webnovel

ดวงใจอสุรา

เพราะเหตุพลิกผันทำให้ มู่หรงชีชีต้องย้อนอดีตมาเป็นนางซินในยุคโบราณที่เจ้าของร่างคนเดิมถูกลงโทษด้วยกฎบ้านจนตาย แต่คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อโชคชะตานี้ แม้จะถูกพี่สาวร่วมตระกูลแย่งคู่หมั้น มิหนำซ้ำยังถูกบิดาจับคลุมถุงชนเพื่อแต่งงานแก้เคล็ด แต่ดูเถอะว่ามู่หรงชีชีคนนี้จะไม่มีวันยอมแพ้แน่นอน! เนื่องด้วยพระราชโองการจากฮ่องเต้ ทำให้มู่หรงชีชีต้องยอมอภิเษกกับ เฟิ่งชาง หนานหลินอ๋องแห่งแคว้นเป่ยโจว บุรุษที่ได้สมญานามว่า ‘อ๋องปีศาจ’ ผู้ที่มีดวงพิฆาตภรรยาอย่างไม่มีทางเลือก ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าหนานหลินอ๋องที่นางเคยได้ยินคำล่ำลือมาว่าแสนร้ายกาจนั้นจะไม่เหมือนบุรุษตรงหน้าที่นางได้พบเลยแม้แต่น้อย ยิ่งนางได้รู้จัก นางก็ยิ่งจะหลงรักเขามากขึ้นเสียแล้ว

ล่าหมี่ทู่ · History
Not enough ratings
156 Chs

ตอนที่ 016

ตอนที่ 16 ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด

คอยดูเถิด คนยิ่งเยอะยิ่งดี มู่หรงซินเหลียนเผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมาอีกครั้ง “ท่านพ่อ น้องสามไม่ได้ตั้งใจนะเจ้าคะ เป็นคุณหนูตวนมู่ต่างหากที่ทำเกินไป......”

“พี่รอง ไม่ว่าพี่สามจะตั้งใจหรือไม่ แต่ที่นางทำให้คุณหนูตวนมู่บาดเจ็บนั้นเป็นเรื่องจริง ถ้าหากฮองเฮาไต่สวนขึ้นมา ใช่ว่า ‘ไม่ได้ตั้งใจ’ เพียงแค่คำเดียว จะสามารถผลักความรับผิดชอบออกไปได้” เมื่อเห็นมู่หรงซินเหลียนพูดแก้ตัวให้มู่หรงชีชี มู่หรงชิงเหลียนก็ถึงกับเบ้ปากมองบน

ดูเหมือนว่าคนในบ้านนี้ ไม่ว่าจะแก่หรือจะเด็กต่างก็ไม่ต้อนรับมู่หรงชีชีเสียเท่าไหร่

เมื่อได้ฟังคำพูดของมู่หรงชิงเหลียน ซั่งกวานอู๋จี้ก็รู้สึกสงสารมู่หรงชีชีขึ้นมา เกิดมาในตระกูลเช่นนี้ โดนพี่น้องคอยแว้งกัด อีกทั้งยังถูกพ่อแท้ๆ รังเกียจ ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาชีวิตของนางเป็นเช่นไร

“ท่านอำมาตย์ขอรับ เรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้คุณหนูสามไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เป็นคุณหนูตวนมู่ที่รังแกนางก่อน ท่านอำมาตย์อย่าได้โทษว่าเป็นความผิดคุณหนูสามเลย”

มู่หรงไท้ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าซั่งกวานอู๋จี้จะเอ่ยปากช่วยพูดให้มู่หรงชีชี ถึงตอนนี้แล้วไป๋มู่เฟยและไป๋อี้เยว่ก็ยืนขึ้นมาพูดบ้าง “มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ขอรับ ไม่เกี่ยวกับคุณหนูสาม ท่านอำมาตย์อย่าทำให้คุณหนูสามต้องลำบากใจเลย”

ซั่งกวานอู๋จี้แค่คนเดียวก็ทำให้มู่หรงไท้แปลกใจแล้ว แต่ตอนนี้ยังมีสองพี่น้องตระกูลไป๋ออกมาร้องขออีก ยิ่งทำให้เขาประหลาดเสียกว่าเดิม มู่หรงชีชีเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? คนจากสองตระกูลใหญ่ถึงกับต้องออกหน้าช่วยนางพูด หรือว่าเรื่องนี้ยังมีอะไรที่เขาไม่รู้อีก?

