ตอนที่ 24 ห
เย่หยวนเฝ้าดูโช่วหยินหนีตายสุดชีวิต เมื่อเห็นโช่วหยินเริ่มวิ่งออกไป เย่หยวนเพียงแค่ชี้นิ้วไปทางอีกฝ่ายและรวบรวมพลังปราณไปยังปลายนิ้วโดยใช้วรยุทธเก้าเซียนบูรพา
พลังปราณได้ถูกรวบรวมไว้ตรงปลายนิ้วที่ชี้ไปยังโช่วหยิน จากนั้นเย่หยวนก็ยิงพลังนั้นออกมา พลังปราณที่พุ่งออกไปดั่งลูกธนูได้พุ่งทะลุขั้วหัวใจของโช่วหยินในทันที
พลังปราณที่พุ่งออกไปมันทั้งเร็วและรุนแรงจนโช่วหยินไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ร่างของเขาก็ยังคงวิ่งต่อไปสักพักและในท้ายที่สุดก็ได้ล้มลง หลังจากที่ล้มลงไปสติของเขาก็ค่อยๆจางหายไป
มันแสดงให้เห็นว่าดัชนีจิตเทพนั้นมีพลังการทำลายที่สูงมาก เนื่องจากแทนที่พลังปราณที่ออกมาจะกระจายตัว แต่กลับกัน พลังปราณทั้งหมดได้ถูกอัดแน่นอยู่ตรงปลายนิ้วและพุ่งออกมาเป็นเส้นเดียว แถมยังผนวกเข้ากับพลังปราณที่สูงอย่างแก่นแท้แห่งปราณระดับหกอีก เรียกได้ว่าสามารถปลิดชีพได้ภายในอึดใจเดียว
แต่ก็แน่นอนว่าทุกๆวรยุทธย่อมมีจุดอ่อน และจุดอ่อนของดัชนีจิตเทพคือ แม้จะมีพลังทำลายล้างสูง แต่ก็แลกมากับเวลาในการรวบรวมพลังที่นานเกินไป นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเย่หยวนถึงลงมือช่วยลู่เอ๋อช้าแบบนี้
และถ้าหากในตอนนั้นโช่วหยินตัดสินใจโจมตีไปที่เย่หยวนในขณะที่กำลังรวบรวมพลังอยู่ โช่วหยินอาจมีโอกาสรอดมากกว่านี้
แต่ด้วยความประหลาดใจต่างๆที่เย่หยวนมอบให้แก่โช่วหยิน มันจึงทำให้โช่วหยินเลือกที่จะไม่โจมตีเขา แถมในตอนท้าย เย่หยวนใช้เพียงนิ้วผลักเขาให้กระเด็นอีก มันยิ่งทำให้โช่วหยินหวาดกลัวจนต้องการที่จะหลบหนีออกไป
และในตอนที่เขาพยายามจะวิ่งหนีออกไป นั้นทำให้เย่หยวนมีเวลารวบรวมพลังจนถึงขีดสุดนั้นเอง
แม้ตั้งแต่ตอนแรกเย่หยวนจะดูประมาทต่อการต่อสู้ครั้งนี้ แต่แท้ที่จริงแล้วเขาค่อยๆสร้างความได้เปรียบทีละนิดโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
ก่อนอื่นเย่หยวนได้พูดจายั่วยุเพื่อให้ชีพจรโช่วหยินเต้นเร็วขึ้น จึงทำให้สมาธิของอีกฝ่ายลดลง และหลังจากที่เย่หยวนกลืนโอสถจิตห้าธาตุลงไป เขาก็ใช้ก้าวพริบตาและดัชนีจิตเทพเพื่อบดขยี้ความเชื่อมั่นของโช่วหยินลงไปซ้ำ และในท้ายที่สุดก็ปลิดชีพโช่วหยินทันที
แม้มันจะดูเหมือนทุกอย่างราบรื่น แต่ทุกขั้นตอนล้วนสร้างความกดดันให้แก่เย่หยวน
แม้ว่าเย่หยวนจะมีไผ่ตายต่างๆเก็บซ่อนไว้อยู่ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังคงต่ำเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะโอสถจิตห้าธาตุ และวรยุทธดัชนีจิตเทพล่ะก็ เขาคงไม่สามารถทำอะไรโช่วหยินได้เลย
“ท่านพี่ถาง ถึงเวลาเดินทางต่อแล้ว”
เย่หยวนพูดกับถังอวี่เบาๆ แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ถางหนุนก็ยังไม่ละสายตาจากร่างโช่วหยินที่กำลังนอนอยู่บนพื้น
