webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · Fantasy
Not enough ratings
107 Chs

ภาคต่อตอนที่ 43 สถานศึกษามู่ชิง

หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสามเดือนแล้วพรุ่งนี้สถานศึกษาแห่งใหม่ใจกลางเมืองหลวงฉางอานจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในชื่อ สถานศึกษามู่ชิง อันเป็นแซ่สกุลของแม่ทัพหนุ่มและภรรยาสาว

ทั้งยังได้รับเกียรติจาก ตู้ฮุ่ยเปียว อัครเสนาบดีจะมาเป็นประธานเปิดงานให้อีกด้วย หนึ่งเดือนก่อนได้มีการแปะป้ายประกาศไปทั่วตลาด และยังให้บ่าวไพร่ของสกุลชิงช่วยป่าวประกาศ เพื่อให้คนที่อ่านหนังสือไม่ออกได้รู้ สร้างความยินดีแก่ชนชั้นรากหญ้า ไพร่ ทาส หรือแม้แต่ขอทาน เดินทางมาสมัครกันอย่างล้นหลาม ดังนั้นศิษย์รุ่นแรกที่ได้รับเลือกหนึ่งร้อยคน ล้วนเป็นเด็กกำพร้า เด็กเร่ร่อนและขอทานน้อย ที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีอาหาร เสื้อผ้า และเรือนนอนไว้รองรับไม่ต้องเสียเงินแม้แต่อัฐเดียว

สถานศึกษามู่ชิง แบ่งสอนสองช่วงเวลา คือ ภาคเช้าและภาคบ่าย ภาคเช้าเริ่มกลางยามเฉินถึงกลางยามอู่สอนปรัชญาชีวิต ความรู้พื้นฐานเฉกเช่นสถานศึกษาทั่วไป มุ่งเน้นให้อ่านออกเขียนได้ กลุ่มเป้าหมายคือเด็กหญิงชาย อายุตั้งแต่ห้าขวบปีขึ้นไป

ภาคบ่ายเริ่มยามอุ้ยสิ้นสุดยามเซิน เปิดสอนวิชาศิลปะการวาดภาพ โดยใช้ดินสอถ่านไม้ ที่ช่อลดาไปพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อครั้งที่ไปเรือนพสุธา คอกพักสัตว์ขนาดใหญ่ของชิงหยวนบิดา

การนี้ชิงหลินขอความช่วยเหลือจากเฟิ่งอิงพี่ชาย ให้คนงานนำอุปกรณ์เครื่องเขียนจากเรือนพสุธามาส่งให้ที่จวนแม่ทัพไร้พ่าย รวมไปถึงต้นกล้าพืชผักสมุนไพรของไทยที่นำกลับมาจากหุบเขากินคนติดมือมาด้วย

---------------

สามเดือนก่อนการเปิดสถานศึกษามู่ชิงอย่างเป็นทางการ หูเอ้าเทียนเจ้าสำนักศิลปะหลิ่งจือได้ทูลขอประทานอนุญาตจาก ฉีเฉินหลงฮ่องเต้ให้อาจารย์ในสำนักกลุ่มหนึ่งที่สนใจ มาศึกษาเล่าเรียนวิชาวาดเขียนจากดินสอถ่านไม้จากนาง แลกเปลี่ยนกับให้กลุ่มอาจารย์เหล่านั้นช่วยสอนศิลปะการใช้พู่กันที่นางไม่ใคร่ถนัด ให้แก่ศิษย์รุ่นแรกของสถานศึกษามู่ชิง

การเรียนการสอนเป็นไปอย่างราบรื่น ขลุกขลักนิดหน่อยในตอนแรก อาจารย์ทั้งสี่ท่านจากสำนักศิลปะหลิ่งจือ ล้วนเป็นคนมีชื่อเสียง มีผลงานโดดเด่นอย่างหาตัวจับได้ยาก แม้ไม่อาจเทียบชั้นหูเอ้าเทียนก็ตาม

ดังนั้นจึงมีความทะนงตนค่อนข้างสูง ชิงหลินเดาว่า ที่พวกเขายอมลดตัวมาเรียนศิลปะการใช้ดินสอถ่านไม้จากนาง หนึ่งเพื่อแสดงความใจกว้างยิ่งกว่ามหาสมุทรของตนให้ผู้คนรับรู้ สองเพื่อประจบเอาใจเจ้าสำนักหูเอ้าเทียน ผู้ซึ่งฉีเฉินหลงฮ่องเต้โปรดปรานที่สุดในสำนัก และสุดท้ายเพื่อดูว่าเด็กสาวอย่างนางจะมีฝีมือควรค่าให้ตนยอมรับได้หรือไม่?