“ท่านอาเขย เรื่องนี้พวกข้าล้วนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ต่อให้ตระกูลตวนมู่ไปพูดอะไรต่อหน้าฮองเฮา พวกข้าก็เป็นพยานให้น้องหญิงได้ ท่านอาเขยไม่ต้องเป็นกังวล” หลี่อวิ๋นชิงพูดขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย ให้คำมั่นกับมู่หรงไท้ ในเมื่อมีคนเป็นพยานให้หลายคนเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องห่วงเรื่องของมู่หรงชีชีอีก

เมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยพูดให้มู่หรงชีชี มู่หรงไท้ก็เหมือนว่าจะล้มเลิกความคิดที่จะไปจัดการมู่หรงชีชีแล้ว มู่หรงซินเหลียนจึงเริ่มร้อนรนขึ้นมา “ท่านพ่อเจ้าคะ น้องสามรู้สึกไม่ค่อยสบาย ข้าว่าเราน่าจะไปดูนางเสียหน่อย ไม่รู้ว่านางจะป่วยหรือไม่”

“ป่วยตายไปเสียก็สมควรแล้ว!” เมื่อมู่หรงไท้หลุดคำนี้ออกมา สีหน้าของหลี่อวิ๋นชิงและซั่งกวานอู๋จี้ก็เปลี่ยนไปทันควัน

มู่หรงไท้ราวกับจะรับรู้ได้ว่าคำที่เขาเพิ่งพูดออกไปนั้นดูจะไร้หัวใจจนเกินไป เช่นนั้นจึงฝืนยิ้มออกไป ต่อให้บุตรสาวจะไม่ได้ดั่งใจเพียงใด แต่ยามที่มีคนนอกอยู่เช่นนี้ จะให้คนอื่นมองเขาในทางไม่ดีไม่ได้ “ก็ได้ เช่นนั้นก็ไปดูนางเสียหน่อย ไม่เคยทำให้ข้าสบายใจได้เลยจริงๆ”

“พี่รอง พวกเราก็ไปด้วย” มู่หรงชิงเหลียนดูมีความสุขมาก ในจวนไม่มีเรื่องที่ทำให้นางมีความสุขมานานแล้ว ถึงแม้ก่อนหน้านี้นางกับมู่หรงซินเหลียนจะมีเรื่องทะเลาะกัน แต่การได้รังแกคนไร้ประโยชน์อย่างมู่หรงชีชีนี่สิถึงจะเป็นเรื่องสนุกที่สุดสำหรับนาง

“พวกเราเองก็ไปดูเสียหน่อย......” ซั่งกวานอู๋จี้พูดเสนอขึ้นกับทุกคน เขาเป็นห่วงมู่หรงชีชีเป็นอย่างมาก ยิ่งนึกถึงภาพที่นางน้ำตาคลอเบ้า และยิ่งได้เห็นว่าคนในตระกูลมู่หรงปฏิบัติกับนางเช่นไร ภายในใจของซั่งกวานอู๋จี้ก็เจ็บปวดขึ้นมา

“พี่ใหญ่ ข้าอยากไปดูคุณหนูสาม”

ไป๋อี้เยว่ก็รู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ของมู่หรงชีชีในตอนนี้เช่นกัน ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่นางก็ชื่นชอบมู่หรงชีชีจากใจจริง ตอนนี้ยิ่งได้เห็นว่าในจวนอำมาตย์นั้นนางเป็นอยู่อย่างไร ไป๋อี้เฟยก็รู้สึกสงสารมู่หรงชีชีเป็นอย่างมาก