ถังอวี่ตกใจกับการโจมตีเมื่อสักครู่ของเย่หยวนเป็นอย่างมาก ถึงขั้นตะลึงไปชั่วครู่ จนกระทั่งเย่หยวนเรียก เขาจึงจะรู้สึกตัวและหันไปตอบกลับว่า
“อ่า...นะ-นั้นสิ”
ถังอวี่ยังคงตะลึงกับเรื่องการณ์สักครู่ เขาได้ขึ้นไปยังหลังม้าและทั้งสามก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งไปยังสำนักตันอู่
...
เมื่อผ่านช่วงโขดหินยักษ์จำนวนมากมาได้ บริเวณรอบข้างก็กว้างขึ้นในทันที...สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาในตอนนี้คือ สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่คล้ายหอคอยที่มีหลายชั้น
นี่คือ...สำนักตันอู่!
มันเป็นสถานที่ที่รวมศาสตร์ต่างๆ มากมายภายในรัฐฉินแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่...สำนักตันอู่ก็เน้นไปทางศาสตร์ด้านการต่อสู้เป็นหลัก และอีกสิ่งหนึ่งคือสำนักตันอู่ก็ไม่ได้ถูกก่อตั้งโดยรัฐฉิน
ในส่วนของดินแดนทางทิศใต้ที่ติดกับป่าปลิดชีพ ได้รับการขนานนามว่า...สิบเมฆาราตรี
สิบเมฆาราตรีคือชื่อของรัฐต่างๆ ที่มีอยู่สิบรัฐและรัฐฉินก็เป็นหนึ่งในนั้น เหตุผลที่ทั้งสิบรัฐได้ชื่อว่าสิบเมฆาราตรีเป็นเพราะสิบรัฐนี้ได้อยู่ภายใต้การปกครองของนิกายเมฆาราตรี
นิกายเมฆาราตรีมีต้นกำเนิดมาจากบรรพบุรุษผู้ฝึกปรือในศาสตร์แห่งโอสถ ดังนั้นแผนผังลำดับชั้นภายในนิกายนี้จะแบ่งออกเป็นฝ่ายโอสถและฝ่ายยุทธ ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ก่อตั้งสำนักตันอู่ขึ้นมา
ขณะที่พวกเขาทั้งสามกำลังเดินเข้าประตูและมุ่งหน้าไปยังที่พักของพวกเขา จู่ๆ ก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งมาหยุดไว้ซะก่อน
“โอ้! ยังกล้าเสนอหน้ามาที่นี่อีกรึ? ไม่คิดเลยว่าหนังหน้าจะหนาได้เพียงนี้ ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ไล่เจ้าออกไปแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ยอมออกรึไงกัน ยังอุส่ามีชีวิตรอดกลับมาอีก กลับมาให้กระทืบเล่นหรือไง”
หนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาทั้งสามได้พูดจาถากถางออกมาในทันที
เขามีนามว่าเฟยหยางปิง เป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของหวังหยวน และเย่หยวนในอดีตก็ถูกพิษจากการประลองครั้งนั้นกับชายคนนี้จนทำให้เสียชีวิตในที่สุด
กลุ่มคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มาจากตระกูลสามัญชนทั่วไป ภายในสำนักตันอู่ ผู้ที่มาจากตระกูลสามัญเหล่านี้มักจะติดตามรับใช้ผู้ที่มาจากตระกูลชั้นสูงเพื่อความอยู่รอด เฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะได้รับการดูแลอย่างดีจากทางสำนัก
“สุนัขที่ดีมักไม่ลืมตีนตัวเอง และเจ้าก็ลืมมันไปแล้ว”
เย่หยวนหาได้ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นเลย
ก็ตามที่เย่หยวนบอกไป...คนดีมันไม่ลืมภูมิฐานของตนเอง ก็เหมือนกับสุนัขที่ไม่เคยลืมรอยเท้าของมัน?
