"อะไร? ทำหน้าสงสัยเช่นนั้น"ฉีเฟยหลงเย้าหญิงสาวแม้จะรับรู้ถึงสายตากดดันตนของบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายนาง แต่ก็เลือกที่จะเฉยเสีย
"เอ่อ..ไม่มีอะไรเพคะ?"
"โฮ่..แต่เราคิดว่าเจ้าคงมีข้อสงสัยอยากถาม?"ฉีเฟยหลงยังคงเย้านางต่อ
"ทูลองค์รัชทายาท ตรงนี้อากาศหนาวเย็นนัก อย่างไรเสด็จด้านในก่อนเถิดพะย่ะค่ะ"มู่หลิ่งฟู่ก้าวออกมาข้างหน้าทูลบุรุษต่างศักดิ์ด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อม
"อา...ก็ดี ไปเถิดเหม่ยเอ๋อร์"ฉีเฟยหลงหันมากล่าวกับหลิวซูเหม่ย ตั้งแขนขึ้นให้นางยึดจับแล้วพากันเข้าไปด้านใน หลิวซูเหม่ยแย้มยิ้มเอียงอาย ใบหน้างามแดงเรื่อด้วยความยินดีเมื่อได้ยินสวามีเรียกอย่างสนิทสนมต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
นางแต่เข้าวังองค์รัชทายาทเมื่อสามปีก่อน ได้รับความรัก ความเอาใจใส่อย่างดีจากสวามี จนกระทั่งราวหนึ่งปีก่อน นางสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสวามี ที่เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวเหม่อลอย บางคราวก็สรวลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ และมักจะตรัสถึงสตรีผู้หนึ่งอย่างสำราญพระทัยและสนิทสนมยิ่ง สตรีผู้มีนามว่า หลินเอ๋อร์ และนั่นคือหนึ่งในสองเหตุผลที่หลิวซูเหม่ยขอตามเสด็จสวามีมาในงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย
ภายในโถงรับแขก
ฉีเฟยหลงประทับในที่นั่งตรงตำแหน่งประธาน พระชายาแย้มยิ้มเล็กน้อยประทับเคียงข้างอยู่ทางซ้าย เยื้องออกมาข้างหน้าเป็น มู่หลิ่งฟู่ ชิงหยวน มู่หลิ่งเหวิน และเฟิ่งอิงไล่ออกมาตามลำดับ
ฝั่งตรงข้ามข้างพระชายา คือ มู่ฮูหยิน ชิงฮูหยิน ชิงหลินและสี่สหายในร่างเด็กน้อย ส่วนลูกแฝดทั้งสองนมฝูพาไปกลับเรือนที่พักไปนานแล้ว
"เห็นเจ้าปลอดภัยเราก็ดีใจ เสด็จพ่อเองก็ทรงเป็นห่วงเจ้าเช่นกัน"ฉีเฟยหลงกล่าว
"ทำให้ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทต้องทรงเป็นกังวล นับเป็นความผิดหม่อมฉันขอทรงอภัยด้วยเพคะ"ชิงหลินคุกเข่าเบื้องพระพักตร์แล้วคำนับ
"ลุกขึ้นเถิด..."ฉีเฟยหลงอนุญาตยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นนางกลับไปนั่งที่เดิมแล้วจึงกล่าวต่อ "ท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพ เราและพระชายา มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า โปรดอย่าถือสาเลยนะ"
"องค์รัชทายาทอย่าตรัสเช่นนั้นเลยพะย่ะค่ะ จวนแม่ทัพและจวนเสนาบดีเปิดต้อนรับพระองค์เสมอ"คำตอบของมู่หลิ่งฟู่ สร้างความพอใจแก่ฉีเฟยหลงยิ่งนัก เพราะมันหมายถึงพวกเขายืนอยู่ฝ่ายตนและยินดีสนับสนุนตนอย่างเต็มที่ ซึ่งหลิวซูเหม่ยเองพอได้ยินดังนั้น ก็เกิดความยินดีกับสวามีที่มีพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเช่นนี้
