webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · Fantasy
Not enough ratings
107 Chs

ภาคต่อตอนที่ 46 ผลของการทำดี

"เจ้า...เพ้อเจ้ออะไร!!?"น้ำเสียงเย็นเยียบจากร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามของเฟิ่งอิง เต็มไปด้วยแรงกดดันสาดใส่หมอทำคลอดร่างอวบอ้วนจนนางสั่นสะท้านรุนแรง ความหวดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจจนคิดอ่านอะไรไม่ออก พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย

"ระระเรียนท่านแม่ทัพ...คะคราวแรก..ฮะฮูหยินน้อยก็ปกติดีทุกอย่าง...ตะแต่หลังจากคลอดคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยออกมาแล้ว...ภะภายหลังชำระล้างร่างกายและนำฮูหยินน้อยมาที่เตียงเพื่อพักผ่อน....แต่ไม่นึกว่า...."

นางทำคลอดสตรีมาก็มากมายนับไม่ถ้วนพบเจอเหตุการณ์ซุ่มเสี่ยงมาก็มาก แต่เพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้ผ่านมาได้ทุกครั้ง จนมีชื่อเสียงผู้คนต่างยกย่องให้เป็นหมอทำคลอดอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่ไม่เคยพบเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน พอฮูหยินน้อยทราบว่าทารกทั้งสองปลอดภัยนางก็ยิ้มยินดี หลังจากชำระล้างร่างกายจนสะอาด สาวใช้ก็ช่วยกันประคองร่างอ่อนเพลียของฮูหยินน้อยมาที่เตียงนอน

นางจึงถือโอกาสจับชีพจรฮูหยินน้อยอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ แล้วคิดจะขอลากลับ แต่แล้วเหตุใดข้าจึงหาชีพจรของนางไม่พบ!!? คล้ายร่างกายของฮูหยินน้อยหยุดการทำงานไปเสียดื้อๆด้วยความตกใจหมอทำคลอดจึงเผลออุทานออกมาเสียงดัง

ฝ่ายแม่ทัพหนุ่มไม่ได้สนใจฟังคำพูดของหมอทำคลอดทันทีที่เข้ามาก็ปรี่เข้าไปนั่งลงข้างเตียงภรรยารัก มือหนาจับชีพจรที่ข้อมือขาวพิสูจน์ข้อเท็จจริง

"อาเหวิน?..."มู่หลิ่งฟู่เอ่ยเรียกครั้นเห็นสีหน้าซีดเผือดร่างสั่นไหวของบุตรชายมู่หลิ่งฟู่รับรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว "ไปมาเชิญหมอหลวงมาเร็วเข้า!"มู่หลิ่งฟู่หันไปออกคำสั่งกับพ่อบ้านเจาเสียงเครียด

"หมอหลวงมารออยู่นานแล้วขอรับ"พ่อบ้านเจารีบรายงานแม้หมอหลวงที่ดูแลฮูหยินน้อยจะกล่าวว่า ร่างกายฮูหยินน้อยแข็งแรงดีไม่มีอันใดต้องห่วง แต่เพื่อความไม่ประมาท พ่อบ้านเจาจึงให้คนไปเชิญหมอหลวงมาเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

"ดี!...ให้เข้ามาเร็วเข้า!"มู่หลิ่งฟู่สั่งเสียงเข้ม

"อุแว้ๆๆ"สิ้นเสียงสั่งของเสนาบดี ทารกน้อยที่ฮูหยินทั้งสองอุ้มอยู่ก็ส่งเสียงร้องดังลั่นไปทั่วห้องคล้ายจะรับรู้ว่ามารดากำลังตกอยู่ในอันตราย แม้ฮูหยินทั้งสองจะพยายามกล่าวปลอบอย่างไรก็ไร้ผล เสียงร้องไห้ของทารกน้อยยังสร้างความปวดใจแก่ทุกคนแม้กระทั่งบ่าวไพร่และทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าเรือน

"หลินเอ๋อร์...หลินเอ๋อร์...เจ้าอย่าเป็นอันใดไปนะ..ขาดเจ้าแล้วพี่กับหลงเอ๋อร์ เหม่ยเอ๋อร์จะอยู่อย่างไร?...เจ้าจะทิ้งให้หลงเอ๋อร์ เหม่ยเอ๋อร์ กำพร้ามารดาได้หรือ?.."แม่ทัพหนุ่มกระซิบบอกภรรยารักที่อ่อนปวกเปียกไม่ได้สติอยู่ในอ้อมอก เสียงนั้นช่างแหบพร่าและสั่นเครือชวนให้คนฟังเจ็บปวดและเศร้าใจจนน้ำตาซึมกันเป็นทิวแถว โดยเฉพาะสาวใช้ทั้งสองที่ร่ำไห้อย่างอดกลั้นไม่อยู่

เแม่ทัพหนุ่มจึงวางภรรยารักลงมายืนหน้าดำมืดข้างบิดาของตนปล่อยให้หมอหลวงตรวจอาการของนาง ดวงตาคมทรงเสน่ห์ร้อนผ่าวและแดงก่ำจับจ้องใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษนิ่ง สองมือข้างลำตัวกำแน่นจนเห็นข้อกระดูกปูดโปน มู่หลิ่งเหวินไม่รู้จะกล่าวปลอบอย่างไรดีนอกจากบีบไหล่ให้กำลังใจ