“นี่เจ้า! เย่หยวน...ดูท่าอยากตายอีกนักรึ!”
สำหรับคนที่รู้จักกับเฟยหยางปิงเป็นอย่างดีจะรู้ว่าการที่เอาเขาไปเปรียบกับสุนัขคือข้อห้ามเด็ดขาด
“หืม...อย่างเจ้าน่ะรึ?”
เย่หยวยถามอย่างเมินเฉย
“หึ หลังมิได้เจอเจ้ามาสองสามวัน...ดูเจ้าจะปัญญาอ่อนขึ้นมาก!”
“ก็แค่แก่นแท้แห่งปราณระดับนะ-หนึ่ง.... นี่...นี่เป็นไปได้อย่างไร? จะ-เจ้า..ระดับสาม?”
เฟยหยางปิงเพ่งสายตาจ้องเขม็งไปยังเย่หยวนอีกหลายที ก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ เดิมที่เย่หยวนเป็นเพียงขยะระดับหนึ่งเท่านั้น แต่เพียงแค่ไม่กี่วัน เขาสามารถพัฒนาจนก้าวขึ้นสู่ระดับสามได้แล้ว!
เฟยหยางปิงยังคงคิดว่าสัมผัสของตนผิดเพี้ยนไป จึงค่อยๆตรวจสอบใหม่อีกคราโดยละเอียด ก่อนจะพบว่า เย่หยวนสำเร็จระดับสามไปแล้วจริงๆ นี่...มันเป็นไปได้อย่างไร?
“ว่าไงเจ้าสุนัข...เจ้าตาบอดอย่างอย่างนั้นรึ? ยังไม่สามารถวัดพลังได้...ทั้งๆที่จ้องข้านานแบบนี้?”
คำพูดของเย่หยวนทำให้เฟยหยางปิงกระตุกมุมปากเล็กน้อย
และเมื่อเขาฟื้นคืนจากความตื่นตะลึง เฟยหยางปิงก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
เขาทราบดีว่าพ่อของเย่หยวนคือเย่ฮานผู้เป็นถึงเซียนโอสถ มีความเป็นไปได้สูงว่า พ่อของเขาอาจทุ่มทุนจำนวนมากในการหลอมโอสถบ่มเพาะพลัง จนทำให้เย่หยวนสำเร็จถึงสองระดับย่อยภายในเวลาอันสั้น และสิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปได้
เรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริง มีวิธีมากมายในการเพิ่มพลังของตนเองขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยพื้นฐานที่ไร้ความมั่นคง
และเขาเคยได้ยินวรยุทธนอกรีตชนิดหนึ่งนามว่า วรยุทธกลืนกินวิญญาณ คือการถ่ายโอนพลังจากอีกคนสู่อีกคน แต่มันก็ต้องแลกกับอายุขัยที่ลดลงตามพลังที่ได้มา
เพียงไม่กี่วันเย่หยวนสำเร็จแก่นแท้แห่งปราณระดับสามได้ เย่ฮานผู้เป็นพ่ออาจรู้ดีว่าลูกของตนไร้ซึ่งพรสวรรค์และกลัวถูกคนอื่นๆรังแก เขาจึงใช้วิธีอะไรบางอย่างที่คล้ายๆกับวรยุทธกลืนกินวิญญาณมายกระดับให้แก่ลูกของตน
เมื่อเฟยหยางปิงได้ปะติดปะต่อเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกัน เขาก็ได้หัวเราะอย่างเยือกเย็น ผู้ที่ไร้ซึ่งฝีมือแต่ที่เก่งได้เพราะพึ่งพาสิ่งของ ต่อให้เป็นระดับห้า...เย่หยวนก็ไม่คนามือเขาเลย
เฟยหยางปิงมีพลังอยู่ที่อาณาจักรแก่นแท้แห่งปราณระดับสี่ ซึ่งสูงกว่าเย่หยวนอยู่หนึ่งระดับ ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องกลัวแต่อย่างใด
“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นโชคของเจ้าที่มีพ่อฝีมือดี กระนั้นเอง แม้จะแข็งแกร่งขึ้นแบบนี้ แต่มันก็ช่างไร้ค่า สุดท้ายเจ้าก็แค่ไอ้ขยะที่พึ่งพาแต่พ่อ!”