"แล้วเด็กสี่คนนี้เป็นลูกหลานของท่านรึ?"ฉีเฟยหลงหันไปถามมู่หลิ่งฟู่
"เรื่องนี้..."มู่หลิ่งฟู่อึกอักไม่กล้าตอบ เหลือบมองบุตรชายอย่างขอความเห็น
"...มู่ฮูหยิน เรามีของขวัญจะมอบให้เด็กน้อยทั้งสอง ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนรึไม่?"หลิวซูเหม่ยกล่าวขึ้นด้วยเสียงไพเราะหวานน่าฟัง นางพอเดาออกว่าคงเป็นเรื่องที่นาง ไม่สมควรจะรับรู้
"พระชายากล่าวหนักไปแล้วเชิญเสด็จเพคะ หม่อมฉันจะนำทางเอง"มู่ฮูหยิน รีบออกตัวอย่างรู้หน้าที่
"องค์รัชทายาท หม่อมฉันขอตัวสักครู่นะเพคะ"หลิวซูเหม่ยขออนุญาตสวามี
"ไปเถิด"ฉีเฟยหลงพยักหน้าให้
"เด็กน้อยสี่คนนั้น คือ สี่สหายน้อยของฮูหยินกระหม่อมพะย่ะค่ะ"แม่ทัพหนุ่มทูลตอบเมื่อสตรีทั้งสี่และสี่แสบออกไปแล้ว
"หือ?..เจ้ากำลังจะบอกว่า สี่สหายน้อยสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์?"
"เป็นเช่นนั้นพะย่ะค่ะ"มู่หลิ่งฟู่เป็นฝ่ายทูลตอบบ้าง เพื่อสนับสนุนคำพูดของบุตรชาย
"โอ้...นางช่างมีเรื่องให้เราประหลาดใจอยู่เรื่อย"ฉีเฟยหลงยิ้มยิ่งพอได้รู้เรื่องราวมากขึ้น ก็อดที่จะชื่นชมระคนอิจฉาไม่ได้ ชื่นชมที่นางเป็นที่รักของใครต่อใคร ขณะเดียวกันก็อิจฉาในวาสนาและความโชคดีของนางที่มากกว่าผู้อื่น
เฟิ่งอิงที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เหลือบมองบุรุษสูงศักดิ์ ดวงตาคมเรียวดุกระตุกวาบแล้วหายไปอย่างรวดเร็วที่เห็นประกายบางอย่างในดวงตาคมดุจเหยี่ยวคู่นั้น อดจะเหล่มองบุรุษข้างๆไม่ได้ แต่สิ่งที่เห็นทำให้คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ
ความเป็นจริง ที่เฟิ่งอิงไม่รู้ก็คือ แม่ทัพหนุ่มยังคงหึงหวงและชอบทำน้ำส้มหกเรี่ยราดอยู่เช่นเดิม เพียงแต่วันนี้ยอมเก็บอารมณ์เหล่านั้นตอบแทนเรื่องที่อีกฝ่ายเคยช่วยภรรยารักไว้
บุรุษทั้งสี่สนทนากันต่ออีกครู่ใหญ่ ก่อนจะพากันออกมายังสถานที่จัดงานเลี้ยง ซึ่งฉีเฟยหลงได้อยู่เป็นเกียรติตามคำเชิญของมู่หลิ่งฟู่และรอชายาของตนไปด้วย
ในขณะที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนานครื้นเครง ชิงหลินได้นำทางพระชายาหลิวซูเหม่ยมายังเรือนพัก
"ได้ยินชื่อเสียงของมู่ฮูหยินแห่งจวนแม่ทัพมานาน วันนี้ได้มาพบเรายินดียิ่งนัก"
"พระชายาตรัสหนักไปแล้ว เป็นเกียรติของหม่อมฉันมากกว่า ที่ได้พบพระชายา"ชิงหลินตอบ
หลิวซูเหม่ยรู้สึกถูกชะตากับสตรีนางนี้อย่างบอกถูก ทั้งที่เพิ่งพบนางเป็นครั้งแรก อาจเป็นเพราะความจริงใจไร้การเสแสร้งจากดวงตากลมโตคู่นั้น กอปรกับกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่งของนางกระมัง
"...ความจริงวันนี้...เราอยากจะมาขอคำชี้แนะเกี่ยวกับเรื่อง...เอ่อ..."ท่าทีกระอักกระอ่วน เขินอายของหลิวซูเหม่ย ทำให้สตรีทั้งสามหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