เพื่อให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างราบรื่นและเรียกความน่าเชื่อถือ ชิงหลินจึงแสดงฝีมือการวาดภาพลายเส้นที่นางถนัด

"เชิญอาจารย์ทุกท่านเจ้าค่ะ"กล่าวขึ้นเมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว นางเลือกศาลาริมสระบัวเป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้ เพราะการจะสร้างผลงานทางศิลปะให้ออกมาดีได้ดังใจนึก สำหรับเธอธรรมชาติก็เป็นตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่ง

"เชิญอาจารย์มู่"หนึ่งในห้ากล่าวเชิญนางกลับด้วยท่าทีสุภาพเจือความดูแคลนเล็กน้อย ภาพที่เกิดจากกิ่งไม้ไร้ค่า ไหนเลยจะมาสู้ศิลปะการใช้พู่กันที่มีประวัติมายาวนานได้?

เจียวจ้านเหลือบตาขึ้นมองสตรีคราวลูกที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ เหตุเพราะท่าทีของนางที่แย้มยิ้มอ่อนโยนและสุภาพนอบน้อมเมื่อครู่ ยามนี้แปรเปลี่ยนจริงจังมุ่งมั่น ดวงตาจ้องกระดาษเบื้องหน้านิ่งเนิ่นนานกว่าหนึ่งเค่อโดยไม่ทำอะไรจนเจียวจ้านคิดว่านางคงถอดใจไปแล้ว เขาจึงเลิกสนใจนางจับพู่กันรังสรรค์ผลงานของตนจนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ผลงานของเจียวจ้านและสหายสำนักเดียวกันก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์

เจียวจ้านมองภาพวาดพู่กันของตนแล้วยกยิ้มพึงพอใจเช่นเดียวกับอีกสามคน ทั้งสี่ส่งยิ้มให้กันแล้วเชิดหน้านั่งหลังตรงจ้องมองไปเบื้องหน้า ด้วยสายตาท้าทายแกมดูแคลนอย่างโจ่งแจ้งกดดันหญิงสาว

"โอ!...ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก"บ่าวไพร่ที่ยืนรอรับใช้ อยู่เบื้องหลังอาจารย์ทั้งสี่ อุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นภาพอันงดงามของทั้งสี่ โดยเฉพาะผลงานของอาจารย์เจียวจ้านที่งดงามกว่าผู้ใด

ฝีมือการใช้พู่กันในการสร้างสรรค์งานศิลปะของเจียวจ้านนับว่ายอดเยี่ยม เป็นรองเพียงหูเอ้าเทียนเจ้าสำนักศิลปะหลิ่งจือเท่านั้น และการมาที่นี่ ไม่ใช่มาเพื่อเรียนรู้ แต่เจ้าสำนักชื่นชมนางอย่างออกนอกหน้าจึงทำให้เจียวจ้านผู้เป็นศิษย์เอกไม่ใคร่พอใจเพราะอาจารย์ไม่เคยกล่าวชื่นชมศิษย์คนใดเช่นนี้มาก่อน เขาจึงขออนุญาตเจ้าสำนักอ้างว่า อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจะได้นำไปรังสรรค์ผลงานศิลปะให้ดียิ่งๆขึ้นไป ซึ่งเจ้าสำนักอนุญาตแต่โดยดี

ส่วนภาพวาดของชิงหลินไม่มีผู้ใดได้เห็นด้วยนางนั่งอยู่อีกฝั่งคนเดียว ฉากหลังเป็นสระบัวขนาดใหญ่ ความจริงนางวาดเสร็จตั้งแต่ครึ่งชั่วยามที่แล้ว แต่เห็นว่าอาจารย์ทั้งสี่ยังคงวาดไม่เสร็จจึงแสร้งทำทีให้ดูว่ายังวาดไม่เสร็จเหมือนกัน รอจนพวกเขาวางพู่กันลงแล้วจึงทำทีวางดินสอลงบ้าง

"อา...อาจารย์มู่คงวาดเสร็จแล้ว?"หนึ่งในสี่เอ่ยถาม

"เจ้าค่ะ"ค้อมศีรษะตอบอย่างสุภาพ

"เช่นนั้น...เราขอดูผลงานของท่านหน่อยเถิด"บุรุษอีกคนกล่าวขึ้น

"เชิญเจ้าค่ะ"ชิงหลินพยักหน้าให้พ่อบ้านเจาเพียงครู่เดียวภาพวาดของนางก็ถูกพ่อบ้านเจานำไปมอบให้เจียวจ้านที่นั่งอยู่ตรงกลาง

ทันทีที่ได้ยลภาพวาดของนางที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยเบื้องหน้า ดวงตาทั้งสี่ของอาจารย์ฉายแววตื่นตะลึงออกมาไม่ยอมขยับอยู่นาน จนเหล่าบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ประหลาดใจต่างพากันชะเง้อมองเข้ามา แต่หาได้เห็นภาพวาดของฮูหยินน้อยไม่