"อุแว้ๆๆ"เสียงร้องไห้ของทารกแฝดยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความลุ้นระทึกอย่างอกสั่นขวัญแขวนของทุกคน สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เตียงผู้ป่วย รวมถึงหมอทำคลอดที่ถอยฉากออกมายืนตัวสั่นอยู่มุมหนึ่งในห้องด้วย

"เป็นเช่นไรบ้างท่านหมอหลวง? รีบบอกมาเร็วเข้า"ชิงหยวนละล่ำละลักถามหมออาวุโส

หมออาวุโสทิ้งตัวคุกเข่าเบื้องหน้ามู่หลิ่งฟู่และแม่ทัพหนุ่ม "ท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพ โปรดอภัย...ฮูหยินน้อย...สิ้นแล้วขอรับ"

สิ้นเสียงหมออาวุโส เกิดความเงียบขึ้นมาในบัดดล แม้แต่เสียงร้องไห้ของทารกแฝดก็หยุดชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงร้องดังยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังเอาแต่ดิ้นดุกดิกไม่หยุด ใบหน้าเล็กเหี่ยวย่นแดงก่ำยิ่งแดงมากขึ้นอีกสองส่วน และเริ่มมีเสียงสะอื้นไห้จากร่างเล็กจ้อยทั้งสอง

"ไม่จริง ท่านหมอหลวง...ท่าน..ท่านกำลังล้อพวกเราเล่นใช่รึไม่?"ชิงฮูหยินเอ่ยถามเสียงเบาหวิว แขนที่อุ้มหลานชายคนแรกสั่นไหวรุนแรงจนพ่อบ้านเจาเกรงว่า คุณชายน้อยจะหลุดมือจึงรีบมารับคุณชายน้อยไปอุ้มไว้เสียเอง น่าจะใช้คำว่า "แย่งเอาไป"จึงจะเหมาะกว่า ทั้งยังส่งสัญญาณให้นมฝูที่ยืนร่ำไห้มารับคุณหนูน้อยจากมู่ฮูหยินไปด้วย เพราะยามนี้นายหญิงทั้งสองมีอาการไม่สู้ดีคล้ายจะล้มพับได้ทุกเมื่อ

หมอหลวงใช้ความเงียบและก้มหน้ามองพื้นเป็นคำตอบ ฮูหยินทั้งสองเห็นดังนั้นถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น กอดคอกันร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นอย่างไม่สนมารยาทอีกต่อไป

"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ"ชิงหยวนเองก็แข้งขาอ่อนซวนเซจะหงายหลังล้มหัวฟาดพื้น ดีที่เฟิ่งอิงและมู่หลิ่งฟู่เข้ามาประคองไว้ได้ทันท่วงที ก่อนมู่หลิ่งฟู่จะให้เฟิ่งอิงพาชิงหยวนไปนั่งสงบจิตใจยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ในห้อง ส่วนตัวเองเลือกที่จะเดินมายืนข้างบุตรชายที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้น สายตาตรึงอยู่ที่ใบหน้าจิ้มลิ้มแม้จะไม่มีน้ำตาแต่เขารู้ดีว่าบุตรชายกำลังหัวใจสลาย....

แม่ทัพหนุ่มพาร่างอันสั่นเทาอ่อนแรงซวนเซจะล้มไม่ล้มแหล่ มายังเตียงนอนอย่างยากลำบาก ทรุดกายลงนั่งขอบเตียงยื่นมือที่สั่นไหวลูบไล้แก้มขาวซีดที่ยังอุ่นอยู่ของภรรยารักอย่างอ่อนโยนรักใคร่ ริมฝีปากหนาได้รูปเม้มสนิทเป็นเส้นตรง รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เริ่มติดขัดของตนเอง ดวงตาที่แดงก่ำอยู่แล้วเริ่มมีน้ำตาหยดลงมา

"หลินเอ๋อร์ อย่าล้อเล่นเช่นนี้เลย ตื่นเถิด หลงเอ๋อร์กับเหม่ยเอ๋อร์ร้องเรียกเจ้าอยู่ได้ยินรึไม่? รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า ตื่นขึ้นมาเร็วอย่างทิ้งพี่กับลูกไปแบบนี้..."

น้ำเสียงและถ้อยคำเจ็บปวดที่พรั่งพรูออกมาจากปากบุรุษชาตินักรบผสานเข้ากับเสียงร้องไห้จ้าของทารกน้อย ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจหลายคนร่ำไห้ทำใจยอมรับไม่ได้กับการสูญเสียครั้งนี้

ที่ตรงประตูทางเข้า.....

"น้องเล็ก หลินหลินจะจากไปเช่นนี้จริงหรือ?"ร้องถามฟานฟานน้อยน้อยที่ยืนปักหลักนิ่งไม่ยอมเข้าไปหาหลินหลินข้างใน

"ลิขิตสวรรค์ไหนเลยข้าจะรู้ได้"ฟานฟานน้อยตอบสายตามองเข้าไปข้างในตลอด

"หัวหน้าไม่มีหนทางช่วยหลินหลินเลยหรือเจ้าคะ?"