เมื่อมีถึงสองคนที่อยากไป ไป๋มู่เฟยและหลี่อวิ๋นชิงจึงพยักหน้าเห็นด้วย เดินตามมู่หรงไท้ไป

ตอนนี้ในใจของมู่หรงซินเหลียนมีแต่ความเกษมเปรมปรีดิ์ ยิ่งมีคนไปมากเท่าไรยิ่งดี นางกำลังกังวลว่าเรื่องนี้จะไม่ใหญ่โตอยู่พอดี คุณหนูคุณชายจากสามตระกูลใหญ่ก็จะไปเห็นเรื่องเสื่อมเสียของมู่หรงชีชีด้วยตาตัวเองแล้ว พรุ่งนี้เรื่องนี้ก็จะถูกพูดไปทุกหย่อมหญ้าในเมืองหลวง ฮ่าๆ มู่หรงชีชี ครั้งนี้เจ้าตายแน่!

ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามที่มู่หรงซินเหลียนวางไว้ ยิ่งเข้าใกล้ห้องที่นางตระเตรียมไว้เท่าไหร่ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ยิ่งกว้างขึ้น ราวกับนางได้เห็นตำแหน่งจิ้งหวางเฟยที่กำลังกวักมือเรียกนางอยู่ตรงหน้า มากกว่านั้นนางถึงขั้นมองเห็นภาพของหลงเจ๋อจิ่งเทียนที่ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับนาง.......

“อ๊า……ดีจัง......อย่าหยุดนะ......”

ทุกคนกำลังเดินอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสตรีครวญครางออกมาอย่างสุขสบาย เสียงของนางนั้นช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน ฟังอยู่สักพัก สีหน้าของมู่หรงไท้ก็เปลี่ยนไปทันควัน รีบร้อนเดินตามเสียงนั้นไปจนถึงห้องๆ หนึ่ง

“ท่านพี่ดีจังเลยเจ้าค่ะ...น้องอยากได้อีก......”

“ปึง!” เมื่อได้ยินคำนี้ มู่หรงไท้ก็โกรธจนสมองแทบจะระเบิด เขาถีบประตูให้เปิดออก ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วเดินตรงไปที่เตียง ดึงม่านออก เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าครึ่งยิ้มครึ่งร้องขอของเจิ้งหมิ่น ก็ราวกับว่าเลือดลมทั่วร่างพลันไหลไปรวมกันที่สมอง “นังแพศยา! เจ้ากล้าสวมหมวกเขียว[footnoteRef:2]ให้ข้า!” [2: สวมหมวกเขียว(戴绿帽子):คำเรียกบุรุษที่ภรรยามีชู้]

“เพียะ!” มู่หรงไท้ตบลงบนใบหน้าของเจิ้งหมิ่น จับนางขึ้นมาแล้วโยนลงไปบนพื้น

มู่หรงซินเหลียนที่ได้ยินเสียงแล้วรู้สึกว่านี่ไม่ถูกนัก จึงรีบสั่งให้คนจุดตะเกียง พอมีไฟสว่างขึ้น นางก็เห็นเจิ้งหมิ่นที่กำลังมึนงง คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก “ท่านแม่ เหตุใดถึงเป็นท่านไปได้?” ภายในใจของมู่หรงซินเหลียนเต็มไปด้วยความตกตะลึง คนที่อยู่ในห้องนี้ควรจะเป็นมู่หรงชีชีมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเป็นเจิ้งหมิ่นเล่า?

“นายท่านได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” บุรุษหลังม่านลุกลี้ลุกลนหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม รีบลงจากเตียงลงไปนั่งคุกเข่า “นายท่านขอรับ เป็นเจิ้งอี๋เหนียงที่ยั่วยวนข้า ทั้งหมดเป็นเพราะนาง......”

