาจากหินสามก้อนวางเหมือนเตาเอาไว้ ส่วนที่นอนก็มีเพียงผ้าผืนบางปูเอาไว้ที่เตียงไม้ไผ่กับหมอนไม้ที่ตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยมยาวเกือบศอกจากที่เห็นว่าปวดคอมากนะถ้าหนุนแบบนั้นอะ คอเคล็ด หรือไม่ก็คอตกหมอนง่ายมากเลยแฮะ ส่วนกลางบ้านมีโต๊ะไม้ไม่ใหญ่มากพร้อมกับเก้าอี้สองตัว ที่ไม่ได้ประณีตมากนักตามคนทำที่ไม่ได้เป็นช่าง แต่ก็ทำออกมาพอแก้ขัดได้ประมาณนั้น ซึ่งพี่หลงก็นั่งรออยู่แล้วบนโต๊ะมีเพียงจอกที่ทำจากต้นไผ่ที่ตัดมา และน้ำในกระบอกไม้ไผ่ที่น่าจะต้มแล้วเอาไว้เป็นน้ำดื่ม ซึ่งพอผมเห็นแล้วเนี่ย ทุกอย่างในบ้านล้วนขัดใจผมที่เป็นคนเจ้าระเบียบพอตัวเลย

"พี่หลง หากข้าจะให้ของขออภัยดังเช่นที่พี่หลงให็ดอกเซียนหยางกับข้า พี่หลงจะว่าอย่างไร"ผมที่เดินมานั่งลงเก้าอี้อีกตัวที่พี่หลงนั่งลงก่อนแล้วอีกด้านนึง ผมก็พูดพลางหยั่งเชิงว่าพี่หลงจะโกรธมั้ย แต่ผมยังไม่บอกหรอกว่าจะให้อะไร เพราะถ้ารู้ว่าผมจะร่ายเวทย์บันดาลทุกอย่างในบ้านให้ดีที่สุดคงจะค้านหัวชนฝาแน่ ฉะนั้นต้องใช้วิธีเดียวกับพี่หลงนั้นแหละ ยัดเยียดแบบที่ปฏิเสธไม่ได้อะ

"พี่ไม่ได้โกรธเจ้า เจ้าไม่ต้องให้อะไรพี่ก็ได้"

"ไม่ได้หรอกขอรับ พี่หลงยังให้ข้าเลย หรือว่าพี่หลงรังเกียจของที่ข้าจะให้ หรือจริงๆแล้วพี่หลงยังไม่ได้ให้อภัยเหลียนเอ๋อร์จริงๆอย่างที่พี่หลงพูดกันแน่"ผมพูดเสียงอ่อนคล้ายจะร้องไห้ที่พี่หลงไม่อยากรับของที่ผมจะให้ น้ำเสียงนี้ผมใช้อ้อนพ่อแม่มาตลอดเวลาอยากได้อะไร พวกท่านไม่เคยปฏิเสธได้เลยสักครั้งหากผมใช้เสียงนี้ ซึ่งพี่หลงก็ไม่น่าจะรอดหรอก ผมรับประกัน

"พี่ไม่ได้คิดอะไรเช่นนั้นเลยสักนิดเหลียนเอ๋อร์ พี่เพียงห่วงเจ้ากลัวเจ้าจะเหนื่อยนะ เช่นนั้นเจ้าอยากให้อะไรพี่ล่ะ"พี่หลงพูดเสียงอ่อนโยนราวกับจะปลอบโยนผม ซึ่งผมทำได้แค่กรีดร้องดีใจในใจเท่านั้น สำเร็จแล้ว