มู่ฮูหยินแห่งจวนเสนาบดี พอจะคาดเดาได้ลางๆ จึงโบกมือไล่บ่าวไพร่ออกไปจนหมด เหลือเพียงตน ชิงฮูหยิน ลูกสะใภ้ พระชายาหลิว และทารกน้อยทั้งสองที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ส่วนสี่แสบขอตัวไปดูการแสดงที่ทางจวนได้จัดหามา "มีสิ่งใดให้พวกหม่อมฉันรับใช้ โปรดรับสั่งได้เพคะ"
"ท่านคงทราบ ว่าข้าแต่งให้องค์รัชทายาทมากว่าสามปีแล้ว แต่ยังไร้วี่แววทายาท ทำให้เรากลุ้มใจยิ่งนัก ธิดาสวรรค์ ท่านคือที่พึ่งสุดท้ายของเรา โปรดช่วยเราด้วยเถิด"หลิวซูเหม่ยดึงมือนางมากุมไว้ ส่งสายตาอ้อนวอน
อะไรนะ!?ข้าไม่ใช่เทพเทวดาเสียหน่อย จะไปเสกเด็กเข้าท้องให้ท่านได้อย่างไรเล่า? ชิงหลินยิ้มเจื่อนให้สาวงามตรงหน้าแล้วหันไปขอความช่วยเหลือจากมารดาทั้งสอง แล้วนั่นอะไร..ท่านแม่...ท่านพยักหน้าทำไม?
"อาหารการกิน อีกทั้งยาบำรุงที่ล่ำลือว่าสรรพคุณยอดเยี่ยม เราล้วนได้ลองมาหมดสิ้น สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงดี แล้วเพราะเหตุใดจึงไม่ตั้งครรภ์เสียที?"
สตรีทั้งสามมองสตรีสูงศักดิ์ด้วยความเห็นใจ แต่งงานมาสามปีแต่ยังไม่มีบุตรธิดาย่อมต้องเครียดเป็นธรรมดา สามีอาจจะหมดรักและไปหาสตรีอื่นเท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจส่งผลให้ตำแหน่งภรรยาสั่นคลอนได้อีกด้วย
"ตัวเราหาใส่ใจเรื่องตำแหน่งไม่ เพียงแต่องค์รัชทายาทคาดหวังในเรื่องนี้มาก จึงอยากทำให้ความปรารถนานั้นเป็นจริงในเร็ววัน"นางกล่าวออกมาจากใจจริง หลิวซูเหม่ยตกหลุมรักองค์รัชทายาทตั้งแต่คราวแรกที่ได้พบกัน
เพลานั้น นางไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเขาคือ องค์รัชทายาท มาทราบในภายหลัง ยามที่องค์รัชทายาทเสด็จมาประกาศราชโองการสมรสพระราชทานด้วยพระองค์เอง สร้างความยินดีแก่นางอย่างที่สุด ที่ได้แต่งกับบุรุษที่ตนมีใจให้และตั้งปณิธานว่าจะทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด
หลิวซูเหม่ยทำได้อย่างที่ตั้งปณิธานไว้ มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้การทำหน้าที่ภรรยาไม่สมบูรณ์ นั่นคือการไร้บุตรสืบสกุล ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของสตรีทุกนางที่แต่งงานแล้ว รวมถึงตัวนางด้วย
แรกๆก็ไม่ได้กดดันเท่าใดนัก แต่พอนานวันเข้า ฮองเฮาก็เริ่มไถ่ถามถึงเรื่องนี้ หลิวซูเหม่ยเข้าใจความกังวลพระทัยของฮองเฮาดี และยินยอมให้องค์รัชทายาทรับสนมเข้ามาหลายนาง หวังให้สนมเหล่านั้นตั้งครรภ์มังกร แต่ก็ยังไร้วี่แววข่าวดีจวบจนทุกวันนี้ นี่เป็นเหตุผลอีกข้อที่นางมาที่นี่
"..เอ่อ..หม่อมฉันขอเสียมารยาททูลถาม สนมทุกนางร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีใช่หรือไม่เพคะ?"ชิงหลินถาม
"ล้วนแล้วแข็งแรงดี"
"เอ่อ..แล้ว..องค์รัชทายาทเล่าเพคะ?"
