ดวงใจปักษา ตอน เยือนหิมพานต์2
...หลังจากที่พากันก้าวผ่านประตูแดนของป่าหิมพานต์เข้าไปแล้ว สุวรรณเบญกายได้เอ่ยชวนวายุภักดิ์และกรีราครุฑาผู้พี่ชายและน้องชายไปเดินเที่ยวในเขตแดนร้านค้าของป่าหิมพานต์
ณ ที่เขตแดนนี้ได้ถูกจัดให้มีเขตตลาดค้าขายอันเป็นพื้นที่ค้าขายของเหล่าคนธรรพ์ เหล่าครุฑกินนร และนาคประชาที่มาจับจองพื้นที่ค้าขายกัน ทั้งสามได้พากันเดินดูร้านรวงที่วางสินค้าเพื่อค้าขายกัน อันมีทั้งอัญมณีและเครื่องแต่งกายต่างๆ ที่นำมาวางขายให้กับผู้ที่มาเที่ยวชมได้เลือกซื้อ ทั้งสามเดินดูได้ซักครู่ วายุภักดิ์ก็เอ่ยขอตัวแยกจากพวกพี่ๆ ด้วยเพราะเหตุว่าตนนั้นไม่ค่อยชอบกับความพลุ้งพล่านของผู้คนสักเท่าใด วายุภักดิ์แยกเดินออกไปตามทางที่จะไปยังสระอโนดาต เขาเดินเล่นเดินชมธรรมชาติพฤกษาพันธุ์มาเรื่อยๆ จนพ้นเขตร้านค้าเข้าสู่เขตแดนป่าอันเป็นพื้นที่ ที่อุดมสมบูรณ์ของต้นไม้นานาพันธุ์ มาเรื่อยๆจนเข้าถึงทิวเขาแอ่งน้ำใส อันเป็นแอ่งเวิ้งกว้างขวาง ที่ทอดตัวยาวอยู่ในเขตป่ามีพันธุ์ไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม แอ่งน้ำสีขาวใสปนเขียวครามฟ้าที่อยู่เบื้องหน้า มันทำให้เขานั้นรู้สึกสงบใจในยามมองเวิ้งน้ำนั่น วายุภักดิ์เดินเลียบทิวแอ่งน้ำไปเรื่อยๆ จนไปถึงธารน้ำตก อันเป็นธารน้ำต้นสายที่ไหลลงสู่สระอโนดาต มันช่างเป็นธารน้ำตกที่สวยงามหาที่เปรียบปราณมิได้จริงๆเลย เสียงน้ำที่ไหลลงมาตามซอกหินทิวเขา กระทบโขดแก่งหินที่วางฝังตัวเอาไว้ สายน้ำที่แตกละออง มองดูกระเซ็นเป็นเส้นฝอยต้องแสงแห่งสุริยา ก่อเกิดเป็นแสงสีรุ้งที่สวยสดงดงาม มันช่างน่าเพลินใจเสียยิ่งกว่าอันใด...