เฟยหนางปิงเหลือบมองเย่หยวนเจือแววตาแสนเหยียดหยาม
เย่หยวนรู้ดีว่าเฟยหนางปิงกำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมิได้สื่อออกมาโดยตรง
“นั้นสิ... แต่ข้าก็ภูมิใจที่มีพ่อที่ทั้งเก่งและมีชื่อเสียง แต่อย่างเจ้าเคยได้รับอะไรดีๆ แบบข้าหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าพ่อของเจ้าก็เป็นเพียงคนใช้ขี้ข้าตระกูลอื่น แถมที่เจ้าเข้ามาในสำนักตันอู่ได้ ก็เพราะพ่อของเจ้าไปขอขมาอ้อนวอนเจ้านายมา บางที...อาจถึงขั้นเลียเท้าเจ้านายเลยกระมัง?”
“อ่อแล้วก็...หลังจากสำเร็จวิชาจากที่นี่ เจ้าจะไปสืบทอดตำแหน่งคนใช้ต่อจากพ่อเจ้าไหม? มันเป็นอาชีพอันส่งเกียรติของตระกูลเจ้าเลยมิใช่รึ? ฮ่าๆ...ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก!”
ที่เย่หยวนรู้ว่าพ่อของเฟยหยางปิงเป็นคนใช้ ก็เพราะเขาได้เสาะค้นความทรงจำของเย่หยวนในอดีต
ในความทรงจำมันปรากฏไว้ว่า...พ่อของเฟยหยางปิงเป็นพ่อบ้านตระกูลหวัง และเขาขอร้องให้ตระกูลหวังออกหน้าให้ลูกของตนได้เข้าไปยังสำนักตันอู่ มิฉะนั้น ลำพังแค่พรสวรรค์ของเฟยหยางปิงเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้แน่นอน
แต่หากนำเขาและถังอวี่มาเปรียบเทียบกันคงไม่ได้ แม้ในตอนแรกพวกเขาทั้งสองจะอยู่ในระดับสี่เหมือนกัน แต่เฟยหยางปิงอายุมากกว่าถังอวี่ถึงสองปี และแม้ถังอวี่จะเป็นตระกูลสามัญชน แต่เขาก็ยังได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรต่างๆ จากพ่อของเขา ในขณะที่เฟยหยางปิงก็อยู่ที่ระดับสี่เช่นกัน แต่เนื่องด้วยไร้การสนับสนุนใดๆ แถมยังด้อยพรสวรรค์อีก อย่างมากเขาก็สำเร็จเพียงชั้นต้นของอาณาจักรหลอมรวมวิญญาณ ดีไม่ดีอาจได้ติดอยู่ในอาณาจักรแก่นแท้แห่งปราณจนชั่วชีวิตก็เป็นได้
“นี่แก!!”