"สิ่งที่ข้าจะให้ก็คือ…."ผมเงยหน้าสบตาพร้อมตอบด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์จากนั้นก็ร่ายเวทย์เปลี่ยนแปลงภายในบ้านไม้ไผ่นี่ไม่ต่างจากห้องพักหรูๆห้องหนึ่งเลยละ ทั้งห้องครัว ข้าวสารอาหารแห้ง เตา ชามจาน ตั่งเตียงฟูกนุ่มหมอนนุ่มผ้านวมหนาพอดีทุกอย่างทุกทำอย่างประณีต รวมถึงโต๊ะเก้าอี้ที่นั่งอยู่นี่ก็เปลี่ยนเป็นไม้สักทองขัดเงาอย่างดี บนโต๊ะมีชุดน้ำชาที่เข้ากับจอกชาและขนมมากมายที่เหมาะจะทานกับน้ำชา ชั้นหนังสือ เตากำยาน ตะเกียง ตู้เสื้อผ้า ทุกอย่างที่ผมเห็นว่าสมควรก็ถูกเสกสรรขึ้นมาราวกับที่นี่เป็นวิมานย่อมๆได้ ก็ผมชอบแบบนี้นี่น่า ซึ่งตอนนี้พี่หลงมองอย่างอึ้งๆเมื่อเห็นสิ่งที่ผมทำ แต่ก็ห้ามอะไรไม่ทันแล้ว เพราะร่างสูงเผลอหลุดปากรับมาแล้วนี่น่า หลังจากที่ตั้งสติกลับมาได้พี่หลงก็ทำหน้านิ่งเหมือนเดิม

"เช่นนั้น เรามาเริ่มเลือกอาวุธที่เหลียนเอ๋อร์จะเรียนกันเถอะ"พี่หลงก็เข้าเรื่องต่อทันที

"ขอรับ"ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร เพราะตอนนี้ทุกอย่างถูกใจผมแล้ว สบายใจแล้ว ผมจึงยื่นมือไปรินชาแล้วส่งไปให้พี่หลง ก่อนจะรินให้ตัวเองแล้วยกขึ้นดื่ม ซึ่งกำลังมองพี่หลงหยิบหินอะไรไม่รู้ออกมาจากแหวนมิติของตัวเองก่อนจะวางไว้กลางโต๊ะพร้อมเลื่อนมาใกล้ผมด้วย ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ

"หินทำนายยุทธ์ เพียงแค่วางมือบนหินก้อนนี้ มันจะตรวจสอบว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร เหมาะกับอาวุธชิ้นไหนที่เหมาะสมกับแก่นธาตุยุทธ์ในตัวเจ้า แล้วมันจะสร้างอาวุธที่เหมาะกับเหลียนเอ๋อร์ออกมา เพื่อให้เจ้าร่ำเรียนสิ่งนั้นเป็นเพลงอาวุธคู่กาย"คงเห็นว่าผมทำหน้างงๆโง่ๆละมั้งพี่หลงเลยอธิบายให้ฟังว่าคืออะไร ซึ่งผมว้าวซ่ามาก เพิ่งเคยได้ยินแบบนี้ครั้งแรกนะเนี่ย หินก้อนนี่ดูธรรมดามาก แต่พอฟังประสิทธิภาพแล้วเนี่ยโคตรเยี่ยมยอดเลย จะมองเพียงภายนอกไม่ได้สินะ แล้วพี่หลงยังมีหินสุดยอดนี่กับตัวอีก ต้องเป็นคนที่เยี่ยมยอดพอกันแน่ๆเลยอะ