ณ แอ่งแก่งน้ำนี้เริ่มมีผู้คนมาชมมาเล่นน้ำกันแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสาวๆ เหล่ากินรีที่จับกลุ่มกันลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน เมื่อผู้คนเริ่มมากเสียงสรวนเสเฮฮาก็เริ่มดัง วายุภักดิ์จึงตัดสินใจเดินไปอีกทางนึง เพื่อหลบลี้ความวุ่นวายของมวลชน เดินมาจนถึงต้นน้ำตกวายุภักดิ์จึงกางปีกโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ไปยังอีกชั้นหนึ่งของต้นน้ำ บนชั้นน้ำตกชั้นนี้สวยงามยิ่งกว่าชั้นแรกที่เขาผ่านมาเสียอีก รอบตัวมองเห็นชะง่อนผาสูงเด่นและสายน้ำที่ไหลผ่านก้อนหินใหญ่ที่วางขวางสายน้ำเอาไว้ ทำให้มองดูสวยงามกับพลิ้วน้ำที่พัดผ่านไป ผู้คนนั้นไม่มีแถมบรรยากาศที่สงบ แก่งน้ำที่ไม่ลึกมองเห็นน้ำใสไหลผ่านไปตามโขดแก่งหิน วายุภักดิ์เดินมานั่งลงที่โขดหินก้อนใหญ่ตรงชายน้ำ เขานั่งฟังเสียงน้ำไหลกระทบแก่งก้อนหินเสียงดัง ซ่า ซ่า... พื้นที่ชั้นสองของน้ำตกสระอโนดาตนี้ มีพื้นที่ไม่กว้างมากนัก นั่นเพราะมันเป็นเวิ้งชั้นของผาหินที่ยื่นทอดตัวมาขวางไว้ เขานั่งคิดและมองไปรอบๆตัว จนสายตาไปสะดุดตรงเชิงชั้นน้ำตก ที่ตรงเชิงน้ำตกตรงนี้ไม่สูงมากนัก ความสูงของชั้นหินราวๆ ห้าเมตร เขาจ้องมองตรงที่ม่านน้ำตกไหลลงมานั้น ก็มองเห็นเงาร่างเงาหนึ่งเดินหลบเข้าไปที่ใต้เชิงผาน้ำตก วายุภักดิ์จึงตัดสินใจลุกเดิน เพื่อไปดูว่าเงาร่างที่ตนนั้นมองเห็นคืออะไร และใต้น้ำตกที่เป็นม่านน้ำไหลผ่านนั้นมีชะง่อนหินที่ยื่นออกมา ทำให้ที่ตรงนั้นมีม่านน้ำปิดบังสายตาเอาไว้ วายุภักดิ์เดินมาใกล้ม่านน้ำตก ก็ยืนชั่งใจอยู่ว่าจะผ่านม่านน้ำตกเพื่อเข้าไปดูดีหรือไม่...
...เมื่อคิดตัดสินใจดีแล้ว เขาก็ก้าวเดินเลียบเคียงไปข้างๆ ฝนังหินและตัดสินใจมุดตัวก้าวผ่านม่านน้ำตกเข้าไป หลังม่านน้ำตกเป็นเวิ้งกว้างของชั้นหินที่ยื่นปิดบังเอาไว้ ภายในเป็นโถงกว้างแสงส่องผ่านเข้ามาไม่ถึง วายุภักดิ์เดินผ่านม่านน้ำเข้ามายืนอยู่ในโถงกว้างหลังชะง่อนผาใต้น้ำตก เขาหันหน้าออกมองม่านน้ำที่ไหลผ่านลงมา มันช่างสวยงามเสียจริงๆ จากนั้นเขาก็รีบปรับสายตาตัวเองให้คุ้นชินกับความมืดสลัว ของเวิ้งถ้ำหลังน้ำตก เมื่อสายตาที่เริ่มชินกับความมืดดีแล้ว วายุภักดิ์จึงมองเห็นร่างๆหนึ่ง ที่ยืนหลบอยู่ตรงฝนังหินโดยมีก้อนหินใหญ่ช่วยบังเอาไว้...
" นี่!!..เจ้าร่างนั่น!!.. เจ้าคือใคร? เหตุใดเจ้าถึงมายืนแอบหลบอยู่เยี่ยงนั้น?!! " วายุภักดิ์เอ่ยถาม...
เงาร่างที่มองเห็นยังยืนนิ่งเฉยไม่ขยับแถมไม่ตอบโต้กลับมา...
นี่!!...เจ้าจะตอบเราดีๆ หรือว่าเจ้าจะให้เราต้องใช้กำลังกับเจ้า!! ความนิ่งเฉยของร่างตรงหน้ายิ่งก่อให้อารมณ์ของวายุภักดิ์เดือดดาษ เจ้าจักมิตอบเราจริงๆใช่รึไม่?!!
ร่างที่ยืนอยู่ตรงก้อนหินก็ยังทำเฉย ดวงตาของวายุภักดิ์เริ่มมีสีแดงส่องแสงประกายไฟสีแดง ร่างที่ยืนสงบอยู่ตรงหน้า ก็เริ่มขยับตัวพร้อมกับเสียงที่เอ่ยย้อนกลับมา แบบกวนๆในที...