"นี่มัน ข้าไม่เคยเห็นภาพวาดที่เสมือนจริงเช่นนี้มาก่อนในชีวิต..."หนึ่งในสี่อุทานออกมาแผ่วเบา ดวงตามองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาเหม่อลอยเจือความหวาดหวั่นใจ

"นี่ใช่ภาพวาดแน่หรือ?"อีกคนเอ่ยขึ้นบ้างยื่นมืออันสั่นเทาแตะลงบนภาพอย่างหลงใหล

เช่นเดียวกับเจียวจ้านที่จ้องมองภาพพยัคฆ์เสมือนจริงด้วยความตื่นตะลึง ภาพวาดพยัคฆ์ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ที่วาดได้สมจริงราวกับจับพยัคฆ์ตัวเป็นๆมาวางบนกระดาษเช่นนี้ เห็นทีแม้แต่เจ้าสำนักก็คงไม่อาจรังสรรค์ได้? ฝีมือนางช่างล้ำเลิศเหนือผู้ใดในแผ่นดิน!

"อาจารย์มู่ ฝีมือท่านช่างล้ำเลิศยิ่ง เจียวจ้านได้เปิดหูเปิดตาแล้ว"เจียวจ้านประสานมือค้อมศีรษะให้อย่างจริงใจ

"ท่านอาจารย์กล่าวชมไปแล้ว เป็นเพราะข้าไม่ถนัดการใช้พู่กันจึงเลือกวิธีนี้ ขอท่านอาจารย์ทั้งสี่โปรดอย่าถือสา"ชิงหลินค้อมศีรษะต่ำอย่างนอบน้อม

"ถือสาอะรไได้ ภาพพยัคฆ์ของท่านยามที่มองมันสมจริงเสียจนทำข้าใจหายไปวูบหนึ่งเลยทีเดียว"เจียวจ้านกล่าวติดตลกเล็กน้อย ทำให้บรรยากาศตึงเครียด ผ่อนคลายลงสองส่วน

"ข้าเห็นด้วยกับอาจารย์เจียว"หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของอาจารย์ร่วมสำนัก สายตาที่เคยหยิ่งทะนงและดูแคลนแปรเปลี่ยนเป็นชื่นชมนับถือ

"ภาพการใช้พู่กันของท่านอาจารย์ทั้งสี่ก็งดงามยิ่งนักราวกับไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ นับเป็นวาสนาที่ได้ยลภาพงดงามเช่นนี้เจ้าค่ะ"ชิงหลินกล่าวชมทั้งสี่ ใบหน้าจิ้มลิ้มแย้มยิ้มและนอบน้อมให้เกียรติ

"อาจารย์มู่กล่าวหนักไปแล้ว กล่าวตามตรงเราคุ้นชินและภูมิใจกับการใช้พู่กันที่มีประวัติมายาวนานจึงมีอคติกับวิธีการของท่าน แต่พอได้มาเห็นฝีมือของท่านแล้ว ทำให้ข้าสำนึกได้ว่า แผ่นดินกว้างใหญ่ยังมีเรื่องราวที่ข้าไม่รู้ไม่เห็นอีกมากมายรอข้าอยู่"เจียวจ้านกล่าวด้วยใบหน้าแย้มยิ้มสุภาพ

ชิงหลินเพียงค้อมศีรษะลงให้เจียวจ้าน มุมปากยกยิ้มโล่งอกที่ได้รับการยอมรับจากอาจารย์ทั้งสี่ เหตุผลที่เลือกวาดรูปพยัคฆ์ในแบบนี้เพราะต้องการสื่อถึงความจริงจัง หนักแน่นมั่นคงของนางผ่านทางดวงตาของพยัคฆ์

หลังจากผ่านการทดสอบ อาจารย์ทั้งสี่ก็ยอมรับนาง เรียกนางว่า อาจารย์อย่างเต็มใจ และตั้งใจเรียนรู้ กอบโกยวิชาจากอาจารย์ใหม่ของตนให้ได้มากที่สุด

ในช่วงสามเดือนที่ได้เล่าเรียนกับชิงหลินฮูหยินน้อยแห่งจวนแม่ทัพไร้พ่าย เจียวจ้านยอมรับและนับถือนางอย่างหมดใจ ยอมรับในความสามารถที่โดดเด่นหาผู้ใดเทียบยาก และนับถือในความใจกว้างยอมถ่ายทอดวิชาให้อย่างมิคิดปิดบัง ผิดจากผู้มีความรู้ทั่วไปที่มักจะเลือกถ่ายทอดให้เฉพาะลูกหลานหรือศิษย์ที่ตนพอใจเท่านั้น