"มีเพียงแต่..."เจ้าพยัคฆ์น้อยผงกตอบ

"อันใดหรือขอรับ?"เป่าเปาน้อยร้องถามเสียงตื่นเต้น

"เรื่องนี้...ผู้ที่มีพลังอำนาจในการตัดสินใจ คือ ราชามังกรฟ้า"ฟานฟานน้อยร้องบอกทั้งสามเสียงเครียด

"อันใดนะ!!?ราชามังกรฟ้าหรือ?"ฟงฟงน้อยร้องเสียงหลง

"หือ?...ทำไมหรือเจ้าคะ?"หมั่นโถวน้อยเอียงหัวน่ารักถาม

"....ราชามังกรฟ้า คือ จอมราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ปกครองแดนมนุษย์ ให้สงบสุข เป็นไปตามลิขิตฟ้า ตามคำบัญชาของเง็กเซียนฮ่องเต้ มีสี่ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ ประจำสี่ทิศ หงส์เพลิงประจำทิศอุดร(เหนือ) เต่ามังกรประจำทิศทักษิณ(ทิศใต้) พยัคฆ์โคร่งขาว ประจำทิศบูรพา(ตะวันออก) และ มังกรเขียวประจำทิศประจิม(ตะวันตก)"ฟงฟงน้อยอธิบายอย่างใจเย็น

"แล้วอย่างไรเจ้าคะ?"จิ้งจอกน้อยถามพร้อมกับเอียงหัวกลับไปอีกข้าง ราชามังกรฟ้าเกี่ยวกับการช่วยหลินหลินตรงไหนกัน?

"ก็เพราะ ราชามังกรฟ้าสามารถชุบชีวิตให้กับมนุษย์ได้อย่างไรเล่า!!"ฟานฟานน้อยเป็นผู้ตอบคำถามของเจ้าจิ้งจอกน้อยจอมขี้แย

"จริงหรือเจ้าคะ?"จิ้งจอกน้อยร้องถามด้วยความตื่นเต้น

"ข้าไม่มีอารมณ์มาหยอกล้อเจ้าหรอกนะ เจ้าจิ้งจอกจอมขี้แย"

"งือ!...หมั่นโถวไม่ใช่จิ้งจอกจอมขี้แยเสียหน่อย"จิ้งจอกน้อยทำปากขมุบขมิบแง่งอน

"แล้วราชามังกรฟ้ายามนี้อยู่ที่ใด?"ฟงฟงน้อยถามต่อ

"เรื่องนั้น...ข้าเองก็ไม่รู้"ฟานฟานน้อยตอบเสียงอ่อย

"อ้าว...เช่นนี้..หลินหลินจะเป็นเยี่ยงไรต่อไปเล่า?"ฟงฟงน้อยร้องถามเสียงสูง

"ถึงข้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด แต่ลางสังหรณ์ของข้าบอกว่า หลินหลินจะฟื้นคืนชีวิตอีกครั้งอย่างแน่นอน แต่จะเมื่อใดนั้น...สุดจะรู้ได้"ฟานฟานน้อยเชิดหัวตอบ

"เอ่อ..หัวหน้า..."

"มีอันใด? เจ้าจิ้งจอกจอมขี้แย"

"งือ..หัวหน้า! หัวหน้าจะไม่แจ้งให้เหวินเหวินทราบหน่อยหรือเจ้าคะ?"

"นั่นสิน้องเล็ก...ดูความเศร้าที่แผ่ออกมานี่สิ ชวนให้หดหู่ยิ่งนัก"ฟงฟงน้อยเห็นด้วย

"รู้แล้วน่า!!...เฮอะ!!"พูดจบก็สะบัดก้นเชิดหน้าเดินเข้าไปในข้างใน แล้วภาพที่ปรากฏเข้ามาในดวงตากลมเล็กสีเทา คือ ท่านพ่อท่านแม่ของหลินหลิน ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าแม่ทัพขี้แกล้งและพี่ชายของหลินหลินนั่งหน้าเศร้าล้อมโต๊ะกลมอยู่

ด้านข้างมีพ่อบ้านแก่ๆและหญิงวัยกลางคนที่มันเคยได้ยินหลินหลินเรียกว่า นมฝูทั้งสองอุ้มทารกน้อยที่ส่งเสียงร้องอยู่ตลอดเวลาจนเสียงเล็กๆนั้นเริ่มจะแหบแห้งแล้ว ยังมีสองสาวใช้ของหลินหลินยืนร่ำไห้เงียบเชียบอยู่ปลายเตียง ถัดมาเป็นหญิงอวบอ้วนกับชายร่างผอมหน้าตาแลดูใจดียืนเหงื่อซึมอยู่ มันยังจับความหวาดกลัวในใจของทั้งสองได้อีกด้วย