"เช่นนั้น ข้าลองวางมือเลยนะขอรับ"ผมพูดอย่างตื่นเต้น แล้วค่อยๆวางมือลงไปบนหินจากนั้นผมก็รู้สึกลมผ่านตัวไปวูบนึงที่พอผมลืมตาขึ้นมองดูรอบตัว ตอนนี้ข้างตัวผมเต็มไปด้วยอาวุธนานาชนิดซึ่งแต่ละอันแลดูน่ากลัวมากจากพลังปราณที่อยู่รอบๆตัวอาวุธ จนตอนนี้ผมมองไปทางไหนก็ไม่มีอาวุธชิ้นไหนถูกใจสักนิด พอทำใจได้แล้วจึงกะจะเดินไปดูข้างในเผื่อจะมีอาวุธทากกว่านี้สักหน่อย ซึ่งที่ที่ผมยืนอยู่จริงๆก็มีอาวุธทุกชนิด ตั้งแต่บรรดาดาบ โซ่ แส้ ขวาน กระบอง มีดคู่ สารพัดสารเพแต่ผมคิดว่ามันต้องมีมากว่านี้สิ เพราะตรงนี้ไม่มีอาวุธไหนที่เข้าตาผมเลย ผมเลยเดินเข้ามาเรื่อยๆผ่านอาวุธมากมายที่สำแดงพลังออกมาให้ผมเลือก ซึ่งผมก็ไม่สนใจเลย เดินเข้ามาไกลเท่าไหร่ไม่รู้แต่ตอนนี้หางตาผมเห็นกู่เจิง ผีผา และขลุ่ย ที่วางกระจัดกระจายกันอยู่ และทุกชิ้นล้วนถูกบดบังรัศมีจากอาวุธอื่นๆ ผมเลยเดินเข้าดูกู่เจิงก่อนเพราะเป็นตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด ตัวเรือนทำจากไม้หอมขนาดร้อยยี่สิบเซ็นมีลายลวดประณีตและเส้นสายมากถึงยี่สิบเอ็ดเส้นมีสีแดงเถือกนั้นไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร น่ากลัวแต่ก็น่าหลงใหลมากเช่นกัน ซึ่งผมชอบนะ แต่ก็เหมือนจะยากพอตัว เลยเดินไปดูผีผาตัวถัดมาที่มีลักษณะเหมือนลูกสาลี่ผ่าครึ่ง มีคันทวนตรงแกะสลักลายบุปผาสวยงาม มีสายสีขาวที่เปร่งประกายสี่ห้าสายที่ดึงไว้ด้วยผิ่นไม้รูปหงษ์สี่ตัว ซึ่งผีผาตัวนี้สวยมากจริงๆ สวยแบบตะโกน สวยแบบที่อยากเรียนให้ดีเพื่อเล่นผีผาตัวนี้ให้ได้สักครั้งอะ นี่สินะคำที่ว่าได้สักครั้งจะตั้งใจเรียน ถ้าได้ลองดีดสักครั้งแล้วดีจะเรียนทุกเพลงเพื่อมันเลยจริงๆ แต่เดี่ยวก่อน อย่าเพิ่งตัดสินใจสิ ยังไม่ได้ดูขลุ่ยเลย ผมดึงสติหลังจากที่เหมือนจะโดนผีผาตัวนี้ล่อลวง ก่อนจะตัดใจเดินมาดูขลุ่ยก่อนตัดสินใจว่าอยากจะเรียนอะไร ซึ่งพอเดินมาถึงขลุ่ยก็เห็นขลุ่ยยกขาววาวที่เปร่งประกายอยู่ ทีแรกเหมือนอาวุธพวกนี้ไม่เด่นนะ แต่พอเด่นมาดูจริงๆแล้วแต่ละอย่างมีความโดดเด่นมาก มากกว่าทวนเล่มใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างๆซะอีก ซึ่งขลุ่ยก็มีรัศมีบางอย่างที่ผมอดจะเอือมมือไปหยิบไม่ได้ พอสัมผัสเนื้อเย็นๆนั้นยิ่งชื่นชอบ ผมยกขลุ่ยขึ้นจรดิมฝีปากบางอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะเริ่มเป่าลงไปเสียงเบาพร้อมทั้งความรู้สึกที่เหมือนเคยเปล่าขลุ่ยมากก่อน มีภาพเลือนรางในหัวว่าผมเคยเปล่าขลุ่ยให้ใครสักคนฟัง เป่าออกมาอย่างอ่อนโยน ท่วงทำนองที่เต็มไปด้วยรักถูกบรรเลงออกมาผ่านเสียงขลุ่ย ผมปล่อยตัวปล่อยใจเล่นไปตามความรู้สึกที่หัวใจล่องลอยอยู่ในตอนนี้ จนท่วงทำนองที่เป่าเริ่มมีความโศกเศร้าเสียใจราวกับจะขาดใจตาย จนผมที่เดิมทีใจล่องลอยอยู่กลับมีความรู้สึกเจ็บเสียดในอกอย่างรุนแรงราวกับจะขาดใจตายตามอีกที ผมจึงหยุดเป่าแล้วแต่ลูบอกเบาๆราวกับปลอบโยนหัวใจตัวเอง แล้วจะวางขลุ่ยลงที่เดิม แต่วางไม่ลง พยายามแกะแงะก็ไม่ออก เอาละสิ อย่าบอกนะว่าขลุ่ยเลือกผมแล้วอะ แต่ผมยังไม่ตัดสินใจเลยนะ ผมเลยเดินถือขลุ่ยมาหยุดหน้าผีผาตัวนั้น เอาว่ะ ลองดีดดูสักครั้งก็ยังดี ถึงไม่ได้เอากลับไปฝึก ได้ดีดสักครั้งก็ยังดี ผมเลยวางมือดีดผีผาตัวนั้นด้วยความที่กะแรงดีดไม่ถูก นิ้วเรียวจึงถูกสายผีผาบาดจนได้เลือด จนผีผาตัวนั้นเรืองแสงเปร่งประกายออกมาหุ้มรอบตัวผม จึงผมต้องหลับตา ลืมตาอีกทีผมก็นั่งอยู่ที่เดิมวางมือนึงไว้บนหิน ข้างหน้าผมมีผีผาตัวนั้นวางอยู่ นี่แสดงว่าผมจะได้เรียนผีผาเป็นอย่างแรกสินะ ผมยกมือข้างขวาออกจากหินก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นมาจากใต้โต๊ะเพื่อจะหยิบผีผามาดู แต่ในมือซ้ายกลับมีขลุ่ยตัวนั้นอยู่ในมือแน่นเลยนะสิครับ เห้ย ทำไมมีสองตัวละ ผมเลยส่งสายตาตะลึงงันไปทางพี่หลงเพื่อขอคำอธิบายทันที