"ย่อมแข็งแรงดีทุกประการ ทั้งยัง..เอ่อ..ทุกวัน"หลิวซูเหม่ยอ้อมแอ้มตอบเสียงเบาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ถึงจะเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่การต้องมาพูดเรื่องบนเตียงไม่ว่าใครย่อมต้องกระดากกระเดื่องด้วยกันทั้งนั้น
โอ้...หื่นน่าดูเหมือนกันนี่ อีตาองค์รัชทายาท สมแล้วที่เป็นเพื่อนกับสามีรักเลเวลความหื่นสูงลิบลิ่ว....
"อืม..หากเป็นเช่นที่พระชายาตรัส มันก็น่าแปลกนะเพคะ หรือเพราะยังไม่ถึงเวลาอันเหมาะสม?"เสียงของมู่ฮูหยิน เรียกสายตาสตรีทั้งสามให้หันไปมองด้วยความสงสัย
"ชะตาฟ้าลิขิตไม่อาจฝืน เจ้าต้องการจะบอกเช่นนี้ใช่รึไม่?"ชิงฮูหยิน กล่าวขึ้นบ้าง
"..แล้วจะให้คิดเป็นอื่นได้อีกหรือ?"มู่ฮูหยินย้อนถามสหายรัก "แล้วนี่เราต้องรอไปอีกนานเท่าใดกัน?"หลิวซูเหม่ยตรัสเสียงอ่อย ใบหน้างามเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด
"...พระชายาต้องทรงเข้มแข็งไว้นะเพคะ ห้ามถอดใจยอมแพ้เด็ดขาด หม่อมฉันเชื่อว่า พระชายาต้องสมความปรารถนาอย่างแน่นอนเพคะ.."
"...น้องสาว..เจ้าทำนายดวงชะตาได้ด้วยหรือ?"หลิวซูเหม่ยเปลี่ยนไปเรียกนางอย่างสนิทสนมตาคู่งามสั่นไหวเปี่ยมด้วยความหวัง
"มิได้เพคะ..เพียงแต่หม่อมฉันรู้สึก..เอ่อ..เห็นใจ ด้วยเป็นสตรีเหมือนกัน จึงได้พลั้งปากกล่าวออกไป ขอทรงอภัยด้วยเพคะ"ชิงหลินทำท่าจะลงไปคุกเข่าขออภัยโทษจากหลิวซูเหม่ย แต่ถูกนางรั้งแขนไว้
"พี่สาวไม่คิดเช่นนั้น คำพูดของน้องสาวทำให้พี่สาวคนนี้มีกำลังใจและมีความหวังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด คล้ายว่าวังตะวันออกจะมีข่าวดีในเร็ววันนี้จริงๆ"
ภาพสตรีอ่อนวัยสองนางนั่งกุมมือส่งยิ้มให้กันและพูดคุยกันอย่างสนิทสนม สร้างความประทับใจแก่มู่ฮูหยินและชิงฮูหยินยิ่งนัก
"หลินหลิน พวกเรากลับมาแล้ว"เสียงใสๆที่ดังเข้ามาพร้อมกับเสียงตึงๆๆ เรียกสายตาของสตรีทั้งสี่ให้หันไปมองเป็นตาเดียว
"เอ่อ..ขอทรงอภัยด้วยเพคะพระชายา หม่อมฉันห้ามพวกเขาแล้ว"นางกำนัลของหลิวซูเหม่ยคุกเข่ารายงานอย่างกลัวความผิด
"ไม่เป็นไร เจ้าออกไปก่อน"หลิวซูเหม่ยตรัสเสียงเรียบแต่คงไว้ซึ่งอำนาจเมื่อเห็นนางกำนัลของตนถอยฉากออกไปแล้ว จึงหันมาให้ความสนใจกับเด็กน้อยทั้งสี่แทน
"เป็นความผิดหม่อมฉันที่สั่งสอนพวกเขาไม่ดี โปรดลงอาญาหม่อมฉันเถิดเพคะ"ชิงหลินออกตัวปกป้อง
"เรื่องเล็กน้อยใยนับเป็นความผิดได้ น้องสาวอย่าคิดมากเลย อีกอย่างเด็กน้อยทั้งสี่คนนี้ก็น่ารัก น่าเอ็นดูยิ่งนัก"หลิวซูเหม่ยกล่าวอย่างอารมณ์ดี
"แล้วต่อไปนี้ ขอให้เรียกเราว่า พี่สาว และแทนตัวเองว่า น้องสาว เข้าใจรึไม่?"