เมื่อมันหันหัวกลับมาที่เตียงจึงพบกับร่างใหญ่ยักษ์ของใครบางคน ที่หลินหลินเรียกว่า สามีรักโอบกอดหลินหลินไว้แน่น ความเศร้าเสียใจที่แผ่ออกมาเข้มข้นจนมันรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด มันตัดสินใจกระโดดขึ้นไปบนเตียง เงยหัวขึ้นมองเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งเงียบไม่สนใจมันจึงใช้อุ้งเท้าสะกิดเข้าที่เอวของแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งอีกฝ่ายเพียงปรายตามองมันแวบเดียวแล้วไม่สนใจมันอีกก็ให้นึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย แต่ด้วยยามนี้การช่วยหลินหลินเป็นเรื่องเร่งด่วนมันเลยต้องปล่อยผ่านไปก่อนแล้วว่า "อย่าห่วง...หลินหลินจะฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง"ร้องบอกทางจิต

แม่ทัพหนุ่มที่กำลังเศร้าเสียใจหันขวับมามองเจ้าพยัคฆ์น้อย ตาเบิกกว้างตื่นตะลึงแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว สูดลมหายใจเข้าแรงปรับอารมณ์ "ข้าต้องทำเยี่ยงไรบ้าง?"แม้จะไม่ใคร่ชอบหน้ากันเท่าใดนัก แต่แม่ทัพหนุ่มเชื่อในคำพูดของเจ้าพยัคฆ์น้อยอย่างไร้ข้อกังขา

"...รอ..ยามนี้ทำได้แค่รอ.."

"รอ?...แล้วร่างกายของนางจะเป็นเช่นใด?"คิ้วเข้มขมวดมุ่นยามที่ส่งเสียงถามทางจิต ยามนี้ร่างกายนางเย็นเชียบราวกับน้ำแข็ง หากปล่อยเลยตามเลยโดยไม่ทำอะไร เกรงว่าต้องเน่าเปื่อยเป็นแน่

"หลินหลินเป็นคนที่ราชามังกรฟ้าเลือกที่จะทำพันธะสัญญาด้วย ราชามังกรฟ้าย่อมต้องรักษาร่างของนางไว้ไม่ปล่อยให้เน่าเปื่อยหรอก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของราชามังกรฟ้า"

"...หมายความว่าอย่างไร? "คิ้วเข้มที่คลายลงเล็กน้อยกลับมาขมวดมุ่นอีกครั้ง

"...บิดาข้าเคยเล่าให้ฟังว่า ในอดีต ราชามังกรฟ้านึกสนุก ทำพันธะสัญญากับมนุษย์หนุ่มผู้หนึ่ง โดยให้พรแก่ชายผู้นั้นหนึ่งข้อ ชายหนุ่มจึงขอให้ตนเองมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และรักษาได้ทุกโรค ซึ่งราชามังกรฟ้าพึงพอใจมากและให้พรตามที่ชายผู้นั้นร้องขอ...

"แรกๆชายหนุ่มก็ใช้วิชาแพทย์ รักษาผู้คนอย่างมิเลือกสถานะ จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล ผู้คนเรียกขานว่า หมอเทวดา ต่อมา..ชายหนุ่มกลับลุ่มหลงในอำนาจ ลาภยศเงินทอง ที่ผู้คนหยิบยื่นให้ จนละเลยเจตนารมณ์และคำมั่นที่ให้ไว้แก่ราชามังกรฟ้า ...

"สิบปีหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็เสียชีวิตเพราะถูกศิษย์รักหักหลัง ชายหนุ่มกระทำความชั่วไว้มากเกินไป ราชามังกรฟ้าจึงยกเลิกพันธะสัญญาที่ทำไว้ แล้วเลือกที่จะปล่อยให้เขาตาย แทนที่จะชุบชีวิต"เจ้าพยัคฆ์น้อยเล่าเรื่องราวให้แม่ทัพหนุ่มฟัง ด้วยหวังว่า คนฉลาดมากเล่ห์ผู้นี้จะเข้าใจในสิ่งที่มันต้องการจะสื่อ

"เจ้ากำลังจะบอกว่า ความดีเป็นตัวแปรสำคัญใช่หรือไม่?"

"อืม"เจ้าพยัคฆ์น้อยผงกหัวลงทีหนึ่งไม่เสียแรงที่หลินหลินยอมเรียกว่าสามีรัก

"เช่นนั้น ข้าค่อยเบาใจหน่อย"แม่ทัพหนุ่มลอบถอนใจโล่งอก บรรจงวางร่างภรรยารักลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล เกลี่ยปอยผมที่ละใบหน้าขาวซีดอย่างอ่อนโยนมุมปากยกยิ้มเล็กน้อยมั่นใจเต็มเปี่ยมว่านางจะต้องฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งตามคำพูดของเจ้าพยัคฆ์น้อย เพราะตลอด เวลาที่ผ่านมานับปีนางได้ช่วยเหลือผู้คนมากมาย แม้ตนเองจะต้องตกอยู่ในอันตรายนางก็หาใส่ใจไม่ คนที่ยอมทำเพื่อผู้อื่นไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนเช่นนี้หากราชามังกรฟ้ายังเมินเฉย คงไม่เหมาะกับตำแหน่งราชาผู้ปกครองแดนมนุษย์แล้ว!!