"เหลียนเอ๋อร์เป็นที่มีพรสวรรค์มาก จนหินทำนายยุทธ์ให้เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธเอง ซึ่งจากท่าทางแล้วผีผาจันทราเหมันต์ตัวนี้ได้ทำพันธะเลือดเป็นอาวุธประจำตัวเจ้าคนเดียวแล้ว ส่วนขลุ่ยหยกอนันตกาลก็คงได้ผูกจิตเป็นคู่พันธะจิตกับเจ้าเช่นกัน"พี่หลงอธิบายอย่างใจเย็น

"งี้ก็แสดงว่า ข้าต้องเรียนทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกันใช่รึไม่ขอรับ"ผมถามอย่างอึ้งๆอีกที

"ใช่"

"เย่ๆๆ ข้าดีใจที่สุดเลยอะ ข้าชอบทั้งสิ่งนี้เท่ากันเลย"ผมร้องออกมาอย่างดีใจ ที่จะได้เรียนและอยู่กับสองอย่างที่ผมชื่นชอบจึงคว้าผีผามากอดรวมกับขลุ่ยเลย ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะเรียกหนัก ต่อให้หนักผมก็จะเรียก ก็คนมันชอบอะ แค่วางแผนให้ดีแบ่งเวลาให้เหมาะสมเช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว พี่หลงก็คงประหลาดใจกับท่าทางของผมอยู่เหมือนกันละมั้งที่อยู่ๆก็ร้องตะโกนออกมาแล้วก็กอดของไว้เนียบอกแน่นแบบนั้น