"ทำไมล่ะ...ทำไมเราจะต้องตอบเจ้า!!" เจ้ากับเราก็มิใคร่รู้จักกันซะที่ไหน!! 'เสียงตอบสวนมาเป็นเสียงยวนๆของดรุณีน้อย เสียงอันแว่วหวานกังวานใส' ที่ตอบสวนมานั้น ทำให้วายุภักดิ์นั้นถึงกลับตกตะลึงในน้ำเสียงใสกังวานนั่น...
เราเอ่ยถามเจ้า..ในคราแรกทำไมเจ้าจึงมิตอบเราล่ะ..?
ก็เรากับเจ้ามิได้รู้จักกัน!..ทำไมเราจักต้องตอบเจ้าด้วย!!..
เจ้านี่..นะ! ช่างไม่กลัวอะไรเสียจริงๆ เจ้ารู้รึไม่ว่าเหล่าผู้คนทั่วพื้นพิภพนี้ ล้วนต่างพากันเกรงกลัวต่อเราเหล่าพญาครุฑาเจ้าแห่งนภาเวหล!!
" 555...ทำไมเราจักต้องเกรงกลัวครุฑาอย่างเจ้าด้วย! ตัวของเจ้าก็ใช่จะต่างจากเรา จักโตกว่าเราก็เพียงนิดเดียว!! " คำพูดกังวานใสของดรุณีน้อยในมุมมืด ช่างเป็นอะไรที่ทำให้วายุภักดิ์นั้นสนใจยิ่งนัก..
แม่หญิง...ดูจากท่าทางแลน้ำเสียงที่ตอบของเจ้านั้น มันช่างทำให้เราสนใจในตัวเจ้ามากขึ้น.. เจ้าจักออกมาจากที่ตรงนั้น แล้วมาพูดคุยกับเราตรงใต้ม่านน้ำที่สว่างๆตรงนี้ได้รือไม่!..
ร่างน้อยอรชรค่อยๆ ขยับกายเดินพ้นความมืดออกมาตรงหน้าใต้ม่านน้ำตก แสงที่ส่องลอดผ่านม่านน้ำเข้ามา ทำให้วายุภักดิ์ได้มองเห็นร่างนั้นชัดเจนขึ้น...
" อันดรุณีน้อยแหน่งเนื้อเชื้อวสันต์
ร่างสะองค์โฉมพรรณให้ชวนหลง
อรชรอ่อนช้อยให้น่าชวนชม
เเม่โฉมงามทรามวัยให้ชวนมอง "...
ร่างเล็กๆ ผิวพรรณขาวนวลเยี่ยงดวงจันทรา สวมภูษาแต่งองค์ทรงปิ่นศรี ชุดสีเขียวที่นางสวมใส่ช่างขับสีผิวชวนให้หลงใหล..
................
"เจ้าเป็นผู้ใดกันรือแม่หญิง?" ..มองดูจากการแต่งตัวของเจ้าแล้ว หาได้เป็นชนชั้นธรรมดาก็หาไม่!..
" เราจักเป็นใครก็คงมิเกี่ยวกับเจ้า " เพราะวันหน้าเราคงมิได้พบเจอกันอีก.."
"อืม..ก็คงเยี่ยงนั้น!!" แต่ว่าทำไมเจ้าถึงมิยอมบอกนามของเจ้าแก่เราล่ะ? .. เจ้ากลัวเราล่ะสิ! เจ้าถึงมิกล้าบอกนามแก่เรา...
มองดูจากการแต่งองค์ทรงภูษา เจ้าเองก็น่าจะอยู่ในชั้นของราชธิดา แต่ข้ามิแน่ใจว่า เจ้านั้นจักเป็นราชธิดาแห่งเมืองใด!!
เมื่อเจ้าไม่ยอมบอก ข้าก็ขอเรียกเจ้าว่า "เจ้านางน้อย " ละกัน... ส่วนข้ามีนามว่า " วายุภักดิ์ปักษา " และหากเราได้พบเจอกันคราหน้า หวังว่าเจ้าคงจะยอมบอกนามแก่เรานะ " เจ้านางน้อย "
**********************************