เฟยหยางปิงตะโกนลั่นระเบิดความโกรธจัดออกมาในทันที เรียกเขาเป็นสุนัขยังไม่พอ ยังมาดูถูกพ่อของตนต่อหน้าคนอื่นอีก นี่มันเกินไปแล้ว!
เฟยหยางปิงเหลียวหลังหันไปมองพรรคพวกของตน แม้จะไม่มีใครกล้าหัวเราะ แต่ก็สามารถบอกได้ทันทีว่า ทุกคนคงกำลังหัวเราะเขาอยู่ภายในใจ ดูได้จากใบหน้าแต่ละคนที่กำลังกลั้นขำพร้อมหลบหน้าเขาสุดกำลัง
“สุนัขอย่างเจ้าจะทำอะไรข้า? จะกัดข้าอย่างนั้นรึ?”
เย่หยวนยื่นแขนออกมาเชิงล่อให้อีกฝ่ายมากัด ก่อนยิ้มกล่าวต่อว่า
“มาเร็วเจ้าสุนัข! มากัดแขนข้ามา!”
“ฮ่าๆๆๆ!”
ในคราวนี้ทุกคนไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้อีกต่อ พวกเขาต่างระเบิดเสียงหัวเราะลั่นดังสนั่นในทันทีที่ได้ยิน
ทุกคนต่างหัวเราะเยาะที่เย่หยวนเอาอีกฝ่ายไปเปรียบกับสุนัข
“เย่หยวน! ข้าขอท้าประลองกับเจ้าตัวต่อตัว! หวังว่าเจ้าจะกล้าพอ!”
เฟยหยางปิงชี้ไปยังหน้าเย่หยวนด้วยความโกรธ
สำนักตันอู่ไม่ได้มีข้อห้ามให้ต่อสู้กัน แต่พวกเขาจะต้องนำเรื่องความขัดแย้งนั้นๆ ไปแจ้งกับทางสำนักก่อน...และมีกฎที่ควรรู้คือ ทางสำนักห้ามให้ฆ่าฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต..มิเช่นนั้นจะโดนลงโทษจากทางสำนักทันที
แต่หาก ถ้าทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำสัญญาณกันว่าสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้...ไม่ว่าจะเป็นทางสำนักหรืออาจารย์ก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม หรือแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่อาจมาขอยกเลิกทีหลังได้
เย่หยวนประหลาดใจอย่างมากและถามว่า
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่ถึงอยากประลอง?”
“เจ้ากลัวอย่างนั้นรึ? หากกลัวเจ้าก็มากราบเท้าข้าพร้อมพูดว่า‘ข้าเป็นสุนัข’สามครั้ง!”
เฟยหยางปิงคิดว่าเย่หยวนคงกลัวที่กล้ามาพูดหยามเขา
“ไหนๆ...พูดสิว่าข้าคือสุนัขสามครั้ง!”
ทันทีที่เฟยหยางปิงพูดเสร็จ เขาก็ตั้งใจว่าจะเตะตัดขาเย่หยวนให้ล้มลง
“ฮ่าๆๆ!”
คนรอบตัวต่างระเบิดหัวเราะอีกครั้ง
เฟยหยางปิงหวังตบสั่งสอนเจ้าขยะนี้สักสองสามครั้ง เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า
“เย่หยวน แกมันไอ้ขี้ขลาด! แค่ต่อสู้กันเล็กน้อยก็ยังไม่กล้า! แกมันไอ้ขยะ!!”
“เจ้าสุนัขตัวนี้มันดื้อจริงๆ! สงสัยพ่อสุนัขคงไม่เคยสอนลูกสุนัขอย่างเจ้ามา ตั้งแต่ออกมาต้อนรับเจ้านายมันหน้าประตูก็ทำท่าจะกัดซะล่ะ หากไม่ตีสุนัขอย่างเจ้าบางคงไม่เชื่องง่ายๆ”
เย่หยวนพูดพร้อมรอยยิ้ม
.......................................................