-40-
น้ำเสียงที่ห้วนจัดกับคำเรียกแทนตัวที่เปลี่ยนไป ทำให้ชิงหลินรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคู่หมั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ นางอดที่จะเหลือบมองไม่ได้กับอาการงอแงคล้ายเด็กน้อยของเขา เตรียมเอ่ยปากไล่ให้ไปยืนห่างๆ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาชัดๆ ความคิดทั้งหลายก็พลันลอยหายไปหมด
"กลับเรือนสายธารกันเถิดเจ้าค่ะ" ร่างเล็กยิ้มหวานพร้อมกับฉุดแขนคู่หมั้นให้ลุกขึ้นท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่เมียงมองมาเป็นระยะๆ
"เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้เปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า" เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน
"ข้าแค่ไม่อยากเห็นใครบางคนแถวนี้ล้มป่วยจากการเดินทางโดยไม่ได้หยุดพักก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ" ชิงหลินลอยหน้าลอยตาตอบ มีบางช่วงที่ปรายตามองเขา
"เจ้ารู้" คนฟังหัวใจพองโตกับความห่วงใยที่นางมีให้
"หน้าตาอิดโรยดำคล้ำถึงเพียงนี้ ใครก็ดูออกเจ้าค่ะ"
"พี่ดีใจที่เจ้าเป็นห่วง" แม่ทัพหนุ่มยิ้มหวานยินดี ดวงตาคมทรงเสน่ห์ทอประกายหวานซึ้ง เล่นเอาคนถูกจ้องประหม่าขัดเขินทำอะไรไม่ถูก
"...อย่ามัวแต่ยิ้ม รีบกลับกันเถิดเจ้าค่ะ" นางทำเป็นเสียงเข้มเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย
"วันนี้พอเท่านี้ก่อน กลับเรือนสายธารได้!" จิ้นอี้ตะโกนสั่งแล้วหันมาค้อมศีรษะขอบคุณคู่หมั้นของท่านแม่ทัพในความห่วงใยที่มีให้ท่านแม่ทัพจนเผื่อแผ่มาถึงพวกตนด้วย
จิ้นอี้ยอมรับว่าเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางในครั้งนี้ เดินทางสามวันสามคืนได้พักเพียงสามชั่วยามเท่านั้น หากเป็นชาวบ้านธรรมดาคงจะถอดใจยกเลิกการเดินทางที่แสนหฤโหดนี้ตั้งแต่วันแรกแล้ว
ยามอิ่ว ณ เรือนสายธาร
มื้อนี้ชิงหลินลงมือทำอาหารด้วยตนเอง แม้จะไม่ใช่แม่ครัวมืออาชีพฝีมือดีทำอาหารเก่ง แต่ถ้าเป็นอาหารไทยหรือขนมไทยนางก็ทำได้หลายอย่าง เพราะมารดาในภพเก่าลากนางเข้าครัวตั้งแต่เด็ก
อีกอย่าง วันนี้ได้พืชผักสวนครัวตลอดจนผลไม้ไทยมาหลากหลายชนิด จนต่อมอยากทำอาหารไทยทำงาน เพราะอยากนำเสนออาหารในแบบฉบับของคนไทยให้คนที่นี่ได้ลองชิมบ้าง พูดง่ายๆ คืออยากอวดของดีของเมืองไทยนั่นเอง
เหล่าพ่อครัวและบรรดาลูกมือต่างให้ความสนใจวัตถุดิบที่คุณหนูนำกลับมา หยิบจับวัตถุดิบเหล่านั้นขึ้นมาดูมาดมกันอย่างสนใจใคร่รู้
เมื่อคุณหนูเริ่มลงมือทำอาหาร พ่อครัวใหญ่ประจำเรือนสนใจถึงขนาดเขียนบันทึกเก็บไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หลายคนขอเป็นลูกมือเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด
ราวหนึ่งชั่วยามอาหารไทยสามอย่างและอาหารจีนฝีมือพ่อครัวอีกสี่ห้าอย่างก็พร้อมจะตั้งโต๊ะ ชิงหลินเดินนำบ่าวไพร่มายังห้องอาหารที่มีสองบุรุษรูปงามนั่งอยู่
"โอ้ กลิ่นหอมชวนให้ลิ้มลองยิ่งนัก" โจวหยางหมิ่นที่นั่งเป็นประธานชมอย่างจริงใจ เมื่อกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก
"หม่อมฉันลองทำอาหารทางใต้22 ซึ่งวัตถุดิบนำมาจากหุบเขากินคน ขอองค์ชายทรงลองชิมดูเพคะ" ชิงหลินกราบทูลองค์ชายห้าภายหลังที่นั่งลงข้างคู่หมั้นเรียบร้อยแล้ว
"ส่วนท่านดื่มนี่ก่อนเลยเจ้าค่ะ" ร่างเล็กส่งถ้วยยาที่มีน้ำสีเขียวเข้มให้คู่หมั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ
"นี่คือ..." มู่หลิ่งเหวินชะงักมองถ้วยยาที่มีน้ำสีเขียวเข้มในมือคู่หมั้นด้วยความหวาดหวั่นใจ
"ยาฟื้นฟูกำลังเจ้าค่ะ" นางยิ้มตอบพร้อมกับยื่นถ้วยเข้าไปใกล้อีก จนอีกฝ่ายได้กลิ่นเหม็นฉิวที่โชยออกมา ยาฟื้นฟูกำลัง? มีสีเช่นนี้ด้วยหรือ
"ได้ พี่เชื่อใจเจ้า" แม้จะติดใจสงสัย แต่ก็เกรงว่านางจะเสียใจจึงกลั้นใจดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย อา...ก็ไม่เลวร้ายนักเมื่อเทียบกับยาที่หมอจัดให้คราวก่อน นี่ถือว่าดื่มง่ายกว่า แม่ทัพหนุ่มยิ้มพอใจ
"พ่อบ้านนำยานี้ไปให้จิ้นอี้จิ้นเอ้อด้วย" ชิงหลินหันไปสั่งพ่อบ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
"ขอรับคุณหนู" พ่อบ้านรับคำสั่งแล้วเดินนำสาวรับใช้นางหนึ่งไปยังห้องอาหารที่จัดไว้สำหรับเหล่าองครักษ์และหน่วยพยัคฆ์ดำทันที
น้ำสีเขียวเข้มแก่นั้นก็คือใบบัวบกที่นำมาคั้น เป็นสมุนไพรที่ไม่ได้มีดีแค่แก้อาการช้ำในเท่านั้น เพราะยังรักษาโรคได้หลายชนิด อย่างโรคลมชัก โรคผิวหนัง โรคท้องเสีย โรคท้องอืด และแผลในกระเพาะอาหาร ทั้งยังมีฤทธิ์กล่อมประสาท ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มความจำ และช่วยลดความอ่อนล้าของสมองได้
คู่หมั้นของนางและสององครักษ์เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางไกล น้ำใบบัวบกนี้จะช่วยให้สมองผ่อนคลายและนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ซ้ำยังมีสรรพคุณในการฟื้นฟูกำลังกายได้เร็วขึ้นอีกด้วย
ต้นยามซวี
ชิงหลินที่ชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่งวางแผนว่า ในหนึ่งปีนี้จะต้องทำอะไรบ้าง โดยมีสามสหายน้อยวิ่งเล่นกันอยู่ภายในห้อง
"หลินเอ๋อร์ เจ้าหลับหรือยัง" เสียงเรียกที่ค่อนข้างเบาของคู่หมั้นทำให้ชิงหลินต้องเดินมาเปิดประตู เพราะนางสั่งสาวใช้ให้กลับไปพักผ่อนหมดแล้ว
"มีอะไรหรือเจ้าคะ" ร่างเล็กเอ่ยถามทันที ไม่ยอมให้เขาเข้ามาภายในห้อง
"ตามพี่มาสิ" เขาไม่ตอบคำถามพลางหมุนกายสูงเดินนำไปยังเก๋งของเรือนสายธาร
เมื่อเข้ามานั่งในเก๋ง แม่ทัพหนุ่มก็ตัดสินใจบอกจุดประสงค์ที่รีบร้อนมาหานาง "พี่มารับเจ้ากลับเมืองหลวง"
"เอ๊ะ ก็ไหนสัญญากันไว้ว่าหนึ่งปีนี่เจ้าคะ"
"..."
"หรือว่า...เกิดเรื่องขึ้นที่สกุลชิง"
มู่หลิ่งเหวินส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ใช่ ก่อนจะล้วงหยิบบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อด้านในแล้วยื่นให้นาง
ชิงหลินรับสิ่งนั้นมาอย่างงุนงง จดหมาย? จากใคร หรือจะเป็นจดหมายจากท่านพ่อ ไม่รอช้านางรีบเปิดจดหมายออกอ่านทันที
หลินเอ๋อร์ลูกรัก
พ่ออยากให้เจ้ารีบกลับมาเมืองหลวง กลับมาพร้อมกับพี่เหวินของเจ้าเร็วได้เท่าไรก็ยิ่งดี ส่วนเรื่องรายละเอียดให้ถามจากพี่เหวินของเจ้าเถิด
พ่อ
"ท่านพ่อให้ข้ารีบกลับเมืองหลวง ด้วยสาเหตุอันใดกันแน่เจ้าคะ" หญิงสาวถามทันทีที่อ่านเนื้อความในจดหมายจบ
"สมรสพระราชทาน" เขาตอบสั้นๆ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยคล้ายไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องนี้ แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นที่เห็นไม่
"สมรสพระราชทาน? ของใครเจ้าคะ"
"ของเรา"
"ของเรา? เอ๋? ทำไมฝ่าบาทถึงได้..."
"เจ้าคงไม่รู้ ฝ่าบาทกับฮ่องเต้แคว้นโจวเป็นศิษย์สำนักเดียวกันมาก่อนเมื่อครั้งที่เป็นองค์ชาย และมักจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบผ่านทางพิราบสื่อสารเป็นประจำ"
"แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรเจ้าคะ"
"ก็เจ้าไปหว่านเสน่ห์ท่าไหนกันเล่า องค์ชายห้าถึงได้ติดอกติดใจเจ้าถึงเพียงนี้"
"เอ๊ะ ท่านอย่ามาใส่ความข้านะเจ้าคะ"
"พี่หรือใส่ความเจ้า รู้ไว้เสีย หากไม่ใช่ฝ่าบาทเห็นแก่สกุลมู่ละก็ เจ้าคงต้องแต่งให้องค์ชายห้าไปแล้ว!" มู่หลิ่งเหวินกล่าวเสียงดังด้วยแรงแห่งโทสะ
คราแรกที่ได้ยินเรื่องนี้จากฝ่าบาท มู่หลิ่งเหวินแทบจะล้มทั้งยืนก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่ฝ่าบาททรงปฏิเสธไป โดยอ้างว่าได้มีราชโองการพระราชทานสมรสแก่ตนและคู่หมั้นไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้
"แต่งให้องค์ชายห้า?"
'นี่มันเรื่องบ้าอะไร? ทำไมอยู่ดีๆ ฮ่องเต้นั่นถึงอยากให้ข้าแต่งกับลูกชายตัวเอง'
"ใช่ เจ้าก็รู้ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ในเวลาต่อมาฝ่าบาทจึงได้มีราชโองการนี้ขึ้นมาตามที่ได้รับสั่งไว้" ตลอดเวลาที่กล่าวชี้แจงแม้จะมีโทสะบ้างขุ่นเคืองใจบ้าง แต่ภายในใจลึกๆ กลับยินดีปรีดาเพราะเป็นผลดีแก่ตนเอง
"แล้ว...กำหนดวันแต่งเมื่อใดเจ้าคะ"
"วันที่เก้า เดือนเก้าที่จะถึงนี้" มู่หลิ่งเหวินกล่าวอย่างกระตือรือร้น มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อเห็นสตรีอันเป็นที่รักฟังอย่างสงบ ไม่ตีโพยตีพายร้องห่มร้องไห้หรือคัดค้านอย่างที่แอบคาดการณ์ไว้
"อา...ขอเวลาอีกสักสามสี่วันได้หรือไม่เจ้าคะ" นางต่อรองคู่หมั้นด้วยอยากให้การค้นหาหญ้าแสงจันทร์สำเร็จลุล่วงไปก่อน และที่สำคัญนางอยากนำเมล็ดพันธุ์พืชและต้นกล้ากลับไปปลูกที่คฤหาสน์สกุลชิงด้วย
"ย่อมได้ เสร็จแล้วเราค่อยออกเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมกัน" มู่หลิ่งเหวินกุมมือขาวเนียนนุ่มนิ่มไว้ด้วยฝ่ามือหยาบกระด้าง พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้นาง ในใจลิงโลดจนอยากจะรวบตัวนางเข้ามากอดและมอบจุมพิตที่แสนหวานให้
สองวันต่อมา ยามซวี อันเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง
โจวหยางหมิ่น มู่หลิ่งเหวิน ชิงหลิน พร้อมด้วยทหารองครักษ์ และหน่วยพยัคฆ์ดำชุดเดิมก็เข้ามาอยู่ในหุบเขากินคน ในมือถือคบไฟเป็นแสงนำทาง เนื่องจากความสว่างของพระจันทร์ส่องลงมาได้เพียงเล็กน้อย
ชิงหลินเดินนำทุกคน โดยมีดวงไฟสีทองลอยนำทางไปและมีเพียงนางเท่านั้นที่เห็นดวงไฟสีทองนี้ "อยู่นั่นเจ้าค่ะ" นางชี้นิ้วบอกคู่หมั้นที่เดินจับมือนางอยู่ตลอดนับแต่เดินเข้ามาในหุบเขากินคน
"โอ้ ช่างงดงามยิ่งนัก" เสียงอุทานจากองครักษ์นายหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับก้าวออกไปข้างหน้าราวกับต้องมนตร์สะกด แต่ก็ต้องสะดุดกึกอยู่กับที่เมื่อชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น สร้างความประหลาดใจแก่ชายฉกรรจ์ที่มองอยู่ยิ่งนัก
"เกิดอันใดขึ้นหรือ" โจวหยางหมิ่นถามทหารองครักษ์นายนั้น
"ทูลองค์ชาย กระหม่อมไม่สามารถเดินต่อไปได้ ราวกับมีกำแพงขวางกั้นไว้พ่ะย่ะค่ะ" เขารีบเข้ามากราบทูลให้องค์ชายห้าทรงทราบ
"กำแพง? อืม พวกเจ้าไปดูรอบๆ ซิ"
มู่หลิ่งเหวินมองดูกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กระจายกำลังเป็นรูปครึ่งวงกลมเพื่อหาทางเข้า โดยใช้ทั้งมือ เท้า และดาบ ทั้งทุบ ผลัก ตัด และดันสารพัดวิธีที่คิดออกแต่ก็ไร้ผลและเสียแรงเปล่า
"หลินเอ๋อร์ เป็นฝีมือของเต่ามังกรหรือ" เขาถามคู่หมั้นสาว
โจวหยางหมิ่นหันมาทางนางเมื่อได้ยินคำถามของแม่ทัพหนุ่ม
"เจ้าค่ะ"
"หากเป็นเช่นที่เจ้าว่า แล้วจะนำหญ้าแสงจันทร์กลับไปได้อย่างไร" โจวหยางหมิ่นถามด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ที่นางไม่ยอมบอกให้รู้ตัวก่อน ปล่อยให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
"หม่อมฉันจะนำออกมาให้เอง รบกวนองค์ชายช่วยบอกให้พวกเขาถอยออกมาก่อนเถิดเพคะ" ชิงหลินกราบทูลบุรุษรูปงามที่มีตำแหน่งสูงสุดในยามนี้
"ได้" โจวหยางหมิ่นหันไปพยักหน้าบอกเหมิงอี้
"ถอยออกมา!"
สิ้นคำของเหมิงอี้เหล่าทหารและองครักษ์ก็ถอยฉากกลับมายืนที่เดิม
"พี่จะไปกับเจ้า" มู่หลิ่งเหวินกล่าวโดยไม่มองหน้าเพราะเกรงว่านางจะปฏิเสธ
"ข้าไปไม่นานหรอกเจ้าค่ะ" นางปฏิเสธแบบอ้อมๆ พร้อมกับแกะมือของคู่หมั้นออก
ความจริงนางก็อยากให้เขาไปด้วย แต่เต่ามังกรส่งเสียงมาบอกว่า อนุญาตให้นางเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
"ระวังตัวด้วย" มู่หลิ่งเหวินกำชับด้วยความเป็นห่วง
ชิงหลินพยักหน้าแล้วก้าวเดินออกไปทีละก้าวอย่างมั่นคง ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกของเหล่าทหารองครักษ์และหน่วยพยัคฆ์ดำ
"หายไปแล้ว!"
เสียงอุทานด้วยความตกใจของเหมิงอู่ทำให้มู่หลิ่งเหวินใจกระตุกจนต้องกำมือแน่น ดวงตาคมทรงเสน่ห์เพ่งมองจุดที่นางหายตัวไปแทบจะไม่กะพริบตา
ฝ่ายเฟิ่งอิงใช้วิชาตัวเบาพาร่างสูงใหญ่ของตนมายังจุดที่คุณหนูหายตัวไป ใบหน้าคมเข้มแฝงแววร้อนรนและเต็มไปด้วยความกังวลใจยิ่งนัก เขายื่นฝ่ามือออกไปข้างหน้าก็ปะทะเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น
สามสหายน้อยมองหน้ากันแล้วเดินหายเข้าไปอีก ยิ่งทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลายไม่รอช้าพุ่งตามเข้าไปติดๆ ทว่า...
พลั่ก!
"โอ๊ย!"
ร่างของชายฉกรรจ์นับสิบชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นอย่างจังจนกระเด็นออกมา บางคนถึงกับล้มไม่เป็นท่า พร้อมกับร้องออกมาอย่างความเจ็บปวด ความสงสัยเกิดขึ้นในใจ เหตุใดคราวนี้จึงรู้สึกเจ็บปวดต่างจากคราแรกเล่า หรือเต่ามังกรกำลังพิโรธ?
"หยุด! อย่าได้คิดทำอันใดบุ่มบ่ามอีก!" เสียงห้ามที่เด็ดขาดและจริงจังของโจวหยางหมิ่น ทำให้ทหารองครักษ์หลายนายที่ทำท่าจะกระแทกพลังใส่กำแพงที่มองไม่เห็นหยุดชะงัก และเดินเข้าไปประคองพวกพ้องที่บาดเจ็บและบอบช้ำภายในพอสมควรออกมาจากบริเวณที่อันตรายนั้นทันที
เมื่อจนใจทำอันใดไม่ได้ จึงได้แต่ยืนมองทิศทางที่นางและสามสหายตัวน้อยเดินหายไปอย่างใจจดใจจ่อ
จริงๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาเป็นภาพลวงตาที่เต่ามังกรสร้างขึ้น เป็นเพราะไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้แหล่งที่มาแท้จริงของหญ้าแสงจันทร์นั่นเอง แต่สำหรับสตรีนางนี้เป็นข้อยกเว้น ด้วยนางมีสัญลักษณ์ของเจ้ามังกรฟ้าผู้เป็นบิดาของเต่ามังกร
นั่นคือเหตุผลที่นางได้รับอนุญาตให้เข้ามายังแหล่งอาหารที่ล้ำค่าของเต่ามังกร
"เฮอะ! กลัวข้าจะกักตัวนางไว้หรือ จึงต้องมาตามเช่นนี้" เสียงของเต่ามังกรถามเจ้าสามสหายตัวน้อยที่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามาได้
"ไม่ได้กลัว แต่ก็ไม่ประมาท" ถ้อยคำของเจ้าพยัคฆ์น้อยทำเอามุมปากของเต่ามังกรที่อยู่ในตำหนักของโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้กระตุกราวกับถูกดึง เจ้าพยัคฆ์น้อยนี่ช่างโอหังนัก!
"เอ่อ...ท่านเต่ามังกร แล้วหญ้านี่กินได้นานแค่ไหน" ชิงหลินรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของเต่ามังกร
"หนึ่งพันปี"
"หนึ่งพันปี? แล้วหากฮ่องเต้พระองค์นี้สวรรคต ท่านจะทำเช่นไรต่อ"
"กลับไปในที่ที่ข้าควรจะอยู่ เพื่อรอผู้มีอำนาจวาสนาคนใหม่"
"อ้อ...เป็นเช่นนี้ตลอดเลยหรือ"
"ถูกต้อง ครานี้ข้าเข้าฌาณนานถึงห้าร้อยปี กว่าจะได้ออกจากฌาณ และที่สำเร็จโดยง่ายล้วนเป็นเพราะเจ้ามีสัญลักษณ์ของบิดาข้า และประการสำคัญ ฮ่องเต้พระองค์นี้เป็นกษัตริย์ที่ดีพระองค์หนึ่งเลยทีเดียว"
"แล้วองค์ชายห้าผู้นี้เล่า จะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่"
"ความลับสวรรค์บอกเจ้าไม่ได้ เอาละ กลับออกไปได้แล้ว แล้วให้เจ้าองค์ชายนั่นรีบนำของสองสิ่งนี้ไปให้ข้าโดยเร็วที่สุด"
สิ้นเสียงของเต่ามังกร ชิงหลินพร้อมสามสหายน้อยก็เผยร่างต่อหน้าเหล่าบุรุษที่เฝ้ารออยู่
"หลินเอ๋อร์ / คุณหนู / แม่นางหลิน" มู่หลิ่งเหวิน เฟิ่งอิง และองค์ชายห้าโจวหยางหมิ่น เรียกชื่อนางแทบจะพร้อมกัน ก่อนจะหันมามองหน้ากันแวบหนึ่งแล้วรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหานางทันที
"หลินเอ๋อร์ เป็นเช่นไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่" มู่หลิ่งเหวินที่มาถึงตัวนางก่อนใครถามด้วยความห่วงใย ไม่หวาดเกรงว่าการกระทำเช่นนี้จะเป็นการเสียมารยาทต่อองค์ชายผู้สูงศักดิ์ต่างแคว้น
"ข้าสบายดีเจ้าค่ะ" ชิงหลินยิ้มให้เขา มือทั้งสองถือห่อผ้าสีทองที่ใช้ห่อหุ้มหญ้าแสงจันทร์กับน้ำค้างพิสุทธิ์ไม่ให้ต้องลมตามคำบอกเล่าของเต่ามังกร ที่ไม่อยากกินอาหารเหี่ยวเฉาไร้รสชาติ
"องค์ชาย นี่คือของที่ท่านต้องการ หากเป็นไปได้ให้รีบนำกลับไปโดยเร็วที่สุด และควรหลีกเลี่ยงแสงแดดกับลมด้วยนะเพคะ" หญิงสาวกราบทูลกำชับ พร้อมกับยื่นของในมือให้แก่องค์ชายห้า
"เรารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามาก ทุกอย่างสำเร็จลงได้ล้วนเป็นเพราะเจ้าทั้งสิ้น" คำกล่าวของโจวหยางหมิ่นหากเป็นคนนอกอาจจะคิดว่ากล่าวเอาใจสตรีนางนี้มากว่า แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนรู้ดี และเห็นด้วยกับคำกล่าวขององค์ชายห้าทุกประการ
ใช่...ทุกอย่างล้วนมีสตรีร่างเล็กบอบบางและอ่อนโยนน่าทะนุถนอมผู้นี้คอยช่วยเหลือและชี้แนวทางให้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง เต่ามังกร หรือแม้แต่เรื่องนี้ ช่างเป็นสตรีที่พิเศษหาได้ยากยิ่งในยุทธภพนี้
เหมิงอี้องครักษ์คนสนิทขององค์ชายห้ามองสตรีที่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าชายฉกรรจ์ด้วยความชื่นชม แอบคิดเล่นๆ ว่าหากนางแต่งให้องค์ชายก็คงดี เพราะเหมือนองค์ชายจะโปรดนางไม่น้อยเลยทีเดียว อีกอย่าง สตรีที่ต้องพระทัยและพิเศษเช่นนี้ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายๆ
"น่าเสียดาย น่าเสียดาย" เหมิงอู่เดินมายืนกอดอกข้างๆ น้องชายพลางพึมพำเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน
"ใช่ ช่างน่าเสียดายจริงๆ" เหมิงอี้เห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นพี่ชาย ก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับพวกพ้อง
"หลินหลินกลับเถอะ หมั่นโถวง่วงแล้ว"
หมั่นโถวน้อยเอียงหัวเรียวเล็กมองหัวหน้าอย่างงงๆ ข้าพูดเมื่อใดกันว่าง่วง หมั่นโถวน้อยได้แต่เถียงในใจ
เป่าเปาน้อยส่ายหัวเรียวเล็ก ระอากับความถือดีและไม่ยอมเสียหน้าต่อหน้าหลินหลินของหัวหน้าตนยิ่งนัก
แต่มีหรือที่เจ้าพยัคฆ์น้อยจะสนใจ มันเงยหัวกลมๆ เล็กๆ มองหลินหลินพร้อมกับร้องออกมา "หลินหลิน ฟานฟานเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว อุ้มหน่อย อุ้มหน่อย"
คราวนี้สองจิ้งจอกน้อยถึงกับอึ้ง เมื่อเห็นลูกพยัคฆ์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความดุร้ายกำลังออดอ้อนใช้มารยาราวกับแมวเชื่องๆ เฮ้อ! เสียภาพพจน์พยัคฆ์หมด
"เหนื่อยแล้วหรือ" ชิงหลินย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้นดินตรงหน้าสามสหายน้อย อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยด้วยมือขวา
"หลินหลิน หมั่นโถวก็ง่วงแล้วเจ้าค่ะ" เจ้าจิ้งจอกน้อยตัวน้องเมื่อเห็นว่าการออดอ้อนใช้มารยาเพียงเล็กๆ น้อยๆ ของหัวหน้าได้ผล จึงคิดจะเอาอย่างบ้าง ไม่รอช้ามันเดินเข้าไปหานางแล้ววางเท้าหน้าทั้งสองบนต้นขานุ่มนิ่ม ก่อนจะเงยหัวส่งสายตาวิงวอนออดอ้อนจนได้รับรางวัลเป็นอ้อมกอดของหลินหลินสมใจ
"เจ้าก็มาด้วยสิ" ชิงหลินเรียกเป่าเปาน้อยทางจิต เมื่อเห็นมันยืนมองนิ่งสงบเสงี่ยมเป็นผู้ใหญ่ผิดกับเจ้าพยัคฆ์น้อยลิบลับ
"หลินหลินจะไหวหรือขอรับ" เป่าเปาน้อยถามด้วยความห่วงใย น้ำหนักของพวกมันสามตัวรวมกันใช่ว่าจะเบาๆ คาดว่าคงไม่ต่ำกว่าสิบชั่ง หากอุ้มช่วงเวลาสั้นๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าต้องอุ้มเป็นเวลานานๆ เห็นทีคงไปไม่รอดเป็นแน่
ยังไม่ทันที่ชิงหลินจะได้ตอบคำถามของเป่าเปาน้อย ร่างเล็กสีขาวปลอดขนปุกปุยนุ่มนิ่มของมันก็ลอยขึ้นด้วยมือของแม่ทัพหนุ่มที่ยืนดูสักครู่หนึ่งแล้ว ท่ามกลางสายตาประหลาดใจระคนสงสัยของโจวหยางหมิ่น ทหารองครักษ์ ตลอดจนหน่วยพยัคฆ์ดำหลายคนที่ยืนดูอยู่ เพราะภาพที่ปรากฏตรงหน้าคล้ายกับว่านางกำลังสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตสี่ขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น แม้จะติดใจสงสัยแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าถามซึ่งๆ หน้า มันโจ่งแจ้งและเสียมารยาทเกินไป ซ้ำยังอาจสร้างความขุ่นเคืองให้นางก็เป็นได้
"คุณหนู ส่งทั้งสองตัวมาให้ข้าเถิดขอรับ" เฟิ่งอิงเอ่ยกับคุณหนูของตนเบาๆ
"ขอบใจ" นางส่งเพียงหมั่นโถวน้อยให้เฟิ่งอิง เพราะเจ้าพยัคฆ์น้อยใช้เล็บเกี่ยวชุดนางไว้พร้อมกับซุกหัวกลมๆ เล็กๆ กับอกของนาง
การกระทำของมันทำใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพหนุ่มตึงขึ้นทันที กับความเจ้าเล่ห์มารยาของเจ้าพยัคฆ์น้อยน่าตาย ที่บังอาจหลอกกินเต้าหู้คู่หมั้นของตน
"องค์ชาย ยามไฮ่แล้ว เสด็จกลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
เสียงของเหมิงอู่เรียกสติที่หลุดลอยเพราะเรื่องสตรีนางนี้ให้กลับมา
"อืม" โจวหยางหมิ่นกล่าว แต่สายตากลับจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มที่อมยิ้มน้อยๆ เล่นกับเจ้าพยัคฆ์น้อย แล้วถาม "ข้าต้องทำอย่างไรต่อ เมื่อนำหญ้าแสงจันทร์และน้ำค้างพิสุทธิ์ไปให้เต่ามังกรแล้ว"
"ทูลองค์ชาย สิ่งที่ต้องทรงทราบก่อนคือ เต่ามังกรชื่นชอบธรรมชาติมากกว่าอยู่ในตำหนักเพคะ"
"ความหมายของเจ้าคือต้องหาที่อยู่ใหม่ให้เต่ามังกรใช่หรือไม่"
"ใช่เพคะ จากนั้นให้นำหญ้าแสงจันทร์ปักลงในน้ำจากฟ้า และทุกคืนพระจันทร์เต็มดวงให้นำไปอาบแสงจันทร์อย่างน้อยสองชั่วยามเพื่อเพิ่มพลังธาตุเป็นเวลาสามพระจันทร์เต็มดวง เต่ามังกรจึงจะสามารถกินใบของหญ้าแสงจันทร์ได้"
"น้ำจากฟ้า?"
"น้ำจากฟ้าคือน้ำฝนที่ตกลงมาใส่ภาชนะที่ใช้รองรับโดยตรง ซึ่งหมายความว่าต้องรองน้ำในที่โล่งแจ้งนั่นเองเพคะ" ชิงหลินเดินไปตอบไป มือก็ลูบหลังเจ้าพยัคฆ์น้อยที่นอนหลับเอาหัวเกยไหล่ช้าๆ ราวกับกำลังกล่อมให้เด็กนอน
"อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว แล้วน้ำค้างพิสุทธิ์เล่า"
"คร่อกกก...คร่อกกก..." เสียงกรนของเจ้าพยัคฆ์น้อยทำเอาการสนทนาสะดุด พร้อมกับมองเจ้าของเสียงกรนด้วยความขบขัน
"หลินเอ๋อร์ หากเมื่อยก็ส่งมันมาให้พี่เถิด" มู่หลิ่งเหวินกล่าวกับคู่หมั้น
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ" ชิงหลินหันไปส่งยิ้มหวานให้คู่หมั้นแล้วอธิบายต่อ "ส่วนน้ำค้างพิสุทธิ์ที่ได้จากหญ้าแสงจันทร์ให้เก็บไว้ก่อน และนำมาให้เต่ามังกรในวันที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งที่สามเพคะ"
"ได้ยินชัดแล้วใช่หรือไม่ เหมิงอี้" โจวหยางหมิ่นถามองครักษ์ที่เดินเยื้องอยู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พ้นออกมาจากหุบเขากินคนพอดี
"พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย" เหมิงอี้ตอบผู้เป็นนาย
"ดี เจ้านำของสองสิ่งนี้กลับไปเมืองหลวงก่อน ส่วนข้าจะกลับไปทีหลัง"
"พ่ะย่ะค่ะ" น้อมรับคำสั่งอย่างแข็งขัน ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์ราวสิบนายตามกลับไปเมืองหลวงด้วย
คิ้วเข้มของแม่ทัพหนุ่มเลิกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก เมื่อเห็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์รั้งอยู่ต่อไม่ยอมกลับไปพร้อมองครักษ์
เฟิ่งอิงที่ได้ยินเหลือบมองใบหน้าจิ้มลิ้มของคุณหนู เห็นนางทำสีหน้ายุ่งยากลำบากใจก็รู้สึกยินดีลึกๆ เพราะนั่นหมายความว่านางไม่ได้ชื่นชอบหรือหลงใหลในลาภยศขององค์ชายผู้สูงศักดิ์เช่นสตรีทั่วไป ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาคงเสียใจไม่น้อยเลยทีเดียว
กว่าจะกลับมาถึงเรือนสายธารก็ล่วงเข้ายามจื่อแล้ว พอหัวถึงหมอนทั้งคนทั้งสามสหายน้อยก็เข้าสู่ห่วงนิทราแทบจะทันที ผิดกับมู่หลิ่งเหวินที่นอนไม่หลับ แขนขวาก่ายเกยหน้าผากอย่างกังวลใจลึกๆ กับท่าทีขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ที่มีต่อคู่หมั้น
แม้จะเชื่อมั่นในตัวคู่หมั้นเพียงใด แต่ถ้าถูกตามตื๊อมากๆ เหมือนเช่นที่ตนเคยทำ ก็กลัวว่านางจะหวั่นไหวไขว้เขวได้ หากเป็นเช่นนั้นเขาจะทำเช่นไร ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดจนนอนไม่หลับ ต้องออกมารับลมข้างนอก
ยังดีที่ชิงหลินไม่ได้ยินความคิดนี้ของเขา เพราะหากได้ยินนางคงโกรธเขาไปอีกนานเลยทีเดียวที่ไม่เชื่อใจกัน
เฟิ่งอิงที่อาสาเป็นยามคืนนี้ยืนกอดอกพิงผนังไม้ข้างประตูห้องพักคุณหนู ดวงตาคมเรียวดุทอดมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหลังจากที่คุณหนูฟื้นคืนสติ มุมปากยกขึ้นสูงจนกลายเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะขยับตัวยืนตรงเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
"ท่านแม่ทัพ นอนไม่หลับหรือขอรับ"
"อืม มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย" แม่ทัพหนุ่มกล่าวตอบเนิบๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด
"หากเป็นเรื่องของคุณหนู ท่านวางใจเถิด คุณหนูก็คือคุณหนู หาใช่สตรีใจโลเลไม่"
"เรื่องนั้นข้ารู้ดี ไม่ต้องให้เจ้ามาบอก" แม้จะตอบกลับไปอย่างนั้น แต่ใจที่หนักอึ้งราวกับมีหินมาทับกดไว้จนแทบจะหายใจไม่สะดวกก็พลันสลายหายไป เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำผู้นี้
คิดไปก็แปลก ทั้งที่ไม่ค่อยชื่นชอบชายผู้นี้เท่าใดนัก แต่พอได้ฟังคำยืนยันจากปากชายผู้นี้ กลับทำให้ความเครียดและความหวาดหวั่นไม่มั่นใจเกี่ยวกับคู่หมั้นสลายหายไปจนหมดสิ้น นี่เขาเชื่อใจชายผู้นี้ใช่หรือไม่
22 ในที่นี้หมายถึงทางตอนใต้ของประเทศจีน