"ขอข้าดูเด็กๆหน่อย"เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องขอทางจิต เสียงร้องของทารกน้อยแผ่วเบาลงแล้วเพราะร้องนานติดต่อกัน

"อืม"แม่ทัพหนุ่มหันไปทางพ่อบ้านเจาและนมฝู พยักหน้าเป็นสัญญาณให้นำลูกน้อยทั้งสองมาหาตน

"หมั่นโถวขอดูด้วย"เจ้าจิ้งจอกน้อยที่ยืนรออยู่หน้าเตียงนานแล้ว กระโดดขึ้นมาบนเตียงตามด้วยฟงฟงน้อยและเป่าเปาน้อย แม้จะไม่เข้าใจบทสนทนา แต่พอเห็นชายหญิงที่อุ้มลูกของหลินหลินนำเด็กน้อยทั้งสองส่งให้แม่ทัพหนุ่มก็เกิดความสนใจอยากเห็นบ้าง

อัปลักษณ์ยิ่ง!! เจ้าพยัคฆ์น้อยคิดในใจ ดวงตากลมเล็กสีเทาจ้องร่างที่ถูกห่อหุ้มเหลือเพียงใบหน้าที่ยับย่นซ้ำยังแดงก่ำ สายตามีความประหลาดใจเจือผิดหวังลึกๆ เพราะหวังไว้สูงว่า ทารกน้อยทั้งสองจะต้องงดงามเช่นเดียวกับหลินหลิน แล้วนี่อะไร?...

หลงเอ๋อร์น้อยที่กำลังร้องไห้พอได้กลิ่นแปลกประหลาดจึงลืมตาฉ่ำไปด้วยน้ำตาขึ้นมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เห็นสิ่งนั้นขยับไปมาก็เกิดความสนใจหยุดร้องไห้ชั่วคราว ยื่นมือเล็กจ้อยออกไปสัมผัสสิ่งนั้น

จู่ๆก็ถูกตัวอัปลักษณ์ตบหน้าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แม้จะไม่รุนแรงแต่ก็ทำให้เจ้าพยัคฆ์น้อยที่เผลอยื่นหัวเข้าไปมองใกล้ๆอึ้งไปครู่หนึ่ง ยิ่งเมื่อดวงตาสีเทาของมันสบเข้ากับดวงตาสีน้ำหมึกบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาที่จ้องแป๋วมาก็ให้นึกเอ็นดู เหอะ!ข้าจะเล่นกับเจ้าหน่อยก็แล้วกันตัวอัปลักษณ์มันว่าในใจแล้วเลียมือเล็กจ้อยนุ่มนิ่มทักทาย ซึ่งก็ได้เสียงอืออาตอบกลับมา

"หมั่นโถวเล่นด้วย"เจ้าจิ้งจอกน้อยเห็น่าสนุกจึงขยับร่างสีขาวปุกปุยเข้ามาใกล้เหม่ยเอ๋อร์น้อยที่หยุดร้องไห้แล้ว ยื่นหัวเรียวเล็กมาหยุดตรงหน้าทารกน้อยเลียมือเล็กจ้อยที่โบกไปมาตรงหน้า

เสียงร้องไห้ที่เปลี่ยนไปเป็นเสียงอืออา สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่กำลังหม่นหมอง เศร้าเสียใจทั้งห้าต้องเดินมาดู แล้วข้อข้องใจก็ถูกไขจนกระจ่าง เมื่อผู้ที่ทำให้ทารกน้อยอารมณ์ดีคือ สี่สี่สหายน้อยขนปุกปุยของเจ้าของร่างที่นอนนิ่งไร้ลมหายใจอยู่บนเตียง เจ้าสิ่งมีชีวิตสี่ขาขนปุกปุยน่าสัมผัสกำลังใช้ลิ้นเลียมือเล็กจ้อยของทารกน้อย ซึ่งดูเหมือนทารกน้อยทั้งสองจะชื่นชอบมากเพราะส่งเสียงอืออามือไม้ขยับไปมาไม่หยุด

ซึ่งภาพความน่ารักน่าเอ็นดูระหว่างสองทารกน้อยฝาแฝดกับสี่สหายน้อย ทำให้ มู่หลิ่งฟู่ ชิงหยวนเฟิ่งอิงและสองฮูหยินอบอุ่นหัวใจความเศร้าโศกเสียใจคลายลง

"อาเหวิน"มู่ฮูหยินเอ่ยเรียกพร้อมกับวางมือขาวบนไหล่ขวาบุตรชายที่หันข้างให้ตน

"ขอรับ"แม่ทัพหนุ่มขานตอบแผ่วเบาเบือนใบหน้าหล่อเหลามาทางมารดา

"มีเรื่องน่ายินดีใช่หรือไม่?"นางถามบุตรชายเสียงนุ่มนวล แล้วผินหน้างดงามไปยังใบหน้าขาวซีดของลูกสะใภ้ เหตุที่นางถามเช่นนี้เพราะสัมผัสได้ถึงท่าทีผ่อนคลายของบุตรชาย

"จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิดขอรับ"

"หือ?ช่วยพูดให้กระจ่างหน่อยสิ"มู่หลิ่งฟู่เอ่ยถามแทนทุกคน

"พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน หากไม่เรียกห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด"แม่ทัพหนุ่มหันไปสั่งบ่าวไพร่ รวมทั้งหมอหลวงและหมอทำคลอดหญิง เมื่อผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมดแล้วแม่ทัพหนุ่มจึงกล่าว "เจ้าฟานฟานน้อยเล่าว่า หลินเอ๋อร์ได้ทำพันธะสัญญากับราชามังกรฟ้าไว้ นางจะฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งได้รึไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและความพึงพอใจของราชามังกรฟ้า มีความดี เป็นตัวแปรสำคัญขอรับ"

"เจ้ากำลังจะบอกว่า หากความดีที่หลินเอ๋อร์กระทำมาน้อยเกินไป นางจะจากไปตลอดกาล?"ชิงฮูหยินเอ่ยถามเสียงสั่น

"ขอรับ"แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าสำทับ

"อา..แล้วพอจะมีทางไหนช่วยเพิ่มพูนความดีให้นางได้บ้าง?"ชิงหยวนเอ่ยขึ้นบ้าง

"บริจาคสิ่งของมีค่าให้วัดวาอาราม? ตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารให้ผู้ยากไร้? สิ่งเหล่าสามารถช่วยเพิ่มพูนความดีให้นางได้หรือไม่?"มู่ฮูหยินลองเสนอความคิดเห็นดูบ้าง

"เป็นความคิดที่ดี!เพิ่มอีกนิดคือสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์และราชามังกรฟ้าจะได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ข้าเชื่อว่าราชามังกรฟ้าจะต้องพึงพอใจเป็นแน่"มู่หลิ่งฟู่กล่าวอย่างมั่นใจ

"ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า"ชิงหยวนยิ้มพอใจกับความกระตือรือร้นของทุกคน

"ต้องใช้เวลานานเพียงใด? แล้วร่างกายของนางจะไม่เน่าเปื่อยหรือ?"เฟิ่งอิงที่ยืนฟังอยู่นานเอ่ยถามเสียงเรียบแต่แฝงความกดดันจนแม่ทัพหนุ่มต้องเลิกคิ้วมองแล้วว่า "ร่างกายของนางจะคงสภาพเดิมเช่นนี้ทุกประการ ส่วนระยะเวลาขึ้นอยู่กับราชามังกรฟ้า จะเมื่อใดนั้นไม่อาจรู้ได้"

ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากปากแม่ทัพหนุ่ม ทำเอาใบหน้าที่ผ่อนคลายของทั้งห้ากลับมาดำมืดอีกครั้ง

"เอาล่ะๆ คิดมากไปพาลให้ปวดหัว เมื่อรู้หนทางที่พอจะช่วยนางได้แล้วก็มาหารือกันเถิดว่าใครจะทำอะไรกันบ้าง?"มู่หลิ่งฟู่กล่าวขึ้นทำลายความเงียบ

"ข้าขอรับผิดชอบสร้างโรงทานเองขอรับ"เฟิ่งอิงเลือกเป็นคนแรก

"ดี!อาหยวน เจ้ากับข้านำสิ่งของไปบริจาคตามวัดวาอารามก็แล้วกัน ส่วนฮูหยินก็ไปวัดสวดมนต์ให้นางดีหรือไม่?"

"ดีเจ้าค่ะข้าเห็นด้วยกับท่านพี่"มู่ฮูหยินกล่าว "เหม่ยหลินเราไปเตรียมตัวกันเถิด"

"ได้ แล้วแม่นมที่เจ้าหาไว้เล่ามาถึงหรือยัง?"ชิงฮูหยินตอบก่อนจะย้อนถามสหายรัก สองเท้าก็ก้าวออกไปจากเรือนที่พักไปด้วย

"มาถึงหลายเพลาแล้ว ยามนี้พักอยู่ที่เรือนรับรอง"

"โฮ่! ใจร้อนกันเสียจริง"มู่หลิ่งฟู่ส่ายหน้ากล่าว คล้อยหลังสองฮูหยินออกไปจนไม่ได้ยินบทสนทนาแล้ว

"อาเฟิ่ง แล้วเจ้าจะให้คนของเราสร้างโรงทานเมื่อใด?"ชิงหยวนหันมาถามชายหนุ่ม

"ทันทีที่ข้ากลับถึงจวนสกุลชิงขอรับ"เฟิ่งอิงละสายตาจากใบหน้าซีดขาวของชิงหลินตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ

"ดี! เช่นนั้นเจ้าไปเถิด คาดว่าคงจะแล้วเสร็จก่อนยามเฉินวันพรุ่ง"ชิงหยวนกล่าวอนุญาต

"เช่นนั้นข้าขอลา ท่านลุงมู่ ท่านพ่อบุญธรรม น้องเขย"เฟิ่งอิงกล่าวลาทุกคน ชำเลืองมองใบหน้าขาวซีดแวบหนึ่งแล้วหมุนกายจากไปอย่างรีบร้อน