"..เอ่อ.."ชิงหลินทำท่าจะปฏิเสธ แต่ถูกสายตาเชิงขอร้องมากกว่าจะกดดันบังคับจากสตรีสูงศักดิ์ทำนางใจอ่อนยวบพยักหน้ารับคำ
"หม่อม...เอ่อ..น้องสาวทราบแล้ว" ตำตอบนั้นทำให้หลิวซูเหม่ยแย้มยิ้มพอใจ
ส่วนสี่แสบในร่างเด็กน้อย มองดูพี่สาวหมาดๆของหลินหลินด้วยความสนใจใคร่รู้ การจ้องมองของทั้งสี่ทำให้หลิวซูเหม่ยรู้สึกตัวและหันมามอง "เราหลิวซูเหม่ย แล้วพวกเจ้าเล่า? มีนามว่ากระไร?"ถามพร้อมกับส่งยิ้มหวานออกไป
"ข้าชื่อฟานฟานน้อย พี่ชายข้าฟงฟงน้อย ส่วนเจ้านี่ เป่าเปาน้อย นั่นน้องสาวเป่าเปา หมั่นโถวน้อย"คำตอบห้วนแต่ฉะฉาน กอปรกับท่าทางอวดดีของเจ้าฟานฟานตัวดี ทำเอาชิงหลินหน้าแดงด้วยความอับอาย อยากจะจับมาฟาดก้นเสียทีสองที หนอย..ไม่ไว้หน้าข้าบ้างเลยนะ เจ้าตัวแสบ
"คิกๆๆ..น้องสาว..ที่ผ่านมาเจ้าคงไม่เหงาเลยใช่หรือไม่?"
"เพคะ..นับแต่มีพวกเขามาอยู่ด้วย น้องสาวไม่มีเวลาเหงาเลยแม้แต่เสี้ยวเวลา"ตอบแล้วปรายตามองล้อเลียนสี่สหายน้อย โดยเฉพาะเจ้าฟานฟานตัวแสบ ฟานฟานน้อยถึงกับหน้ามุ่ย ทำฮึดฮัดๆเมื่อถูกหลินหลินจ้องมาที่ตัวเอง
"เอ่อ..ทูลพระชายา องค์รัชทายาทให้กระหม่อมมาเชิญเสด็จพะย่ะค่ะ"เกากงกง ขันทีวังตะวันออกเดินเข้ามาทูลด้วยท่าทางสุภาพอ่อนน้อม
"อา..เรารู้แล้ว"หลิวซูเหม่ยตรัสกับขันทีด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แล้วจึงหันกลับมา "น้องสาว หากมีเวลาก็แวะไปเยี่ยมพี่สาวบ้าง พี่สาวจะรอ"
"เพคะ"ชิงหลินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นประคองหลิวซูเหม่ยออกมาจากเรือนพัก
"หยุดก่อน..พี่สาวของหลินหลิน"เสียงใสๆของเด็กที่ดังมาจากด้านหลังทำให้หลิวซูเหม่ยชะงักเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหันมาทางเสียงนั้น
"มีอันใดหรือเด็กน้อย?"ถามด้วยความเอ็นดู ไม่รู้สึกขุ่นเคืองกับความไร้มารยาทของเด็กน้อยเลยจนนิดเดียว
"คำพูดหลินหลิน จะเป็นจริงในอีกสามเดือนข้างหน้ากับท่าน"ฟานฟานน้อยกล่าวกับหลิวซูเหม่ยด้วยท่าทางจริงจัง
คำพูดของเด็กชายวัยไม่น่าเกินสิบขวบปี สร้างความประหลาดใจแก่หลิวซูเหม่ยยิ่งนัก ครั้นพอได้สบตาของเด็กน้อยหัวใจพลันเต้นกระหน่ำ ลำคอตีบตันด้วยความตื้นตันใจ จนเผลอบีบมือน้องสาวหมาดๆอย่างลืมตัว
"..ยินดีกับพี่สาวล่วงหน้าเพคะ"
"...พี่สาวเชื่อคำพูดนี้ได้ใช่หรือไม่?...ใช่หรือไม่?"หลิวซูเหม่ยถามย้ำเพื่อความมั่นใจ ครั้นเห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มพร้อมกับพยักหน้ายืนยัน หยดน้ำใสๆพลันหยดลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ด้วยความยินดี