"เช่นนั้น เริ่มเรียนกันเถอะ"พี่หลงพูดแบบนั้นก่อนจะหยิบกระดาษท่วงทำนองของเพลงผีผาและขลุ่ยออกมาจากแหวนมิติ ซึ่งก็สมแล้วที่เป็นชาวยุทธ์เพราะแหวนมิติมีแต่ของที่เกี่ยวกับอาวุธทั้งนั้นเลย ไม่มีแม้แต่ของจำเป็นต้องกินต้องใช้เหมือนแหวนมิติผม จากนั้นผมจึงรับกระดาษที่พี่หลงยื่นมาให้แล้วฟังพี่หลงอธิบายการฝึกและการบรรเลงดนตรีทั้งสองอย่าง แล้วพี่หลงยังบอกเพียงแค่ช่วยชี้แนะได้เพียงเท่านั้น อาวุธดนตรีพี่หลงไม่ค่อยถนัด หากเป็นหอกดาบหรืออาวุธร้อยแปดพันอย่างพี่หลงสามารถสอนให้ได้ แต่อาวุธดนตรีพี่หลงทำได้เพียงบอกสิ่งที่รู้มาบ้างเท่านั้นและให้ได้เพียงท่วงทำนองที่พี่หลงได้มานานแล้ว จากนี้ไปผมต้องฝึกฝนด้วยตนเอง แต่จะมีพี่หลงคอยดูแลอยู่ห่างๆเวลาที่ผมมาฝึก เพราะจากที่ฟังทั้งสองชนิดควรฝึกในป่านี่แหละดีที่สุดแล้ว จากนั้นผมจึงร้อนวิชานำทั้งสองสิ่งหายวับมาอยู่ที่ร่มต้มไม้ใหญ่หน้าน้ำตก จากนั้นร่ายเวทย์สร้างโต๊ะเก้าอี้มาเพื่อฝึกแล้วจึงนำผีผาออกมาก่อนอย่างแรก ก่อนจึงเอาท่วงทำนองออกมาดูซึ่งพอจะวางมือลงบนสายที่ผมไม่รู้ว่าสายไหน ผีผาตัวนี้ก็ราวกับจะรู้ใจสายเอ็นขาวประกายกดตัวลงกับผิ่นให้ผมวางมือ จากนั้นผมก็วางมือตามที่ผีผาตัวนี้นำทางแล้วเรียนไปแต่ละบทเพลงที่ง่ายดายแล้วจดจำง่ายราวกับมันเกิดมาเพื่อผม ผ่านไปสักสามเพลงที่ผมจำได้แล้วสามารถดีดเองได้จึงขอบคุณผีผาตัวนั้นก่อนเก็บเข้าแหวนมิติ แล้วหยิบขลุ่ยออกมาซึ่งขลุ่ยก็สอนผมเหมือนที่ผีผาตัวนั้นทำเลย ทำให้ผมเรียนได้ไว้แล้วสนุกกับการเรียนทั้งสองอย่างมาก เมื่อเรียนจนถึงเย็นลืมพักกินข้าวไปบ้าง แต่ผลจากการเรียนก็ทำให้อิ่มอกอิ่มใจไม่ยาก พอเย็นเรียนต่ออีกหน่อยก็เงยหน้าเห็นพี่หลงนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเนินเขาหน้าบ้านพักนั้น คงจะตามมาดูอย่างที่พัก ผมจึงเล่นจนจบเพลงแล้วเก็บทุกอย่างลงในแหวนมิติจากนั้นก็เดินจะไปลาพี่หลงเพราะเย็นมากแล้ว

"เรียนเพียงวันแรกก็เชี่ยวชาญราวกับชำนาญมานานปี เห็นทีพี่คงไม่จำเป็นต้องให้คำปรึกษาแล้วกระมัง"พี่หลงพูดทั้งที่หลับตาอยู่ แต่ก็รับรู้ได้ถึงฝีเท้าผมที่เดินมาอยู่ดี