ยามนี้ในเรือนจึงเหลือเพียง มู่หลิ่งฟู่ ชิงหยวน แม่ทัพหนุ่ม ร่างที่ไร้ลมหายใจของชิงหลิน สองทารกน้อย และสี่สหายน้อย สามบุรุษหารือกันอีกราวสองเค่อก่อนที่ มู่หลิ่งฟู่ และชิงหยวน จะจากไปจัดการเรื่องที่ตกลงกันไว้

"หลินเอ๋อร์ พี่หวังว่าเจ้าจะฟื้นคืนในเร็ววัน"แม่ทัพหนุ่มไล้นิ้วโป้งที่แก้มนุ่มนิ่มแต่เย็นชืดของภรรยารักก้มลงจุมพิตที่หน้าผากมน จากนั้นหันไปอุ้มลูกน้อยทั้งสองขึ้นมาแนบอกจุมพิตหน้าผากน้อยๆนั้นอย่างอ่อนโยนยกยิ้มเอ็นดูเมื่อลูกน้อยส่งเสียงอ้อแอ้คล้ายทักทายตน เขาอยู่เล่นกับลูกน้อยทั้งสองต่ออีกครู่หนึ่ง แล้วเรียกสองสาวใช้ของภรรยารักให้เข้ามาดูแลต่อ หมุนกายออกไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

เช้าวันต่อมา

ข่าวการกำเนิดทายาทแฝดของฮูหยินน้อยท่านแม่ทัพ หรือก็คือธิดาสวรรค์ของผู้ทุกข์เข็ญ ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ชาวเมืองต่างยินดีและให้ความสนใจเป็นวงกว้าง ต่างเร่งเตรียมของขวัญและคำอวยพรเพื่อนำไปมอบให้นางด้วยความเต็มใจหาใช่ให้ตามธรรมเนียมไม่

กลางยามเฉินมีชาวบ้านที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากสกุลชิง กว่าห้าสิบชีวิตเดินทางมาที่จวนแม่ทัพไร้พ่าย เพื่อมอบของขวัญและกล่าวคำอวยพรแก่ท่านแม่ทัพและฮูหยินน้อย แต่กลับพบโรงทานขนาดใหญ่ข้างประตูทางเข้าจวน มีทหารร่างใหญ่ในชุดสีดำเต็มยศ ยืนแจกจ่ายอาหารให้ชาวบ้านผู้อพยพและเหล่าขอทาน ใกล้ๆมีทหารคอยดูแลคุ้มกันไม่ให้เกิดความวุ่นวาย แม้จะทราบถึงความใจดีมีเมตตาชอบช่วยเหลือผู้อื่นของสองตระกูลนี้ดี แต่ไม่เคยตั้งโรงทานที่จวนแม่ทัพมาก่อน

"เอ่อ พี่ทหารขอถามหน่อยเถิด เหตุใดจวนแม่ทัพจึงตั้งโรงทาน?"หนึ่งในนั้นเอ่ยถามด้วยความสงสัย

"ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า? หากต้องการอาหารก็ไปต่อแถวทางนั้นไป"ทหารนายนั้นตวัดตามองชายหนุ่มแวบหนึ่งแล้วตอบกลับเสียงเข้มต่ำกดดันชายหนุ่มจนต้องถอยร่นกลับไปที่เดิม

"ข้าว่าจะต้องเกิดเรื่องกับธิดาสวรรค์อย่างแน่นอน เพราะจวนแม่ทัพไม่เคยตั้งโรงทานเช่นนี้มาก่อน มีแต่จวนท่านเสนาบดีเท่านั้นที่เคยตั้งโรงทานเช่นนี้"

"อา...ก่อนยามเฉิน ข้าเห็นขบวนรถม้าของเห็นมู่ฮูหยิน ชิงฮูหยิน มุ่งหน้าไปวัดต้าเจาซื่อ"

"วัดต้าเจาซื่อ? สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมไปกราบไหว้ขอพรให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนานั้นรึ?"

"ถูกต้อง แล้วฮูหยินทั้งสองไปขอพรอะไรกัน? รึจะเกิดเหตุร้ายกับธิดาสวรรค์!!"

"ชู่ว์...เบาหน่อย..ข้าว่าเราแยกย้ายกันสืบดีกว่า หากเกี่ยวกับธิดาสวรรค์จริงคนตัวเล็กๆอย่างเราอาจจะพอทำประโยชน์อันเพื่อนางได้บ้าง"

"ตกลง!"

วังตะวันออก ห้องอักษรของฉีเฟยหลง องค์รัชทายาท

"นางเป็นเช่นไรบ้าง?"ฉีเฟยหลงถามองครักษ์เงาที่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่เบื้องหน้าตน

"ฮูหยินน้อยท่านแม่ทัพสิ้นแล้วพะย่ะค่ะ!!"องครักษ์เงาตัดใจกล่าวให้จบในคราเดียว

"เจ้า!!...ได้ตรวจดูด้วยตนเองรึไม่?"