"เด็กคนนี้มีความสามารถในด้านการทำนายเพคะ"คำกล่าวของมู่ฮูหยินยิ่งตอกย้ำความมั่นใจมากขึ้นไปอีก จนยามนี้หลิวซูเหม่ยเชื่อถ้อยคำของเด็กน้อยอย่างหมดใจ และจากไปด้วยใบหน้าแย้มยิ้มเป็นสุข สร้างความประหลาดใจแก่ฉีเฟยหลงจนต้องเหลือบมองใบหน้าเปี่ยมสุขนั้นไปตลอดทางกลับวังตะวันออก
------------
งานเลี้ยงวันแรกจบลงด้วยดีก็ล่วงเข้ายามจื่อไปแล้ว กว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็เกือบครึ่งชั่วยามต่อมา
"เหนื่อยมากหรือ?"แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามภรรยารัก เมื่อเห็นนางผละจากเตียงลูกน้อยทั้งสองเดินมาที่เตียงด้วยใบหน้าอิดโรย
"นิดหน่อยเจ้าค่ะ"นั่งลงข้างๆพิงศีรษะกับอกแกร่งของสามีรักพลางกล่าว
"เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด"
"อืม...อ๊ะ..เดี๋ยวก่อนเจ้าคะ"อุทานออกมาเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
"หือ?...มีอันใดรึ?"คิ้วเข้มยกขึ้นยามที่เอ่ยถาม หันหน้ามองภรรยารักตรงๆ
"ก็เรื่องเนื้อความในราชโองการไงเจ้าคะ"
"อ้อ...เรื่องนี้เองหรือ ไว้พรุ่งนี้สามีรักจะชี้แจงให้ฟังดีรึไม่? ยามนี้ดึกมากแล้ว "ว่าพลางรั้งร่างภรรยารักนอนลงบนเตียงนุ่ม ขยับกายนอนลงเคียงข้าง
"....ก็ได้เจ้าค่ะ"ตอบเสียงอ่อย ไม่ได้คัดค้านเพราะเห็นว่าดึกแล้วอย่างที่สามีรักว่า ก่อนจะหลับไปในเวลาไม่นานพร้อมกับคำถามที่ค้างคาใจ ฝ่าบาท...ท่านต้องการอะไรจาก..ฮูหยินขั้นหนึ่งกันแน่??
แม่ทัพหนุ่มโอบกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มไว้เช่นทุกคืน ครุ่นคิดถึงเนื้อความในราชโองการแล้วทอดถอนใจ
ฮูหยินขั้นหนึ่ง หรือ กั๋วฟูเหริน เป็นตำแหน่งที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานให้สตรีในครอบครัวขุนนางในราชสำนักขั้นสูง เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและเป็นยอดปรารถนาของสตรีจากครอบครัวขุนนาง สตรีที่มาจากครอบครัวขุนนางยศตำแหน่งเดียวกันยังต้องก้มหัวให้
แต่เขารู้ดีว่าภรรยารักไม่เคยสนใจยศตำแหน่ง คำสรรเสริญเยินยอเหล่านั้น แตกต่างจากสตรีทั่วไป ที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตน และดูเหมือนฝ่าบาทก็ทรงทราบเรื่องนี้ แล้วเหตุใดจึงมอบตำแหน่งที่อาจจะนำอันตรายมาให้นางอีก? ต้องมีอันใดแอบแฝงอยู่ในราชโองการนี้เป็นแน่!!
มาแล้วจ้า มาช้าหน่อยเพราะติดธุระช่วงเช้ามืด ตอนหน้าก็จบแล้วน้า ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้ค่า^_^