บุรุษคนนั้นยังพูดไม่ทันจบ มู่หรงไท้ก็ชักดาบออกมาฟันคอจนคอขาด

ศีรษะที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ กลิ้งไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจิ้งหมิ่น นางก็กรีดร้องออกมา

“นังแพศยา! ยังมีหน้ามาร้องอีกหรือ!” แค่คิดว่ามีคนรุ่นลูกจากสามตระกูลใหญ่มาเห็นเรื่องเสื่อมเสียในตระกูล มิหนำซ้ำตนเองยังถูกสวมหมวกเขียวอีก มู่หรงไท้ก็ทั้งอับอายทั้งโกรธแค้น เรื่องนี้มีคนนอกมาเห็นเข้า แล้วต่อไปเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งคิดไฟโทสะในใจก็ยิ่งโหมกระพือ เขาตัดสินใจเลิกคิดถึงทุกอย่าง แทงดาบไปหาเจิ้งหมิ่นทันที

“ท่านพ่อ! ไม่นะ!” มู่หรงซินเหลียนอยากเข้าไปช่วยเจิ้งหมิ่น แต่กลับถูกมู่หรงชิงเหลียนขัดขาจนล้มลง กว่าที่นางจะลุกขึ้นมาได้ ดาบก็ปักลึกเข้าไปในอกเจิ้งหมิ่นเสียแล้ว หยาดโลหิตไหลย้อมชุดของนางจนกลายเป็นสีแดง

“ไม่……” เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า มู่หรงซินเหลียนก็ร้องออกมา ก่อนที่จะเป็นลมล้มพับไป

เดิมทีจะไปดูมู่หรงชีชี แต่ตอนนี้กลับได้มาเห็นเรื่องเสื่อมเสียของจวนอำมาตย์ หลี่อวิ๋นชิงและคนอื่นๆ ต่างสื่อสารกันทางสายตา จากนั้นก็พากันถอยกันออกไปอย่างเงียบๆ

มู่หรงไท้ก็ไม่มีกะจิตกะใจไปคิดเรื่องมู่หรงชีชี เมื่อเห็นเจิ้งหมิ่นที่ตายแล้วทั้งๆ ที่ยังลืมตาอยู่ สีหน้าบ่งบอกถึงความคาดไม่ถึง เขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้น เดินไปหยิบดาบออกมา ใช้เท้าเตะร่างไร้ชีวิตของเจิ้งหมิ่นอีกครั้งหนึ่ง

แคว้นซีฉีมีกฎหมายว่า หากจับได้คาหนังคาเขาว่าภรรยามีชู้ สามารถฆ่าทิ้งได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้มู่หรงไท้จึงรู้สึกอับอายจนกลายเป็นโกรธแค้น เลยฆ่าเจิ้งหมิ่นทิ้งเสีย

“เจ้าเข้ามา!” มู่หรงไท้เรียกเฉินจงที่เป็นพ่อบ้านเข้ามาด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “เอาหญิงร้ายชายชั่วคู่นี้ไปทิ้งให้หมามันกินซะ! เรื่องในวันนี้ห้ามให้ใครพูดออกไป ไม่เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

สายตาโหดเหี้ยมของมู่หรงไท้ทำให้เฉินจงใจสั่นไปด้วยความกลัว อย่างน้อยเจิ้งหมิ่นก็เป็นมารดาของมู่หรงซินเหลียน ยามปกติก็เป็นที่โปรดปรานของมู่หรงไท้ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เขากลับฆ่านางโดยที่ไม่เอ่ยถามแม้แต่คำเดียว แม้แต่ร่างของนางก็ไม่ให้เหลือครบทุกส่วน ท่านอำมาตย์คนนี้ช่างไร้หัวใจเสียจริง

เหตุการณ์นี้คนที่ดีใจที่สุดคงไม่พ้นมู่หรงชิงเหลียน เจิ้งหมิ่นตายไปแล้ว ก็มีแค่หลิวเอียนจือคนเดียวที่เป็นที่โปรดปราน อีกทั้งมู่หรงซินเหลียนก็จะต้องทนทุกข์ทรมานถูกเหยียดหยาม ต่อให้นางงดงามเพียงใด ก็ไม่มีบุรุษดีๆ ที่ไหนกล้าแต่งงานกับนางอีก