"พะย่ะค่ะ"จวนแม่ทัพมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา กว่าเขาจะลักลอบเข้าไปได้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ยามออกมาก็เกือบถูกจับได้คิดแล้วยังเสียวสันหลังไม่หาย

"พระองค์จะเสด็จไปที่ใด?"องครักษ์เงาเอ่ยถาม

"จวนแม่ทัพไร้พ่าย เราจะไปดูให้เห็นกับตา หากเจ้ากล้าโป้ปดแม้เพียงคำเดียวเราจะลงอาญาเจ้าให้หนักเลยทีเดียว!!!"ฉีเฟยหลงคาดโทษเสียงเข้ม ทำองครักษ์เงาลอบกลืนน้ำลาย

"เกากงกง!!"

"พะพะย่ะค่ะกระหม่อมอยู่นี่"เกากงกงรีบซอยเท้าเข้ามายืนค้อมศีรษะ เบื้องหน้าฉีเฟยหลง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดบ่งบอกได้ดีถึงอารมณ์ของผู้สูงศักดิ์เกากงกงจึงอดหวาดหวั่นใจไม่ได้

"ไปเตรียมม้าให้เราเดี๋ยวนี้!!"ฉีเฟยหลงสั่ง เกากงกงรีบไปทำตามรับสั่งทันที

--------------

ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักฟ้าทรงธรรม อันเป็นที่ประทับของฉีเฉินหลงฮ่องเต้ วรกายสูงศักดิ์ของผู้มีอำนาจล้นฟ้า อยู่เหนือผู้คนนับแสนนับหมื่นประทับอย่างสง่าผ่าเผยอยู่หลังโต๊ะทรงงาน ตาคมจับอยู่ที่ราชโองการบนโต๊ะนิ่ง มุมปากยกขึ้นพอใจที่อ่านเนื้อความในราชโองการจบลง

"ฝ่าบาท"เสียงทุ้มราบเรียบแต่เข้มแข็งดังขึ้นในมุมมืด

"นางคลอดแล้ว?"ฉีเฉินหลงถามโดยไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย น้ำเสียงบ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดี

"...พะย่ะค่ะ แฝดหญิงชาย เพียงแต่.."

"หือ?..มีอะไรก็ว่ามา"ถามน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป

"ไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามหลังจากให้กำเนิดทายาท ฮูหยินน้อยท่านแม่ทัพก็สิ้นลมพะย่ะค่ะ"

"ว่าอะไรนะ!!? เจ้าตรวจสอบดีแล้วรึ?"

"พะย่ะค่ะ ทั้งนี้ได้รับคำยืนยันจากหมอหลวงและหมอทำคลอดหญิงสองคนนั้นด้วย"

"...แล้วมีอะไรเพิ่มเติมอีกรึไม่?"ฉีเฉินหลงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถาม

"เช้านี้..หน้าจวนแม่ทัพไร้พ่ายจัดตั้งโรงทานขนาดใหญ่ แจกจ่ายอาหารให้ชาวบ้าน มู่ฮูหยิน ชิงฮูหยิน เดินทางไปไหว้พระขอพรที่วัดต้าเจาซื่อ พร้อมของบริจาคอีกหลายคันรถม้า และที่น่าแปลกอีกอย่าง คือ ไม่มีเสียงร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเลยพะย่ะค่ะ"

"อืม...เรารู้แล้ว เจ้าไปได้"พอองครักษ์เงาจากไปแล้ว ฉีเฉินหลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตาลงครุ่นคิด เมื่อคนในครอบครัวจากไปสมควรจัดเตรียมงานศพ..รึมิใช่? แล้วการตั้งโรงทาน เดินทางไปขอพรให้สมหวังนี่อย่างไร? หรือจะเป็นคำสั่งเสียสุดท้าย? อีกอย่างเมื่อคนอันเป็นที่รักตายจากสมควรโศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้ดุจน้ำตาเป็นสายน้ำ? อา...คิดอย่างไรก็แปลก

"อู่เต๋อจง!!"

"พะย่ะค่ะฝ่าบาท"ขันทีใหญ่ประจำพระวรกาย รีบซอยเท้าเข้ามาหยุดเบื้องพระพักตร์อย่างรวดเร็ว

"จงเป็นตัวแทนเรานำของขวัญไปจวนแม่ทัพมู่!!"

"น้อมรับพระบัญชาพะย่ะค่ะ"อู่เต๋อจงทราบดีว่าการเดินทางไปจวนแม่ทัพไร้พ่ายครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงมอบของขวัญแสดงความยินดีเท่านั้น 'เราอยากรู้สถานการณ์ภายในจวนแม่ทัพอย่างละเอียด'รับสั่งนั้นอู่เต๋อจงเต็มใจทำอย่างยิ่ง เหตุเพราะชื่นชมและประทับใจในตัวฮูหยินน้อยท่านแม่ทัพอยู่หลายส่วน อา..ขอปาฏิหาริย์จงบังเกิดแก่นางด้วยเถิด.....

นิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ปลูกถั่วย่อมได้ถั่วฉันใด ทำดีย่อมได้ดีฉันนั้นแล...^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts