-42-
"มีอันใดหลินเอ๋อร์" ชิงฮูหยินเอ่ยถามบุตรี ปลายเสียงตำหนิกลายๆ เมื่อเห็นนางลุกขึ้นพรวดพราดไม่สำรวมกิริยา
"ไอหยา"
"ว้าย!"
"ช่วยจับพวกมันเร็วเข้า"
"อ๊ากกก! มันกัดข้า"
เสียงกรีดร้องตะโกนเอะอะโวยวายระคนเสียงร้องตกใจและเจ็บปวดที่ดังเข้ามาในโถงกลาง ยังไม่ทันที่ชิงหลินจะวิ่งออกไปดู
"หลินหลินนน" เสียงร้องเรียกพร้อมกับการปรากฏตัวของสามสหายน้อย นำโดยเจ้าพยัคฆ์น้อยตามติดมาด้วยสองจิ้งจอกน้อยพี่น้อง เรียกให้ผู้ที่นั่งสนทนาหันมามองอย่างสนใจ
เมื่อเห็นนาง เจ้าพยัคฆ์น้อยก็ดีใจเป็นยิ่งนัก มันรีบพุ่งตรงเข้าหา แต่มันกลับยั้งตัวหยุดกะทันหันก่อนถึงตัวนางเพียงสามก้าว เป็นเหตุให้สองจิ้งจอกน้อยแทบหัวทิ่ม
"อ้าว" คนที่อ้าแขนรอเก้อถึงกับงงงวยเมื่อเห็นอาการหยุดจนตัวโก่งของเจ้าพยัคฆ์น้อย
"ฮึ!" เจ้าพยัคฆ์น้อยสะบัดหัวกลมๆ เล็กๆ พร้อมกับหันก้นให้นางแทนด้วยความน้อยใจ ที่หลินหลินดีใจที่ได้กลับบ้านแต่กลับลืมมันและสองจิ้งจอกน้อยพี่น้องไว้ในรถม้า คิดแล้วก็น่าน้อยใจนัก
ชิงหลินทำหน้าจ๋อยอย่างคนสำนึกผิด พลางส่งสายตาขอโทษสองจิ้งจอกน้อยที่เอียงคอน่ารักมองนางอย่างเข้าใจ แต่ไม่สามารถกล่าวอันใดได้
"ท่านพี่ นั่นคือสองจิ้งจอกน้อยที่ท่านเล่าให้ข้าฟังใช่หรือไม่" ชิงฮูหยินกระซิบถามผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตามองพยัคฆ์น้อยที่ยืนหันหลังให้บุตรี ก่อนจะละไปยังร่างเล็กๆ สีขาวขนปุกปุยน่ารักน่าเอ็นดูจนอดยิ้มไม่ได้
"ใช่แล้ว ก็คือพวกมัน" ชิงหยวนตอบฮูหยินของตน
"อา...ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก"
"ข้าเห็นด้วยกับท่านป้า แต่เมื่อใดที่พวกมันรวมตัวกันก็กลายเป็นสามมารน้อยจอมป่วนทันทีเลยขอรับ" มู่หลิ่งเหวินกล่าวยิ้มๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องอยู่ที่ร่างเล็กบอบบางของคู่หมั้นตลอด
"ฮ่าๆๆ ใช่ๆ เป็นอย่างที่หลานชายว่าจริงๆ" ชิงหยวนหัวเราะชอบใจ
ชิงฮูหยินไม่ได้กล่าวตอบโต้หรือคัดค้าน ด้วยยังไม่ได้คลุกคลีกับพวกมัน ยามนี้นางทำได้เพียงมองดูพวกมันไปเงียบๆ ก่อน
"อาเหวิน เจ้ามีกิจธุระสำคัญที่ต้องไปทำหรือไม่ หากไม่มีก็อยู่กินอาหารเย็นเสียที่นี่เถิดแล้วค่อยกลับ" ชิงหยวนเอ่ยกับแม่ทัพหนุ่ม
"ข้าคงต้องขอรบกวนท่านลุงกับท่านป้าแล้ว" แม่ทัพหนุ่มตอบรับคำเชิญของชิงหยวนโดยดี เพราะเรื่องที่ต้องทำก็ได้สั่งการไว้ก่อนเข้าเมืองหลวงแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดต้องเป็นกังวลอีก
ซึ่งเรื่องที่ว่าก็คือเมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว ให้รีบรายงานให้บิดาและมารดาทราบโดยทันทีนั่นเอง
"ฟานฟาน นั่นเจ้าจะไปไหน" ชิงหลินส่งเสียงถามพยัคฆ์น้อยทางจิต
"ฮึ!" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่เดินไปได้สองก้าวหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกของหลินหลิน มันเอี้ยวหัวกลมๆ เล็กๆ มามองนางแวบเดียวแล้วสะบัดกลับ เชิดหัวขึ้นอย่างอวดดีและเย่อหยิ่ง เห็นแล้วอยากจะฟัดสักทีสองที
ท่านเป็นหัวหน้านะ เหตุใดจึงทำตัวเช่นนี้เล่า น่าอาย น่าอายยิ่งนัก เป่าเปาน้อยส่ายหัวอย่างระอากับความเอาแต่ใจของหัวหน้าตัวเอง
"โธ่ ฟานฟานนน ข้าขอ..."