"ข้าเพียงชื่นชอบพวกมันทั้งสอง และราวกับมันก็ชื่บชอบข้า เราจึงเข้าใจกันและกันในท่วงทำนองที่บรรเลงเหล่านั้นนะพี่หลง"ผมบอกตามความรู้สึกลึกๆนั้น

"พี่ดีใจที่เจ้าชอบ"พี่หลงลืมตาขึ้นมาสบกับผมพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยนให้

"ข้าต้องขอบใจพี่หลงต่างหากที่ทำให้ข้าได้เจ้าของวิเศษทั้งสองอย่างนั้น"

"มันเป็นของเจ้า มันเป็นมาตั้งนานแล้ว ของก็มีนายของมัน และตอนนี้ท่าทางมันทั้งสองคงเจอนายมันแล้ว"พี่หลงพูดออกมาเบาๆ ผมได้ยินไม่ชัดมากก็งงในสิ่งที่ได้ยินอยู่เหมือนกัน

"พี่หลงหมายความว่ากระไรนะขอรับ"ผมเลยถามออกไป

"ไม่มีอะไรหรอก เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะนี่ก็เย็นมากแล้วฝึกมาทั้งวันข้าวปลาไม่ยอมกิน วันหน้าพี่จะเข้าหยุดเจ้าเมื่อถึงเวลาทานแล้วเจ้าไม่ทาน เข้าใจตรงกันละ เหลียนเอ๋อร์"พี่หลงเตือนเสียงดุที่ผมไม่พักกินข้าว

"ขอรับ วันหน้าข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกขอรับ"

"ดี"พี่หลงตอบกลับมาสั้นๆได้ใจความ โห่ เวลาดุนี่ยาวมาก ดุเป็นพ่อเลย ไม่สิดุยิ่งกว่าพ่ออีก เวลาชมนี่สั้นเชียว แต่เพราะหวังดีหรอกนะผมเลยมองข้ามไปอะ

"เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน คารวะพี่หลง"ผมเลยคารวะลาแล้วหายวับไปเลย นี่คงเป็นครั้งแรกด้วยมั้งที่เขาคารวะร่างสูง พอกลับมาห้องก็อาบน้ำกินข้าวแล้วนอนตายทันทีจากความเหน็บเหนื่อย จากนั้นทุกวันที่ว่างผมก็จะไปฝึกที่เดิมตลอด ร่วมทั้งใช้เวลากินข้าวพูดคุยความเป็นไปในชีวิตกับพี่หลงจนเวลาผ่านไปนานสามเดือนแล้วที่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่หลงเป็นแบบนี้ เราค่อยๆไต่ระดับความใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการบรรเลงดนตรีทั้งสองที่ผมสามารถบรรเลงได้ตามใจเป็นท่วงทำนองเองได้แล้วรวมทั้งร้อยเรียงทำนองใหม่ขึ้นมาหลายสิบเพลง โดยมีพี่หลงเป็นคนฟังพร้อมทั้งแนะนำส่วนที่ขาดที่เกิน เรียกได้ว่าตอนนี้ผมไว้ใจพี่หลงมาๆเลยก็ว่าได้ เวลาที่มีอะไรจะนึกถึงพี่หลงก่อนคนแรกเสมอ ซึ่งนี่ก็ทำให้ผมลืมเรื่องที่เสี่ยวเสี้ยวเตือนผมไปแล้วอย่างสนิทใจ จ

จนคืนนึงที่ผมหลับ ในมิติจิตที่เชื่อมกันอยู่นั้นเขาได้ฝันเห็นร่างสูงใหญ่ร่างนึงที่มีผมสีดำยาวถึงกลางหลัง คิ้วโก่งสวย ดวงตาเรียวสวยแดงกล่ำ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหนาแดงระเรื่อที่มีเขี้ยวเล็กๆสองข้างง ใบหน้ากึ่งสวยกึ่งหล่อนั้น ทั้งผิวที่ขาวซีด มาในชุดสีแดงเพลิงเข้ากับสีดวงตานั้นเหลือเกิน เขาที่มองสบดวงตานั้นเหมือนกับรู้จักกันมาก่อน ดวงตาเหมือนเสี่ยวเสี้ยวของเขาเลย ขาที่ห้ามไม่ได้นั้นก้าวเข้าไปหาร่างสูงช้าๆ เมื่อยืนตรงหน้าร่างสูงแล้วเขาจึงสวมกอดอีกฝ่ายพร้อมทั้งร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึง ที่เหมือนจากกันนานแสนนานจนไม่คิดว่าเขาจะได้เจออีกฝ่ายอีก

"เสี่ยวหู่ ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงเหลือเกิน"เขาพูดชื่อร่างสูงออกมาอย่างไม่รู้ตัว

"ข้าก็คิดถึงเจ้า คิดถึงมาก หลันเอ๋อร์"ร่างสูงที่ถูกสวมกอด กอดตอบพร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

"เจ้ากลับมาแล้ว กลับมาสักที ข้ารอเจ้า รอมานานแล้ว"เขาพูดพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างหนัก

"ข้าขอโทษ ข้ากลับมาแล้ว ช้าไปนิด แต่ข้ากลับมาแล้วหลันเอ๋อร์ นายแห่งข้า"ร่างสูงพูดออกด้วยความดีใจ ราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันในรอบหลายร้อยปี

"อือ เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว"เขาพูดออกมาจากความรู้สึกลึกๆในใจ

"อีกไม่นานหลันเอ๋อร์ อีกไม่นานข้าจะกลับมา ตอนนี้เจ้าจงระวังคนผู้นั้นให้มาก จนกว่าข้าจะกลับมาเข้าใจหรือไม่หลันเอ๋อร์"ร่างสูงพูดย้ำในสิ่งที่ทำให้ต้องมาในวันนี้ ที่เห็นร่างเล็กเหมือนจะถลำลึกไปไกลแล้ว

"แล้วเจ้าจะไปไหน ไหนเจ้าบอกว่ากลับมาหาข้าแล้วไง แล้วเจ้าจะไปไหนอีก"เขาถามอย่างไม่เข้าใจ

"ข้ากลับมาแล้วก็จริง แต่ตอนนี้เราพบกันในมิติจิตที่เชื่อมกันอยู่ แต่อีกไม่นานข้าจะกลับมาหาเจ้าจริงๆสักที รอข้านะหลันเอ๋อร์ อีกไม่นาน อีกเพียงไม่นาน ข้าจะกลับไป นายแห่งข้า"ร่างสูงพูดให้ความมั่นใจกับเขาก่อนที่ร่างสูงจะค่อยๆจางหายไป

"ดะ..เดี่ยว…เดี่ยวสิ อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไปปป เสี่ยวหู่"ผมร้องตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกับสะดุ้งตื่นมากลางดึกที่ตอนนี้หางตามีน้ำตาไหลนองอยู่พร้อมทั้งยกมือขึ้นกุมหัวใจที่เจ็บปวดจากการถูกพรากของรักออกไปจากอก แล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักราวกับจะคลายความเจ็บปวดนี้ไปได้ ผมไม่รู้ว่าคนในมิติจิตนั้นคือใคร แต่ต้องเป็นคนที่เขารักและคิดถึงมากเป็นแน่ เพราะเมื่อคิดไปถึงคำพูดที่บอกว่ากำลังจะกลับมาเร็วๆนี้นั้น หัวใจที่ราวกับถูกบีบก็คลายตัวลงอย่างง่ายดายราวกับไม่เคยเจ็บปวดมาก่อน ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมนอนหลับลงไปอีกรอบด้วยหัวใจที่เต็มตื้นสุขล้น และเฝ้ารอการกลับมาของใครบางคนที่ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่สบายใจเมื่อคิดถึง

ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!

mmmintmintcreators' thoughts