"พรุ่งนี้สถานศึกษามู่ชิงจะเปิดสอนอย่างเป็นทางการ เรียนเชิญท่านอาจารย์ทั้งสี่มาเป็นเกียรติในงาน มิทราบว่าจะเป็นการรบกวนหรือไม่?"ชิงหลินเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพหลังจากการเรียนการสอนในวันนี้จบลงแล้ว

"รบกวนอันใดได้? เป็นเกียรติมากกว่า หากอาจารย์มู่มิเชิญพวกเราสิ เราจะโกรธท่านไปอีกนานดีเทียว"เจียวจ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่มุมปากกัลบยกยิ้มอย่างเบิกบานใจ

"ขอบคุณเจ้าค่ะ"นางค้อมศีรษะให้อาจารย์ทั้งสี่นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสามเดือนที่ผ่านมา

---------------

หลังจากอาจารย์ทั้งสี่กลับไปแล้ว ชิงหลินก็ถูกเสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ยพยุงกลับเรือนพักอย่างระมัดระวัง ตอนนี้อายุครรภ์ของเธอเกือบเจ็ดเดือนแล้วและค่อนข้างใหญ่เพราะตั้งครรภ์แฝด

"อุ...อูย..."ชิงหลินร้องออกมาเบาๆตัวงอเล็กน้อย ใบหน้าก็เหยเก

"ฮูหยินน้อยเจ็บท้องหรือเจ้าคะ?"เสี่ยวอี้เอ่ยถามด้วยความห่วงใย

"อืม...เด็กๆดิ้นแรงไปหน่อย สงสัยจะหิวแล้ว"ยิ้มหวานตอบมือเรียวลูบท้องที่นูนใหญ่อย่างเบามือ "ลูกจ๋า อีกไม่นานแม่จะได้เจอลูกแล้วอย่าซนนักเล่ารู้รึไม่?"พอกล่าวจบเหมือนเด็กน้อยที่อยู่ในครรภ์จะรับรู้และเข้าใจในความเจ็บปวดของมารดาเพราะหยุดดิ้นทันทีนางจึงลูบท้องขอบคุณก่อนจะออกเดินต่ออีกครั้ง แต่ก็ต้องอุทานตกใจเมื่อถูกอุ้ม "ทำไมวันนี้กลับเร็วนักเจ้าคะ?"เอ่ยถามมือเรียวข้างหนึ่งโอบคอสามีรักไว้

"สามีรักคิดถึงเจ้ากับลูก จึงรีบกลับมาอย่างไรเล่า"แม่ทัพหนุ่มเกี้ยวพานางสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน

คนถูกเกี้ยวก้มหน้างุดซุกลงกับอกแกร่งเอียงอาย กลิ่นกายเฉพาะของบุรุษผสมกับกลิ่นเหงื่อของเขา บ่งบอกให้รู้ว่าสามีรักรีบกลับมาเร็วเพียงใดเมื่อคิดมาถึงตรงนี้พลันหัวใจก็รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก

"สามีรักมีข่าวดีมาบอกเจ้า อยากฟังรึไม่?"แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามเมื่อวางนางลงบนเตียง

"หากเป็นข่าวดี ย่อมอยากฟังเจ้าค่ะ"กล่าวตอบยิ้มๆ

"เรื่องราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็น องค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ ที่ยืดเยื้อมาถึงเดี๋ยวนี้ ได้ข้อสรุปแล้ว เจ้าพร้อมจะฟังรึไม่?"กล่าวถามเสียงนุ่ม พร้อมกับรั้งร่างอวบอิ่มมาแนบอกแกร่ง

"พร้อมนานแล้วเจ้าค่ะ"

"ฝ่าบาททรงรับปากว่า จะออกราชโองการฉบับใหม่ ยกเลิกโองการฉบับเก่าเสีย"

"เฮ้อ..ค่อยยังชั่ว เป็นข่าวดีจริงๆด้วยเจ้าค่ะ"

"ไหน..วันนี้ลูกน้อยทั้งสองของเราเป็นอย่างไรบ้าง?"แม่ทัพหนุ่มยื่นมือหยาบหนาลูบท้องที่นูนใหญ่อย่างอ่อนโยน

"โอ๊ะ...วันนี้ก็ยังคงแข็งแรงเช่นเดิมสินะ ฮะๆๆ"แม่ทัพหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้างอวดฟันขาวอารมณ์ดี ก่อนจะเปลี่ยนไปแนบแก้มกับท้องนูนใหญ่ของภรรยารักอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย

ชิงหลินยกมือลูบแผ่นหลังกว้างของสามีรักด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้จะเริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาบ้างว่าจะคลอดได้อย่างปลอดภัยรึเปล่า? จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างคลอดรึไม่? แต่ความรักความเอาใจใส่จากสามีรักและครอบครัวทำให้เธอมีกำลังใจฮึดสู้ และต้องข้ามผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน