-37-
"หลินเอ๋อร์ ดูแลตัวเองดีๆ อย่าซุกซนให้มากนัก เข้าใจหรือไม่"
"อีกสิบห้าวันพี่จะไปรับเจ้าที่วังองค์ชาย อย่าหนีกลับมาเองโดยเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่"
"คุณหนู ขอให้เดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ / ขอรับ"
เสียงเตือน เสียงกำชับ และเสียงอวยพรมากมาย ของบิดา คู่หมั้น และเหล่าบรรดาบ่าวไพร่คนงานของเรือนสายธาร ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เมื่อเข้ามานั่งในรถม้าของวังองค์ชายห้าซึ่งเตรียมมาเพื่อเธอโดยเฉพาะตามคำบอกเล่าของอู่ต้าสง เสนาบดีกลาโหมแคว้นโจว
แม้จะเป็นรถม้าขนาดเล็กสำหรับสองคนนั่งเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทาง แต่ด้านในรถม้ากลับถูกตกแต่งประดับประดาไว้อย่างสวยงาม ผนังบุกำมะหยี่สีแดงสดให้ความรู้สึกนุ่มสบายยามที่ได้นั่งและสัมผัส หน้าต่างทั้งสองข้างถูกปิดด้วยผ้าไหมสีแดงเรียบลื่น มีลูกปัดหลากสีห้อยติดอยู่ที่ปลายผ้าม่าน แม้จะดูสวยงามแต่ชิงหลินกลับรู้สึกเฉยๆ เพราะไม่ชอบสีฉูดฉาดแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ส่วนสามสหายน้อยเมื่อได้รู้ว่าจะได้ออกท่องเที่ยวก็กระดี๊กระด๊า พอเข้ามาในรถม้าก็กระโดดโลดเต้นหยอกเย้ากันอย่างสนุกสนาน ไม่สนใจหลินหลินที่นั่งหน้าขรึมครุ่นคิดถึงเหตุการณ์สองวันที่ผ่านมา
"เหตุใดเจ้าจึงตอบตกลงง่ายๆ เช่นนั้น" แม่ทัพหนุ่มถามคู่หมั้นหลังจากปรึกษาหารือเรื่องการเดินทางไปแคว้นโจวจนได้ข้อสรุปแล้ว
"ข้าเองก็ใช่ว่าอยากจะไปนะเจ้าคะ แต่ท่านก็เห็นว่าองค์ชายทรงดื้อแพ่งเพียงใด ท่านพ่อกับท่านกราบทูลแล้วว่าไม่สะดวกที่จะไป พระองค์ก็ไม่ทรงฟัง" นางว่าพลางถอนใจ "ขนาดท่านพ่ออ้างว่าท่านแม่ของข้าล้มป่วยต้องกลับไปดูแล โดยหวังว่าข้าจะได้ไม่ต้องไปแคว้นโจว แล้วท่านดูสิว่าผลเป็นเช่นไร"
ชิงหยวนพยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่อยากให้บุตรีต้องไปแคว้นโจวจึงอ้างว่าฮูหยินของตนล้มป่วยต้องกลับไปดูแล ทั้งที่ความเป็นจริงฮูหยินของตนหายดีแล้วหลังจากที่ทราบว่าตนและทุกคนปลอดภัย
ฝ่ายคู่หมั้นมองนางนิ่ง ด้วยเข้าใจในสถานการณ์และเหตุผลที่นางตกปากรับคำเชิญขององค์ชายห้า แต่ที่หงุดหงิดและไม่สบอารมณ์นักเป็นเพราะนางใจร้อน ไม่รอปรึกษาหารือตนและบิดาของนางก่อน
"ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ที่ไม่รอถามความเห็นของท่านพ่อกับพี่เหวินก่อน แต่เพราะข้ากลัวว่าหากเราปฏิเสธคำเชิญอาจทำให้พวกเขาไม่พอใจ แล้วพานกลับมาหาเรื่องเราในภายหลังก็เป็นได้เจ้าค่ะ" ตัดสินใจบอกเล่าความรู้สึกในใจให้บิดาและคู่หมั้นรู้
"อา...พ่อเข้าใจเจ้าดี เพราะพ่อเองก็คิดเรื่องนี้อยู่" ชิงหยวนเอ่ยขึ้นช้าๆ เขาเป็นเพียงพ่อค้าไร้ยศไร้ตำแหน่ง แม้จะมีเงินทองมากมาย มีสหายเป็นใหญ่เป็นโตในราชสำนักที่พร้อมจะปกป้องตนและครอบครัว แต่ชิงหยวนก็ไม่ปรารถนาให้พวกเขาต้องมายุ่งเกี่ยว จึงไม่ได้คัดค้านกับการตัดสินใจของบุตรสาว
แม่ทัพหนุ่มทอดถอนใจ ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองนางอย่างกังวลระคนเป็นห่วง ด้วยคิดว่าการเดินทางไปแคว้นโจวครานี้คงไม่ราบรื่นอย่างขามาเป็นแน่ แม้องค์ชายห้าจะมาพร้อมทหารฝีมือดีกว่าห้าสิบชีวิต ก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้เต็มร้อย ครั้นจะให้หน่วยองครักษ์สกุลมู่ติดตามไปทั้งหมดก็ออกจะเกินไปหน่อย อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าดูถูกฝีมือทหารของอีกฝ่ายก็เป็นได้ น่าปวดหัวยิ่ง
"พี่เหวิน" ชิงหลินเรียกคู่หมั้นที่เอาแต่จ้องนางไม่พูดไม่จา
"ห้ามเจ้าอยู่ใกล้หรือปล่อยให้บุรุษอื่นเข้าใกล้เป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่" มู่หลิ่งเหวินกำชับเสียงเข้ม ไม่ใส่ใจชิงหยวนที่นั่งจิบชาอยู่ข้างๆ
"เข้าใจแล้วเจ้าค่า" นางทำเสียงล้อเลียนเขาเพื่อกลบเกลื่อนความอาย
'ตาบ้า...พูดอะไรก็ไม่รู้ ต่อหน้าต่อตาว่าที่พ่อตาเลยนะเนี่ย!' แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ใจกลับรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาดจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
"หลินหลิน คิดอะไรอยู่หรือ" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องถามหลินหลินที่เอาแต่นั่งเหม่อมองทิวทัศน์นอกรถม้า ที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าค่อนข้างเร็ว มีเฟิ่งอิงประกบอยู่ด้านซ้ายของรถม้า ซึ่งเป็นฝั่งที่หญิงสาวเลิกผ้าม่านหน้าต่างเพื่อดูทิวทัศน์ มีจิ๋นซานกับจิ๋นซื่อสององครักษ์หนุ่มประกบอยู่อีกฝั่งของรถม้า
ส่วนด้านหน้ามีโจวหยางหมิ่นเป็นผู้นำขบวน พร้อมเสนาบดีกลาโหมอู่ต้าสง สี่ยอดองครักษ์ประกบซ้ายขวา ถัดมาคือทหารม้าของโจวหยางหมิ่น และหน่วยพยัคฆ์ดำที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา
"ไม่มีอะไรหรอก" หญิงสาวหันกลับมามองเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ใช้เท้าหน้าวางบนเข่านาง ยืดตัวเหยียดขึ้นยืนสองขา ร่างเล็กกลมไหวเอนไปมาตามแรงเหวี่ยงของรถม้าจนต้องอุ้มมันขึ้นมาวางบนตัก เพราะกลัวว่ามันจะหงายท้อง
หมั่นโถวน้อยกระโดดขึ้นมานั่งข้างนาง เงยหัวเรียวเล็กแล้วร้องถาม "หลินหลิน กี่วันจึงจะถึงหรือเจ้าคะ"
"อืม...ประมาณสี่วัน" นางหลุบตาตอบทางจิตเช่นที่ตอบเจ้าพยัคฆ์น้อย
"หลินหลิน เคยไปมาก่อนหรือไม่ขอรับ" เป่าเปาน้อยกระโดดขึ้นมานั่งข้างจิ้งจอกน้อยตัวน้อง
"ครั้งแรกเช่นเดียวกับพวกเจ้านั่นแหละ" ชิงหลินตอบพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ จนเจ้าเป่าเปาน้อยอายม้วนนอนหมอบราบกับพื้น แล้วใช้เท้าหน้าทั้งสองข้างปิดตาตัวเอง การกระทำของมันช่างน่ารักน่าเอ็นดู จนนางอดใจไม่ไหวต้องอุ้มมันขึ้นมาฟัดมาหอมเสียหลายที
เสียงหัวเราะผสานกับเสียงร้องคล้ายแมวและสุนัขที่ดังออกมาจากรถม้าเพียงคันเดียวของขบวน สร้างความประหลาดใจให้แก่บุรุษที่ควบม้าอยู่ใกล้ๆ ได้เป็นอย่างดี จนต้องเหลียวหลังกลับไปมองรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่ ก็เห็นเพียงผ้าม่านหน้าต่างที่สั่นไหวเท่านั้น
สี่วันของการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น สร้างความประหลาดใจให้แก่โจวหยางหมิ่นและผู้ติดตามยิ่งนัก เพราะคาดเดาว่าอาจจะได้ปะทะกับหน่วยลอบสังหารที่ต้องการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่อยากให้โจวหยางหมิ่นได้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทโดยง่าย
วังของโจวหยางหมิ่นตั้งอยู่บนเขาสูงครอบคลุมภูเขาทั้งลูก กินพื้นที่หลายร้อยไร่ ชิงหลินคิดว่าจะได้ไปพักที่นั่น แต่ที่ไหนได้โจวหยางหมิ่นกลับบอกว่าจะพาไปพักที่ตำหนักหยางหมิ่นซึ่งอยู่ในเขตวังหลวง แม้จะไม่ค่อยพอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เก็บกดความไม่พอใจนี้ไว้
"เฟิ่งอิง เกิดอะไรขึ้น" ชิงหลินเลิกผ้าม่านถาม เมื่อรถม้าที่นั่งหยุดกะทันหันทำให้นางเกือบหัวทิ่ม
"ดูเหมือนจะมีขอทานมาขวางขบวนไว้ขอรับ" เฟิ่งอิงที่นั่งอยู่บนหลังม้าก้มลงมาบอกคุณหนู
"ขอทาน? ทำไมขอทานจึงกล้ามาขวางขบวนองค์ชายล่ะ" นางพึมพำเบาๆ แต่เฟิ่งอิงกลับได้ยินอย่างชัดเจน
"คาดว่าน่าจะเป็นเพราะความหิวโหย จึงกล้าเสี่ยงตายเช่นนี้ขอรับ" เฟิ่งอิงสันนิษฐานตามประสบการณ์ที่ผ่านมา เพราะพบเห็นเรื่องทำนองนี้บ่อยครั้งในแคว้นฉี
"อย่างนั้นหรือ"
"หลินหลินจะไปไหน" เมื่อเห็นหลินหลินขยับตัว เจ้าพยัคฆ์น้อยจึงส่งเสียงถาม
"จะลงไปดูหน่อย พวกเจ้าจะรออยู่ในรถม้าก็ได้" นางบอกสามสหายน้อยทางจิต จากนั้นจึงลงมาจากรถม้า ไม่ฟังคำทัดทานของจิ๋นซานจิ๋นซื่อ ท่ามกลางสายตาของคนนับร้อยที่นั่งคุกเข่ากับพื้นดูเหตุการณ์ระทึกใจอยู่
"คุณหนูผู้นั้นเป็นใคร เจ้ารู้จักหรือไม่" เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
"อา...ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า" ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอบ
"เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าเรื่องที่นางมากับองค์ชายห้าหรอก" เสียงแหบแห้งของชายชราดังขึ้น
"ทำไมหรือท่านผู้เฒ่า" อีกเสียงที่อยู่ใกล้กันเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้
"อา...เจ้าคงมาจากเมืองอื่น"
"ใช่ ข้าเดินทางมาจากเมืองอื่น"
"องค์ชายห้าโจวหยางหมิ่นทรงขึ้นชื่อเรื่องเกลียดชังอิสตรียิ่งนัก ในตำหนักไร้ซึ่งนางกำนัล แตกต่างจากตำหนักองค์ชายทั้งหลาย"
"อา...แล้วสาเหตุที่พระองค์ทรงเกลียดชังอิสตรีเล่า"
"ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า หากเจ้าอยากรู้ก็ไปสืบเอาจากขันทีที่ตำหนักนั้นดูสิ"
"ไอหยา...ท่านอยากเห็นข้าอายุสั้นหรือท่านผู้เฒ่า" สิ้นเสียงของชายต่างถิ่น เสียงหัวเราะของคนรอบข้างที่เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจก็ดังขึ้น แต่ต้องรีบปิดปากเมื่อถูกสายตาดุดันของเหล่าทหารม้ามองมา
ชิงหลินก้าวเร็วๆ ผ่านทหารม้ามาด้านหน้าขบวน มีสามสหายน้อยวิ่งตามหลังมา เมื่อมาถึงหน้าขบวนนางก็เห็นขอทานนับสิบคน มีทั้งเด็กและคนชรารวมอยู่ด้วย บ้างก็นั่งคุกเข่า บ้างก็หมอบราบกับพื้นดิน เงยศีรษะขึ้นมองโจวหยางหมิ่นเป็นระยะๆ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
"เป็นเพียงขอทานต่ำต้อย ไยจึงบังอาจขวางทางองค์ชายห้า ไม่กลัวถูกตัดหัวหรือ" หนึ่งในสี่องครักษ์ตวาดเหล่าขอทานเสียงดังจนเหล่าขอทานสะดุ้งตกใจกลัวตัวสั่นหนักยิ่งกว่าเดิม ขอทานน้อยคนหนึ่งทำท่าจะร้องไห้ แต่ถูกมือของขอทานที่โตกว่าปิดปากไว้ทัน
"อะ...องค์ชายห้า ทะ...ท่านคืออะ...องค์ชายห้า?" ขอทานชราร้องอุทานด้วยความตกใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยซีดเผือดจนไร้สีเลือด ตัวที่สั่นเทาอยู่แล้วยิ่งสั่นเทิ้ม ตาเรียวเล็กบัดนี้เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ปากอ้าค้าง แหงนเงยหน้ามองบุรุษรูปงามที่อยู่บนหลังม้าด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวยิ่ง
'อา...สวรรค์นี่คงเป็นวันสุดท้ายของข้าและอีกหลายชีวิตที่ต้องทนหิวโหยสินะ' เพราะหลังจากนี้คงไม่ต้องทนอีกต่อไปแล้ว หากใครได้ยินคำพูดนี้ของชายชราขอทาน ก็อาจจะตีความไปว่าชายชราขอทานหวังว่าจะได้รับความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากองค์ชายสูงศักดิ์ผู้นี้ให้อิ่มท้องไม่ต้องทนทรมานเช่นที่ผ่านมา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชายชราขอทานคิดแต่อย่างใด สิ่งที่ชายชราขอทานคิดคือจะไม่ต้องทนหิวอีกต่อไปเพราะคงถูกตัดหัวในวันนี้เป็นแน่แท้ต่างหาก
โจวหยางหมิ่นยกมือขึ้นห้ามองครักษ์ที่ชักดาบทำท่าจะฟันขอทานชราเนื้อตัวสกปรกมอมแมมที่บังอาจมาขวางขบวนของตน เมื่อเห็นสตรีชุดขาวที่อุตส่าห์ไปเชิญมาด้วยตนเองยืนมองกลุ่มขอทานอยู่ข้างๆ มีหนึ่งพยัคฆ์กับสองจิ้งจอกยืนมองกลุ่มขอทานเช่นเดียวกับนาง ข้างหลังมีบุรุษร่างสูงใหญ่ทำหน้าที่คุ้มกันอยู่
"ขวางขบวนรถม้าของเชื้อพระวงศ์ มีโทษสถานใด" โจวหยางหมิ่นถามอู่ต้าสงหลังจากกระโดดลงมายืนบนพื้นอย่างสง่างาม ตามติดด้วยเหล่าทหารและองครักษ์
"ทูลองค์ชาย มีโทษประหารชีวิตพ่ะย่ะค่ะ" คำตอบของเสนาบดีกลาโหมอู่ต้าสงทำเอากลุ่มขอทานสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว พ่อค้าแม่ค้าตลอดจนชาวบ้านร้านตลาดที่ผ่านมาประสบพบเหตุต่างก็พากันเวทนาสงสารในความโชคร้ายของขอทานเหล่านี้ แต่ไม่กล้าปริปากวิพากษ์วิจารณ์หรือออกหน้าให้ความช่วยเหลือ สุดท้ายจึงได้แต่ส่งสายตาเห็นใจไปให้เท่านั้น
ชิงหลินหน้าบึ้งทันทีที่ได้ยินคำพูดของอู่ต้าสง ส่งสายตาถามโจวหยางหมิ่นที่เดินมายืนข้างนาง สองมือไพล่หลังดูสบายๆ ราวกับเรื่องตรงหน้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ก็นึกโมโหขึ้นมา 'คนนะ...ไม่ใช่ผักปลา จะมาฆ่ากันได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ แม้ว่าพวกเขาจะมีความผิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตถึงขนาดที่ให้อภัยไม่ได้เสียหน่อย'
"หึๆ เจ้าอยากช่วยพวกเขาหรือ" โจวหยางหมิ่นกระซิบถาม
"เห็นคนอื่นลำบากแล้วไม่ช่วย ยังจะนับว่าเป็นคนอีกหรือเพคะ" นางตอบด้วยน้ำเสียงสะบัดๆ เล็กน้อย
"โอ้ ก็ได้ เราจะปล่อยขอทานเหล่านี้ไปแลกกับที่เจ้าต้องอยู่แคว้นโจวจากเจ็ดวันเป็นสิบวัน" โจวหยางหมิ่นยิ้มอย่างเป็นต่อ 'ดูซิว่า...เจ้าจะทำเช่นไร'
"หากหม่อมฉันไม่ตกลง องค์ชายจะสั่งประหารขอทานเหล่านี้หรือเพคะ"
"ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น"
อาการยักไหล่อย่างไม่ยี่หระของอีกฝ่ายดูน่าหมั่นไส้นักในสายตาของชิงหลิน
"คนเหล่านี้เป็นคนขององค์ชาย เป็นประชาชนขององค์ชาย พระองค์จะทำเช่นไรก็สุดแล้วแต่เถิด เพียงแต่..." ชิงหลินจงใจเว้นจังหวะ
"เพียงแต่...?" โจวหยางหมิ่นขยับตัวอย่างสนใจ ไม่คิดจะลงโทษขอทานเหล่านี้ เพียงแต่อยากจะหาวิธีเหนี่ยวรั้งให้นางอยู่แคว้นโจวนานขึ้นอีกสักสามสี่วันเท่านั้น
"หากองค์ชายทรงละเว้นโทษให้คนเหล่านี้ ต้องได้รับคำชื่นชมสรรเสริญจากประชาชนในน้ำพระทัยอันกว้างขวางดั่งมหาสมุทรของพระองค์เป็นแน่ นับว่าเป็นผลดีต่อตำแหน่งว่าที่องค์รัชทายาทไม่ใช่หรือเพคะ"
อู่ต้าสงถึงกับอมยิ้มเมื่อได้ฟังคำปฏิเสธที่ไม่อาจหาข้อโต้แย้งกลับได้ของบุตรีพ่อค้าธรรมดาๆ คนหนึ่ง
"อา...องค์ชายจะทำเช่นไรกับขอทานเหล่านี้พ่ะย่ะค่ะ" อู่ต้าสงทูลถามโจวหยางหมิ่นที่ลูบคางไปมาอย่างครุ่นคิด ด้วยเห็นว่าชักจะล่าช้าและเริ่มมีผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดหนาแน่นขึ้น จึงเกรงว่าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันก็เป็นได้
"พวกเจ้าจะตายหรือจะรอดก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางแล้ว" โจวหยางหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังเพื่อให้ได้ยินอย่างทั่วถึง ทำเอาผู้คนที่นั่งคุกเข่าและกลุ่มขอทานหันมองโฉมสะคราญที่ยืนอยู่เคียงข้างบุรุษผู้สูงศักดิ์เป็นตาเดียว เกิดเสืยงฮือฮาวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
"องค์ชาย!" ชิงหลินอุทานเสียงดัง ตกใจที่จู่ๆ องค์ชายก็โยนเผือกร้อนมาให้นาง
"หึๆ เชิญ" โจวหยางหมิ่นผายมือให้สตรีที่ยืนตะลึง และในชั่วพริบตาก็ส่งสายตาเขียวปั้ดมาให้ตน มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างขบขันระคนทึ่ง ที่นางกล้าทำกิริยาเช่นนี้ใส่ตนซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์
"ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถิด" นางแค่นเสียงลอดไรฟันอย่างเจ็บใจโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ยิน พลางก้าวมาข้างหน้าสองก้าว
"ในเมื่อองค์ชายให้สิทธิ์หม่อมฉันตัดสินโทษของคนเหล่านี้ ทรงหมายความว่าหม่อมฉันทำเช่นไรกับคนเหล่านี้ก็ได้ใช่หรือไม่เพคะ" ชิงหลินหมุนกายกลับมาพร้อมกับทูลถามเสียงดังกังวาน
"ใช่ ย่อมเป็นเช่นนั้น" โจวหยางหมิ่นเอาสองมือไพล่หลังพลางพยักหน้าตอบรับ
"ขอบพระทัยเพคะ" นางยอบกายแล้วหันกลับมาทางกลุ่มขอทานที่ยังคงนั่งคุกเข่าตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้น เฉกเช่นเดียวกับเหล่าคนมุงทั้งหลาย