โครกกก...ครากกก
พูดยังไม่ทันจบ เสียงโครกครากที่ดังมาจากเจ้าพยัคฆ์น้อยก็ทำให้นางหลุดขำออกมา จนต้องรีบเอามือปิดปากทันที เมื่อเจ้าพยัคฆ์น้อยหันขวับกลับมาพร้อมด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ไม่รอช้านางยื่นมือเข้าไปอุ้มมันมาไว้แนบอกพร้อมกับกล่าวกับมันทางจิต "ข้าขอโทษ"
เจ้าพยัคฆ์น้อยเงยหัวกลมๆ เล็กๆ มองใบหน้าจิ้มลิ้มของหลินหลินอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงร้องขึ้น "อย่าลืมข้าเช่นนี้อีกนะ"
"อืม จะไม่มีเป็นครั้งที่สอง"
"แน่นะ"
"แน่สิ ข้าสัญญา"
"ก็ได้ คราวนี้ฟานฟานจะยกโทษให้ก็ได้" น้ำเสียงของมันช่างน่าหมั่นไส้นัก
"ขอบใจ" ชิงหลินยิ้มน้อยๆ แล้วหอมมันเสียฟอดใหญ่ สร้างความพอใจให้มันยิ่งนัก
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอกลับเรือนหยกฟ้าก่อนนะเจ้าคะ" หญิงสาวลุกขึ้นแล้วหันมากล่าวกับบิดามารดา สองมืออุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อย
เสี่ยวอี้กับเสี่ยวสุ่ยรีบเข้ามาช่วยคุณหนูของตนอุ้มสองจิ้งจอกน้อยคนละตัว ใบหน้าน่ารักของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ด้วยเป็นหนแรกที่ได้มีโอกาสสัมผัสจิ้งจอกน้อยสีขาวปลอดขนปุกปุยนุ่มนิ่มเช่นนี้
"ไปเถิด แล้วจะให้บ่าวไปตามมากินอาหารเย็น" ชิงหยวนอนุญาต
"หลินเอ๋อร์ แม่จะไปกับเจ้าด้วย" ชิงฮูหยินบอกบุตรี ใบหน้างามแย้มยิ้มมีความสุขที่วันนี้ได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง
เมื่อกลับไปที่เรือนหยกฟ้า ชิงหลินก็สั่งให้บ่าวไพร่ช่วยกันนำต้นกล้าและเมล็ดพันธุ์พืช รวมถึงผลไม้บางชนิดที่สามารถนำมาได้อย่างมะพร้าวอ่อนและแก่สองทะลาย มังคุด และเงาะ มาเพาะลงในดินและในกระถางตามความเหมาะสม
คราแรกนางตั้งใจจะเข้าครัวลงมือทำอาหารเอง แต่ไม่มีอารมณ์เพราะเหน็ดเหนื่อยเกินไป พอถึงเวลามื้ออาหารทุกคนจึงได้รับประทานผลไม้ที่ไม่เคยพบเห็นและลิ้มลองมาก่อน อย่างเงาะและมังคุดแทนขนมหวานปิดท้าย ซึ่งสร้างความพึงพอใจให้ทุกคนยิ่งนัก โดยเฉพาะชิงหยวนที่ดูจะชื่นชอบผลหงเหมาตานมากเป็นพิเศษ ถึงกับกินไปกว่ายี่สิบผลเลยทีเดียว
หลังจากมื้ออาหารผ่านไป มู่หลิ่งเหวินจึงได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพังกับคู่หมั้น ทั้งสองพากันมานั่งที่เก๋งริมสระบัวไร้สามสหายน้อย ที่เจ้าพยัคฆ์น้อยถูกสองจิ้งจอกน้อยสองพี่น้องล่อลวงให้พาชมอาณาเขตอันกว้างใหญ่ของคฤหาสน์ เพื่อให้หนุ่มสาวพูดคุยกันได้สะดวก มีเสี่ยวอี้และเสี่ยวสุ่ยยืนก้มหน้ารอรับคำสั่งอยู่นอกเก๋ง
"หลินเอ๋อร์ เสียใจหรือไม่ที่ต้องแต่งให้พี่" แม่ทัพหนุ่มถามคู่หมั้นที่นั่งห่างกันเพียงโต๊ะเล็กกั้น สองมือกุมมือเรียวขาวข้างหนึ่งไว้ด้วยมือใหญ่หนาหยาบและกระด้างของตน
"เหตุใดข้าต้องเสียใจ ในเมื่อข้าระ...เอ่อ...เอาเป็นว่าข้าไม่เสียใจที่ต้องแต่งให้ท่านเจ้าค่ะ" ชิงหลินรีบกลับลำแทบไม่ทัน พลางก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาเขา ใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสีเล็กน้อย
"หือ? ในเมื่อข้าระ? ระอันใด พูดอีกทีเถิด พี่ฟังไม่ถนัด" แต่มีหรือที่แม่ทัพหนุ่มจะปล่อยผ่านไปโดยง่าย แม้จะพอเดาออกว่านางจะกล่าวสิ่งใด แต่ก็ยังอยากจะได้ยินจากปากของนางชัดๆ อีกสักครั้ง
"นะ...ในเมื่อข้าระ...ระ...รู้อยู่แล้วว่าช้าเร็วข้าก็ต้องแต่งให้ท่านอยู่ดี" นางเกือบพูดเรื่องน่าอายออกไปแล้ว เพราะความจริงตั้งใจจะพูดว่าเหตุใดข้าต้องเสียใจในเมื่อข้าก็รักท่านเช่นเดียวกับที่ท่านรักข้า แต่เมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมาก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่า เขาตั้งใจจะหลอกให้นางพูดว่ารักเขาออกมาอีกครั้ง ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ
"หึๆ" แม่ทัพหนุ่มขบขันจนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเท้าแขนข้างหนึ่งกับโต๊ะ โน้มใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนไปข้างหน้า เป้าหมายคือใบหน้าจิ้มลิ้มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
อีกฝ่ายรีบเอนตัวหนี แต่มือกลับถูกจับยึดไว้แน่น ทำให้นางไม่สามารถหนีใบหน้าหน้าหล่อเหลาได้อย่างที่ใจต้องการ ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดใบหน้า
"พี่รู้ว่าเจ้าจะกล่าวสิ่งใด หากแต่งให้พี่แล้วพี่จะทำให้เจ้ากล่าวถ้อยคำนั้นทุกวัน หึๆ" แม่ทัพหนุ่มกระซิบข้างหูเล็กขาวน่าสัมผัส จบด้วยการเป่าลมอุ่นๆ ใส่ใบหูเล็กๆ นั้นอย่างจงใจ
"อุ๊ย! ปล่อยข้านะเจ้าคะ" เล่นเอานางย่นคอหนีขนลุกเกรียวกับการกระทำเจ้าชู้ของเขา นางพยายามแกะมือและหนีไปให้พ้นจากตรงนี้แต่ก็ไร้ผล ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ยังแดงก่ำงอง้ำ ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มสนิทด้วยความขุ่นเคืองใจ พร้อมกับจ้องเขาอย่างเอาเรื่อง
"เอาละๆ พี่เลิกแกล้งเจ้าแล้วก็ได้" คนแกล้งเห็นท่าไม่ดีเลยยอมรามือถอนตัวนั่งลงที่เดิม แต่มือยังคงกอบกุมมือเรียวเล็กไว้ไม่ยอมปล่อย จึงถูกนางค้อนให้วงใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุขจากมู่หลิ่งเหวินได้เป็นอย่างดี
ช่วงเวลาเตรียมงานที่กระชั้นชิดทำให้ทั้งสองสกุลต้องเกณฑ์กำลังคนมาทำงานมากว่างานแต่งงานอื่นๆ ทำให้คฤหาสน์สกุลชิงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจนคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่กินพื้นที่หลายสิบไร่แน่นไปถนัดตา
ส่วนชุดเจ้าสาว ฉีเฉินหลงฮ่องเต้ได้ส่งช่างฝ่ายเย็บปักหลายสิบชีวิตมาช่วยตัดชุดเจ้าสาวจากผ้าไหมชั้นเลิศที่พระราชทานให้หลายสิบพับ สร้างความปลาบปลื้มยินดีแก่ทั้งสองตระกูลยิ่งนัก
เมื่อหมดห่วงเรื่องชุดเจ้าสาว ก็มาถึงเรื่องมารยาทและขั้นตอนพิธีการต่างๆ ที่เจ้าสาวต้องเรียนรู้ ซึ่งงานนี้ชิงหลินแทบจะเป็นบ้ากับพิธีที่จุกจิกและหยุมหยิมมากเรื่อง แต่พอเห็นใบหน้าแย้มยิ้มปลาบปลื้มยินดีของมารดากับท่านป้าแล้วก็ได้บอกตัวเองว่าอดทนไว้ซ้ำไปซ้ำมา
ช่วงนี้มู่หลิ่งเหวินเองก็เทียวเข้าเทียวออกสกุลชิงเป็นว่าเล่น มาปรึกษากับชิงหยวนบ้าง แวะมาดูหน้าคู่หมั้นบ้าง บางคราวก็มาเย้านางบ้างแล้วแต่โอกาสจะอำนวย ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ยิ่งใกล้วันเข้าหอเท่าใด รอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ สร้างความประหลาดใจแก่หน่วยองครักษ์สกุลมู่ที่ไม่รู้เรื่องราวยิ่งนัก ด้วยไม่เคยเห็นแม่ทัพหนุ่มแย้มยิ้มเช่นนี้มาก่อน ซ้ำยามทำผิดก็อภัยให้ไม่ลงโทษเฉกเช่นธรรมเนียมที่ปฏิบัติมา
ผิดกับองครักษ์ทั้งสี่ที่รู้เรื่องราวเป็นอย่างดี ต่างก็ช่วยงานที่ตนทำได้อย่างเต็มที่เต็มกำลังความสามารถ ไม่ต้องรอให้แม่ทัพหนุ่มสั่ง
มู่ฮูหยินมารดาว่าที่เจ้าบ่าวก็มาช่วยเป็นแม่งาน ราวกับเป็นงานของตนเอง ทำให้ชิงฮูหยินมารดาว่าที่เจ้าสาวเบาแรงไปได้มากเลยทีเดียว
ส่วนคุณชายน้อยมู่หลิ่งเฟิงก็หอบเสื้อผ้ามานอนกับว่าที่พี่สะใภ้ที่ตนรักและนับถือ ทั้งยังได้เล่นกับสามสหายตัวน้อยอีก ทำให้เด็กน้อยเพลิดเพลินจนไม่คิดจะกลับจวนจนกว่างานแต่งงานจะจบลง
เฟิ่งอิงเองที่เริ่มตัดใจได้บ้างแล้วก็ขันอาสาช่วยงานแต่งของคุณหนูอย่างเต็มกำลังเช่นกัน พร้อมกับทำหน้าที่คุ้มกันนางไปด้วย
ยามเหม่า ณ คฤหาสน์สกุลชิง
และแล้ววันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ชิงหลินถูกปลุกให้ตื่นจากนิทราโดยเสี่ยวอี้ ซึ่งทำให้สามสหายน้อยตื่นตามไปด้วย
เจ้าพยัคฆ์น้อยแม้จะไม่พอใจนักที่หลินหลินต้องย้ายไปอยู่กับเจ้าร่างยักษ์ แต่ก็ทำอันใดไม่ได้ เพราะหลินหลินมีใจให้เจ้านั่นเสียแล้ว มันจึงทำได้เพียงตามไปด้วยความจำยอม ผิดกับหมั่นโถวน้อยที่ตื่นเต้นและดีใจเป็นยิ่งนัก เพราะแม่ทัพหนุ่มใจดีและอ่อนโยนกับมันมาก ทำให้หมั่นโถวน้อยดีใจทุกครั้งที่แม่ทัพหนุ่มมา ส่วนเป่าเปาน้อยไม่ได้ยินดียินร้ายกับเรื่องนี้ มันคิดแต่เพียงว่าจะขอติดตามหลินหลินไปทุกที่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่อันตรายหรือน่ากลัวเพียงใดก็ตาม
"หลินเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือลูก" ชิงฮูหยินเดินเข้ามาหาบุตรีด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ด้านหลังคือแม่นมฝูร่างอวบที่รักและคอยดูแลชิงหลินราวกับเป็นลูกของตนเอง
"ท่านแม่ แม่นม" ชิงหลินสวมกอดมารดาพร้อมกับส่งยิ้มทักทาย ใบหน้าจิ้มลิ้มดูตื่นเต้นระคนกังวล ด้วยเป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งของผู้หญิง
ในใจลึกๆ ยังอยากใช้ชีวิตโสดต่อไปอีกสักปีสองปีแล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงาน แต่เพราะสมรสพระราชทานเจ้าปัญหานั่นทำให้นางที่อายุยังไม่เต็มสิบเจ็ดปีดีต้องแต่งงานอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ ทั้งที่ยังมีเรื่องที่อยากจะทำอีกตั้งมากมายแท้ๆ น่าเสียดายที่คงต้องพับเก็บลงหีบไปเสียแล้ว
"เป็นอันใดไปหลินเอ๋อร์ วันมงคลเช่นนี้ไยจึงเอาแต่ทอดถอนใจ" ชิงฮูหยินถามบุตรี สองมือขาวอวบสางผมสีน้ำหมึกที่ยาวถึงเอวคอดกิ่วให้อย่างเบามือ
วันนี้เป็นวันที่บุตรีต้องแต่งออกแล้วก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ บุตรีของนางไม่ใช่กุลสตรีที่จะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ก็ได้แต่หวังว่าอาเหวินจะให้อิสระแก่บุตรีของนางบ้าง
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกใจหายที่ต้องจากท่านแม่ ท่านพ่อ แม่นมฝู และคนอื่นๆ ไปอยู่บ้านคนอื่นเท่านั้นเองเจ้าค่ะ"
"โธ่ คุณหนูของบ่าว" แม่นมฝูนั่งคุกเข่ากับพื้น สองมืออวบหยาบเล็กน้อยประคองมือเรียวขาวนุ่มนิ่มของคุณหนูที่ตนรักยิ่งมาแนบลงที่แก้มอวบอิ่มของตน น้ำตาคลอหน่วยเพราะรู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่เห็นคุณหนูได้ออกเรือนกับแม่ทัพหนุ่มรูปงามชื่อเสียงเลื่องลือ ซ้ำยังรักคุณหนูของนางอย่างสุดซึ้ง แต่ถึงจะปลาบปลื้มยินดีเพียงใด แต่พอคิดว่านางจะไม่ได้ดูแลคุณหนูเหมือนแต่ก่อนอีก ก็อดใจหายไม่ได้
"เอาละๆ ใกล้ได้เวลาแล้ว เสี่ยวอี้เสี่ยวสุ่ยนำชุดคุณหนูมานี่ ข้าจะแต่งตัวให้ลูกข้าเอง" ชิงฮูหยินหันไปสั่งสองสาวใช้หลังจากที่นางทำผมให้บุตรีเสร็จแล้ว
"นี่เจ้าค่ะฮูหยิน"
"งดงาม คุณหนูของบ่าววันนี้ช่างงดงามยิ่งนัก" แม่นมฝูเอ่ยชมอย่างจริงใจ หลังจากช่วยกันแต่งกายให้นางเสร็จเรียบร้อย
"จริงด้วยเจ้าค่ะ / จริงด้วยเจ้าค่ะ" สองสาวใช้เอ่ยขึ้นพร้อมกันราวกับนัดหมาย
"หลินเอ๋อร์ จงเชื่อฟังพ่อแม่ของสามีและสามีนะลูก ว่างๆ แม่จะไปเยี่ยมเจ้า" ชิงฮูหยินประคองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มไว้อย่างงดงาม โดยเฉพาะริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดที่ไม่เคยแต่งแต้มด้วยสีแดงสดเช่นนี้มาก่อน ช่วยให้นางดูงดงามเย้ายวนและชวนให้หลงใหลเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
"ลูกจะจำไว้เจ้าค่ะท่านแม่" ชิงหลินยิ้มตอบ พร้อมกับวางมือเรียวขาวทับซ้อนมือขาวอวบอิ่มของมารดา
"เรียนฮูหยิน คุณหนู นายท่านให้มาแจ้งว่าขบวนเจ้าบ่าวใกล้จะมาถึงแล้วเจ้าค่ะ" บ่าวนางหนึ่งเดินเข้ามารายงานนายหญิงของตน
"ข้ารู้แล้ว" ชิงฮูหยินหันไปตอบบ่าวนางนั้น ก่อนจะหันกลับมาพยักหน้าให้บุตรี แล้วทั้งหมดก็พากันไปรอขบวนเจ้าบ่าวที่เรือนดาวดึงส์ มีเจ้าสามสหายน้อยวิ่งนำหน้าเพื่อเปิดทางให้หลินหลินที่ถูกประคองโดยสองสาวใช้ ทั้งศีรษะและใบหน้าถูกคลุมด้วยผ้าสี่เหลี่ยมสีแดงเช่นเดียวกับเสื้อคลุม
ระหว่างที่รอขบวนเจ้าบ่าวมารับตัวสาว ชิงหยวนและชิงฮูหยินต่างก็พร่ำสอนบุตรีถึงสิ่งที่ภรรยาและลูกสะใภ้พึงปฏิบัติต่อสามีและพ่อแม่ของสามี ซึ่งชิงหลินก็ฟังอย่างตั้งใจ
เมื่อขบวนเจ้าบ่าวมาถึงและทำพิธีที่สกุลชิงเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่ต้องขึ้นเกี้ยวเพื่อเดินทางไปทำพิธีต่อที่จวนแม่ทัพมู่ หาใช่จวนเสนาบดีมู่ไม่ โดยมีสามสหายน้อยอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวด้วย สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวบ้านร้านตลาดที่มาแสดงความยินดีและรอชื่นชมขบวนเจ้าสาวยิ่งนัก
การเดินทางกว่าสองชั่วยามจากคฤหาสน์สกุลชิงไปจวนแม่ทัพมู่ ชิงหลินที่นั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในเกี้ยวสีแดงสี่คนหามได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังเข้ามาจากสองฝั่งถนน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสียงชื่นชม สรรเสริญ และอวยพร ให้บ่าวสาวครองคู่กันอย่างมีความสุข มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง ทำให้นางยิ้มอย่างมีความสุข
เมื่อมาถึงจวนแม่ทัพและทำพิธีเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงพิธีส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ ชิงหลินถูกพามานั่งบนเตียงนอนที่อยู่ในห้องหอเพื่อรอเจ้าบ่าวที่ออกไปต้อนรับแขกเหรื่อ โดยมีสามสหายน้อยอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเจ้าบ่าวจะมา
ล่วงเข้ายามไฮ่เสียงประตูห้องหอก็ถูกเปิดออกและปิดลงอย่างเบามือ พร้อมกับฝีเท้าที่เดินตรงเข้ามาหา เล่นเอาเจ้าสาวหมาดๆ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะผู้ที่เข้ามานั่งใกล้นางยามนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าบ่าวที่กำลังจะเปลี่ยนสถานะเป็นสามี
"หลินเอ๋อร์"
เสียงที่อ่อนโยนพร้อมกับผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มที่งดงามเป็นพิเศษ โดยเฉพาะริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดดูเย้ายวนชวนให้หลงใหลยิ่งนัก มู่หลิ่งเหวินถึงกับตะลึงไปชั่วขณะราวกับต้องมนตร์สะกด สองมือหนาโอบประคองใบหน้าขาวเนียนละเอียดของนางอย่างทะนุถนอม กลิ่นหอมอ่อนๆ ของบุปผาจากกายนางลอยมาแตะจมูก ทำเอาเลือดในกายพลุ่งพล่านร้อนรุ่มจนลมหายใจเริ่มติดขัด ยิ่งได้สบกับตากลมโตที่จ้องตอบตนอย่างโง่งมด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ก็ยิ่งเริ่มควบคุมตนเองไม่ได้
"เอ่อ..." เมื่อชิงหลินได้สบตาคมทรงเสน่ห์ก็ถึงกับไปไม่เป็นทำอะไรไม่ถูก เพราะมันแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
"หึๆ เป็นอันใด เหตุใดจึงมองพี่เช่นนั้นเล่า หรือว่า..." กล่าวพร้อมกับโน้มใบหน้าหล่อเหลาลงไปใกล้ๆ แล้วกระซิบเบาๆ "...หลินเอ๋อร์อยากกินพี่แล้ว?"
"คะ...ใครอยากกินท่านกัน อย่ามาตู่คิดเองเออเองได้หรือไม่เจ้าคะ" นางผลักอกแล้วทำหน้ายู่ใส่เขา ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำ
"อา...แต่พี่อยากกินเจ้า"
"ทะ...ท่าน นะ...หน้าไม่อาย ข้าไม่อยากพูดกับท่านแล้ว" หญิงสาวทำเสียงดังข่มความอาย พยายามดึงมือกลับแต่กลับถูกรวบตัวไปซบกับอกกว้างแทน ความใกล้ชิดทำให้นางเผลอสูดกลิ่นหอมของพรรณไม้ผสมกับกลิ่นกายเฉพาะของบุรุษเพศเข้าไปเสียจนเต็มปอดอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้
"หลินเอ๋อร์" แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเรียกนางอันเป็นที่รัก
"เจ้าคะ?" ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาตรงๆ พร้อมทำหน้างอเพื่อปกปิดสิ่งที่คิดในใจ
"เจ้าเป็นภรรยาพี่แล้ว ไยจึงยังเรียกพี่ห่างเหินเช่นนั้นเล่า"
"เอ๊ะ แล้วจะให้ข้าเรียกอย่างไรเจ้าคะ"
"ต่อไปนี้เจ้าต้องแทนตัวเองว่าหลินเอ๋อร์เข้าใจหรือไม่"
ชิงหลินอ้าปากทำท่าจะคัดค้าน
"หากยังดื้อไม่เชื่อที่สามีบอก พี่จะลงโทษเจ้า" ไม่พูดเปล่าเขากลับยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้
ชิงหลินเม้มปากเข้าหากันแน่น นึกโมโหกับความเอาแต่ใจของเขา
"หากเจ้าจะเรียกพี่ว่าพี่เหวินต่อไปก็ย่อมได้ หรือจะเรียกพี่ว่าท่านพี่ พี่ก็ไม่ว่าอันใดเช่นกัน"
"ข้า..."
"หือ?" มู่หลิ่งเหวินยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปใกล้มากขึ้น ดวงตาคมทรงเสน่ห์เป็นประกายวิบวับ
"ขะ...เข้าใจแล้ว หลินเอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินละล่ำละลักตอบทันที ด้วยกลัวบทลงโทษของเขาที่มักจะลงโทษด้วยการ...จุมพิต
"หึๆ หลินเอ๋อร์ของพี่ ชื่นใจนัก" แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเสียงหวาน ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากมนของนางอันที่รักเป็นรางวัลตอบแทนที่นางยอมทำตามคำพูดของตน
"พี่รักเจ้า และสัญญาว่าจะมีเจ้าเป็นภรรยาเพียงคนเดียวเท่านั้น" ทุกคำล้วนกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นและจริงจังเป็นที่สุด
"หลินเอ๋อร์เชื่อเจ้าค่ะ" นางตอบยิ้มๆ รู้สึกอบอุ่นและตื้นตันใจกับคำสัญญาที่เขามอบให้
"หลินเอ๋อร์ของพี่..." เขารวบตัวนางเข้ามากอดไว้กับอกแกร่งของตนอย่างรักใคร่และทะนุถนอม ก่อนจะดันร่างเล็กบอบบางออกเล็กน้อย สองมือแกร่งเลื่อนขึ้นมาประคองใบหน้าจิ้มลิ้มที่เขาแสนจะหลงใหลไว้ สายตาประสานกันนิ่ง จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มลงมาแล้วจุมพิตริมฝีปากอวบอิ่มอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา
"รอเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ" สองมือน้อยยันอกแกร่ง
"หือ?"
"เอ่อ...เหล้ามงคล…"
"อา…ขออภัย พี่อยากกินเจ้าจนลืมเรื่องนี้ไป เจ้ารอพี่เดี๋ยว" แม่ทัพหนุ่มเกาท้ายทอยแก้ความขัดเขิน เดินไปรินเหล้ามงคลแล้วกลับมาที่เตียงนอน ยื่นจอกเหล้าให้นางแล้วคล้องแขนกันดื่มจนหมด
หลังจากดื่มเหล้ามงคลแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็เดินกลับมาที่เตียง จ้องตานางอันเป็นที่รักขณะที่มือแกร่งก็เริ่มลูบไล้จากใบหน้าจิ้มลิ้มเรื่อยลงมาที่ลำคอเรียวระหงขาวผ่องราวหิมะ ก่อนจะเลื่อนมาปลดอาภรณ์ของนางออกทีละชิ้นๆ จนเหลือเพียงเอี๊ยมชั้นในตัวจิ๋วสีขาว กับกางเกงซับในสีเดียวกันบางเฉียบจนมองเห็นเรือนร่างงดงามที่ซ่อนอยู่ได้อย่างชัดเจนด้วยแสงเทียน
"อา...หลินเอ๋อร์ของพี่ เจ้าช่างงดงามนัก" ดวงตาคมทรงเสน่ห์เป็นประกายรักใคร่และเต็มไปด้วยไฟแห่งความปรารถนา
ชิงหลินอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี หางตาเหลือบไปเห็นผ้าห่มจึงคิดจะหยิบมาคลุมร่างที่เกือบเปลือยของตน
"อุ๊ย! พะ...พี่เหวิน" นางร้องประท้วง สองมือเรียวขาวรีบยื่นออกมายันหน้าอกเปลือยหนั่นแน่นที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาไว้ เบือนหน้าหนีไปด้านข้าง เนื้อตัวร้อนผ่าวราวกับจับไข้ ทั้งที่อากาศค่อนข้างเย็น โดยเฉพาะร่างกายท่อนล่างที่ถูกร่างสูงใหญ่ของเขาทาบทับตรึงไว้อย่างแนบแน่นไม่อาจขยับเขยื้อนได้ มันร้อนรุ่มวาบหวามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"พี่จะเป็นผ้าห่มให้เจ้าเอง" แม่ทัพหนุ่มจับมือทั้งสองของนางออก ใช้นิ้วมือเกลี่ยปอยผมที่ระใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างอ่อนโยน สองสายตาประสานกัน และเมื่อแม่ทัพหนุ่มสะบัดมือเพียงคราเดียว เทียนในห้องก็ดับลงทันที
จบภาคปฐมบทก่อนออกเรือน