-30-
"กระหม่อมจะให้หน่วยพยัคฆ์ดำออกค้นหาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนกราบทูลองค์ชายห้า พร้อมกับหันไปสั่งการคนขอตนให้ออกตามหาในรัศมีห้าลี้
"จิ๋นซาน ให้หน่วยองครักษ์สกุลมู่ไปช่วยหน่วยพยัคฆ์ดำด้วย...แฮ่กๆ" แม่ทัพหนุ่มสั่งจิ๋นซานพร้อมกับค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก จิ๋นซื่อเห็นดังนั้นจึงทำท่าจะเข้ามาช่วย แต่ถูกแม่ทัพหนุ่มยกมือห้ามไว้เสียก่อน
"ขอบใจเจ้ามากหลานชาย เจ้าบาดเจ็บอยู่ นั่งพักอีกสักหน่อยเถิด" ชิงหยวนบีบไหล่แม่ทัพหนุ่ม
ขณะที่ทุกคนกระจายกำลังออกค้นหาเต่ามังกรกันอย่างขะมักเขม้น ไม่ต้องกังวลเรื่องปีศาจหรืออันตรายใดๆ ชิงหลินเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ สองมืออุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยเดินกลับไปที่ถ้ำตามที่เจ้าพยัคฆ์น้อยบอก โดยมีสายตาของแม่ทัพหนุ่มมองตามอยู่ตลอดอย่างเป็นห่วง อยากจะตามไปคอยคุ้มครองแต่ติดตรงที่บาดเจ็บภายในค่อนข้างหนัก ไม่ควรขยับเขยื้อนหรือใช้กำลังภายใน ดังนั้นแม่ทัพหนุ่มจึงสั่งให้จิ๋นซื่อตามไปคุ้มกัน
"คุณหนู ท่านจะไปที่ใด" จิ๋นซื่อเอ่ยถาม
"ไปถ้ำ" ชิงหลินหันมาตอบ ดวงตากลมโตมีประกายตื่นเต้นชัดเจน จนจิ๋นซื่อขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"หลินหลิน...อยู่ในถ้ำ ซ่อนตัวอยู่ จิ้งจอกน้อย...ซ่อนตัวอยู่" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องบอกนางเมื่อมาถึงปากถ้ำ
"งั้นหรือ ไปดูกันเถอะ"
จิ๋นซื่อเดินตามนางเข้าไปพร้อมกับความสงสัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นางมาทำอันใดที่นี่ หรือว่าเต่ามังกรจะ...คงไม่ใช่แน่ หากเต่ามังกรอยู่ที่นี่จริง เหตุใดก่อนหน้าจึงไม่ปรากฏให้เห็นเล่า
"หลินหลิน อยู่ตรงนั้น...หลังโขดหิน ปีศาจจิ้งจอก...เอามาซ่อนไว้" เจ้าพยัคฆ์น้อยยกเท้าหน้าชี้ไปที่โขดหินสูงเพียงเข่าตรงมุมหนึ่งของถ้ำ ซึ่งบิดาและหน่วยพยัคฆ์ดำถูกจับตัวมา
นางพยักหน้าเข้าใจ เปลี่ยนมาเดินด้วยปลายเท้าและไม่ลืมหันไปกำชับจิ๋นซื่อให้รออยู่ที่เดิม ไม่ต้องเดินตามเข้ามา และแล้วสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็ทำเอาชิงหลินตาโตด้วยความตื่นเต้นดีใจ และเอ็นดูจนอดใจแทบไม่ไหวอยากจะเอามันมาฟัดมาหอมหลายๆ ที
'อา...ช่างเป็นจิ้งจอกที่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก'
ผิดกับสองจิ้งจอกน้อยสีขาวปลอดขนปุกปุยน่าสัมผัส ที่กำลังยืนสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ดวงตาเรียวเล็กสีดำสนิทดั่งน้ำหมึกมีน้ำตาคลอ จ้องมองมนุษย์สลับกับเจ้าพยัคฆ์น้อยเขม็ง เพราะในความทรงจำพวกมันเคยหลงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้วถูกจับตัวไปขายให้บุตรชายของขุนนางผู้หนึ่ง แต่คุณชายน้อยผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่ใจคอโหดเหี้ยม ชอบทุบตีทำร้ายมันสองพี่น้อง สุดท้ายทนไม่ไหว มันสองพี่น้องก็เลยหลบหนีออกมาซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขานานนับเดือน จนมาถึงหุบเขากินคนที่มนุษย์หวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ แต่สำหรับมันสองพี่น้อง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและอบอุ่น
"หลินหลิน น่าสงสาร เอาไปด้วย...เอาไปด้วย" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่เห็นท่าทีของหลินหลิน มันก็รู้แล้วว่าหลินหลินของมันชอบเจ้าจิ้งจอกน้อยสองตัวนี้ แม้จะรู้สึกอิจฉา แต่มันก็เลือกที่จะแสดงความใจกว้างออกมา เพื่อให้หลินหลินรักมันและเอ็นดูมันมากขึ้นจากการกระทำนี้
"เขาอยากไปกับเราหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ถามเขาก่อนดีไหม" ชิงหลินคุยกับเจ้าพยัคฆ์น้อยทางจิต
สองจิ้งจอกน้อยเอียงหัวเรียวเล็กสีขาวมองนางด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นนางสามารถสื่อสารกับพยัคฆ์น้อยได้
"พวกเจ้า...อยากไปอยู่...กับหลินหลิน...ของข้าหรือไม่ หลินหลินของข้า...ใจดี...มีเมตตา รับรอง...เจ้าจะมี...ความสุข...เช่นเดียว...กับข้า" เจ้าพยัคฆ์น้อยชักชวนสองจิ้งจอกน้อย โดยอวดอ้างความดีของหลินสารพัดจนนางนึกขันกับคำพูดของมัน
"จิ้งจอกเก้าหางฝากฝังเจ้าสองตัวให้ข้าช่วยดูแลแทนนาง แต่ถ้าพวกเจ้าไม่อยากไป ข้าก็ไม่ฝืนใจหรอกนะ ข้าเคารพการตัดสินใจของพวกเจ้า" นางสื่อกับสองจิ้งจอกน้อยพร้อมกับส่งยิ้มให้
สองจิ้งจอกน้อยมองหน้ากันพลางคิดทบทวนถ้อยคำของนาง สลับกับมองพยัคฆ์น้อยที่ผงกหัวชวนเชิญไม่หยุดอยู่พักใหญ่
"พี่ใหญ่ ที่นี่อันตรายเกินไป ข้าอยากลองเชื่อใจมนุษย์ดูอีกสักครั้งเจ้าค่ะ" จิ้งจอกน้อยที่ตัวเล็กกว่าร้องบอกตัวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย
ชิงหลินได้ยินก็รู้สึกดีใจจนเผลอยิ้มออกมา ทำให้เจ้าจิ้งจอกน้อยเพศผู้ตัวพี่ผงกหัวให้นางพลางร้องขึ้น "ตกลง ข้ากับน้องสาวจะลองเชื่อใจเจ้าดู"
"เยส!" ชิงหลินเผลอร้องออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้จิ๋นซื่อที่ยืนห่างออกไปราวสองเมตรเลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ ถ้อยคำที่นางเปล่งออกมาภาษาแคว้นอื่นหรือ แปลว่าอันใด แล้วที่หลังก้อนหินนั้นมีสิ่งใดอยู่กันแน่
"จิ๋นซื่อ มาช่วยข้าหน่อย" ชิงหลินหันมาเรียกองครักษ์หนุ่มที่ยืนชะเง้อมองอยู่
"จะให้ข้าทำสิ่งใดหรือขอรับ"
"อ่ะนี่..." นางอุ้มสองจิ้งจอกน้อยขนปุกปุยส่งให้จิ๋นซื่อ
จิ๋นซื่อรับสองจิ้งจอกน้อยน่าเอ็นดูมาไว้ในอ้อมอกแข็งแรงแล้วถาม "นี่คือ...."
"เป่าเปากับหมั่นโถว สมาชิกใหม่ของสกุลชิงอย่างไรล่ะ" ชิงหลินตั้งชื่อให้เสร็จสรรพ
"เป่าเปา? หมั่นโถว?" จิ้งจอกน้อยตัวพี่ทวนคำของนาง เมื่อเห็นนางพูดกับมนุษย์อีกคนแล้วชี้มาที่มันกับน้องสาว
"ใช่ เจ้าชื่อเป่าเปา ส่วนน้องสาวเจ้าชื่อหมั่นโถว ทำไมไม่ชอบชื่อนี้หรือ" ชิงหลินถามทางจิต เมื่อเห็นเจ้าเป่าเปาเงียบ ชิงหลินจึงเบนสายตามาที่หมั่นโถวแทน
"เอ่อ ข้าชอบชื่อนี้เจ้าค่ะ เพราะข้าชอบกินหมั่นโถวที่สุด" จิ้งจอกน้อยตัวน้องร้องบอก ทำเอาชิงหลินยิ้มออก
"ขอบใจมากนะ" หญิงสาวใช้มือที่ว่างลูบหัวเจ้าหมั่นโถวเบาๆ
"หลินหลิน จิ้งจอกน้อยรู้...ที่ซ่อน...เต่ามังกร ถามสิ...ถามสิ" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่กำลังอิจฉาเจ้าจิ้งจอกน้อยอยู่ร้องขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากหลินหลิน
"จริงหรือ" ชิงหลินลดมือลงไว้ข้างลำตัวขณะที่สื่อสารทางจิตกับเจ้าเป่าเปา
"จริง ข้ารู้ว่ามันอยู่ที่ใด ข้าจะพาเจ้าไปเอง" เจ้าเป่าเปาดิ้นไปมา
"จิ๋นซื่อ ช่วยวางเจ้าเป่าเปาทีเถอะ" นางหันมากล่าวกับจิ๋นซื่อ องครักษ์หนุ่มก็รีบวางจิ้งจอกน้อยตัวพี่ลงตามที่นางต้องการ โดยไม่คิดไถ่ถามให้มากความ
เจ้าเป่าเปานำชิงหลินและจิ๋นซื่อกลับมาที่เดิมอีกครั้ง รวมเวลาทั้งสิ้นที่ใช้ไปกลับเกือบสามเค่อ ยามนี้หน่วยพยัคฆ์ดำสี่สิบแปดคน หน่วยองครักษ์สกุลมู่เจ็ดสิบนาย และสี่องครักษ์ของโจวหยางหมิ่นได้กลับมาจากการค้นหาเต่ามังกรแล้ว
ส่วนแม่ทัพหนุ่ม โจวหยางหมิ่น และชิงหยวน ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะการค้นหาเต่ามังกรที่น่าจะอยู่ในรัศมีห้าลี้ล้มเหลวจนต้องเรียกทุกคนกลับมาเพื่อคิดและวางแผนใหม่ โดยมีจิ๋นซานและเฟิ่งอิงยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ
"หลินเอ๋อร์ เจ้าหายไปที่ใดมา แล้วนั่นจิ้งจอก?" ชิงหยวนหันมาเห็นบุตรีก็เรียกนางให้มาหา แล้วถามด้วยความเป็นห่วงระคนประหลาดใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่บุตรีนำกลับมาด้วย
สำหรับมู่หลิ่งเหวิน สิ่งที่คู่หมั้นนำกลับมาไม่ได้สร้างความประหลาดใจแก่เขามากนัก ด้วยทุกครั้งที่นางกลับมามักจะมีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาด้วยเสมอ เป็นเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว
ผิดกับโจวหยางหมิ่น เขามองจิ้งจอกที่วิ่งนำมา ส่วนอีกตัวอยู่ในอ้อมแขนขององครักษ์หนุ่ม และสตรีที่อุ้มพยัคฆ์น้อยด้วยความสนใจระคนสงสัยใคร่รู้ ว่าเหตุใดจิ้งจอกถึงได้ดูเชื่องราวกับสุนัขบ้าน นี่นางทำอันใดกับจิ้งจอกสองตัวนี้กันแน่
เฉกเช่นเดียวกับเหล่าบุรุษฉกรรจ์ทั้งหลายที่มองมาที่นางด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีทั้งชื่นชม นับถือ และศรัทธา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนของหน่วยพยัคฆ์ดำที่รู้เรื่องราวของคุณหนูพอสมควร ส่วนคนอื่นๆ บ้างก็มองด้วยความชื่นชม บ้างก็มองด้วยความประหลาดใจในความสามารถที่ไร้ขีดจำกัดของคุณหนูชิงหลินผู้นี้
"ท่านพ่อ ไว้ลูกจะอธิบายให้ท่านฟังทีหลัง ตอนนี้เชิญตามลูกมาก่อนเถิดเจ้าค่ะ" บุตรสาวกล่าวกับบิดา พร้อมทั้งค้อมศีรษะเชิญองค์ชายห้าโจวหยางหมิ่นให้ไปด้วยกัน
"ตกลง หวังว่ามันจะเป็นข่าวดี"
ชิงหลินยิ้มให้บิดา แล้วหันมาทางคู่หมั้นที่ทำท่าขยับจะตามไป
"ส่วนท่าน รออยู่ที่นี่ ถ้าขืนตามไปละก็..." หญิงสาวขู่พร้อมยกมือขึ้นมาทำท่าเชือดคอตัวเอง
คนถูกขู่ถึงกับอึ้งไป ไม่คิดว่านางจะกล้าใช้วาจาข่มขู่ตน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นยินดีจนหัวใจพองโตเมื่อเข้าใจในถ้อยคำแฝงนั้นจนเผยยิ้มออกมา เล่นเอาชิงหลินตะลึง ยิ่งได้เห็นเขาส่งสายตาร้อนแรงมาให้ก็ยิ่งทำให้นางทำอะไรไม่ถูก ต้องรีบเบือนหน้าหนี ปิดบังความเก้อเขินและประหม่า โดยมีสายตาหลากหลายอารมณ์ชำเลืองมองตลอดเวลา
พอรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ ชิงหลินจึงแก้เขินด้วยการหันไปพูดกับบิดา "เอ่อ...ไปกันเถิดเจ้าค่ะ" ยังไม่วายกำชับองครักษ์ "จิ๋นซาน จิ๋นซื่อ ฝากดูแลท่านแม่ทัพด้วย"
"ขอรับคุณหนู" ทั้งคู่ตอบรับคำสั่งพร้อมกัน
"ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถิด" มู่หลิ่งเหวินแค่นเสียงลอดไรฟันไล่หลังคู่หมั้นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุข
ความลังเลและความไม่มั่นใจที่ผ่านมาว่า นางมีใจให้ตนบ้างหรือไม่ถูกทำลายลงแล้วเพราะการกระทำเมื่อสักครู่ แต่ถึงกระนั้นการที่นางเสี่ยงอันตรายโดยไม่คิดห่วงตัวเองเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาจะให้เกิด คงต้องคอยดูแลตลอดเวลาเสียแล้ว มู่หลิ่งเหวินหมายมาดในใจ ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนยามที่อมยิ้มน้อยๆ ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากขึ้นสองส่วน โดยมีสายตาประหลาดใจของจิ๋นซานและจิ๋นซื่อลอบมองอยู่ไม่ห่าง
"เอ่อ...ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าท่านควรนั่งพักสักครู่นะขอรับ" จิ๋นซานเอ่ยขึ้นหลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ ท่านแม่ทัพก็ยังยืนปักหลักนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน สายตาคมทรงเสน่ห์จับอยู่ตรงทิศทางที่กลุ่มของคู่หมั้นจากไปอย่างไม่วางตา
"ข้าจะรอนางอยู่ตรงนี้"
เมื่อได้ยินคำตอบแล้วจิ๋นซานก็ไม่เซ้าซี้อีก เขาถอยไปยืนข้างจิ๋นซื่อที่อุ้มจิ้งจอกแต่โดยดี
อีกฝั่งเจ้าเป่าเปาจิ้งจอกน้อยตัวพี่พากลุ่มเจ้านายใหม่หมาดๆ ของมันมายังทิศประจิม ซึ่งห่างจากจุดที่แม่ทัพหนุ่มอยู่ราวห้าลี้ และหยุดลงที่ต้นไม้ใหญ่ขนาดสิบคนโอบต้นหนึ่ง
"ถึงแล้วหรือ" ชิงหลินสื่อทางจิตกับเจ้าเป่าเปาน้อย
"ใช่ ที่นี่แหละ"
"อืม" ชิงหลินเดินสำรวจไปรอบต้นไม้อย่างถี่ถ้วน แต่กลับไม่เจออะไร นางหันมาเลิกคิ้วถามเจ้าเป่าเปา
"มีอันใดหรือหลินเอ๋อร์" ชิงหยวนถามบุตรีเมื่ออยู่ดีๆ นางก็หยุด
"เอ่อ...ข้าคิดว่าเต่ามังกรน่าอยู่แถวนี้เจ้าค่ะ" นางตอบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าเป่าเปาน้อย
"ตกลง เต่ามังกรอยู่ที่ไหนกันแน่"
"อยู่ในต้นไม้ต้นนี้ และที่ผ่านมามีเพียงท่านราชามังกร เจ้าแห่งสรรพสัตว์ผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถนำเต่ามังกรออกมาได้" เจ้าเป่าเปาน้อยชี้แจงยืดยาวตามคำบอกเล่าของท่านแม่ ซึ่งก็คือปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนั่นเอง
"อ้าว แล้วจะทำอย่างไรล่ะทีนี้" คิ้วเรียวขมวดมุ่นจนชิงหยวนที่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
"มีปัญหาหรือ"
"เอ่อ...เต่ามังกรอยู่ในต้นไม้นี้เจ้าค่ะ" บุตรสาวตอบบิดาสั้นๆ
"อา...เช่นนั้นก็ไม่น่ามีปัญหามิใช่หรือ" ชิงหยวนย้อนถาม เพราะหากเป็นจริงดังคำกล่าวอ้างของบุตรี เพียงแค่โค่นต้นไม้นี้ลงก็สิ้นเรื่อง แต่เหตุใดนางจึงกังวลนัก
"ทำเช่นนั้นไม่ได้เจ้าค่ะ เจ้าเป่าเปาบอกว่ามีเพียงราชามังกรเท่านั้นที่จะนำเต่ามังกรออกมาได้" ชิงหลินกระซิบกระซาบกับบิดา เพราะไม่อยากให้องค์ชายห้ารู้ว่านางสามารถสื่อสารกับจิ้งจอกน้อยได้
"อา...หากเป็นเช่นนั้นไม่เท่ากับการมาครั้งนี้เสียเปล่าหรอกหรือ" ชิงหยวนเป็นฝ่ายหนักใจขึ้นมาบ้าง
เห็นท่าทางมีลับลมคมในของทั้งสองแล้ว โจวหยางหมิ่นพลันรู้สึกไม่พอใจนัก "มีเรื่องที่ข้าควรรู้หรือไม่" ถามด้วยเสียงราบเรียบแต่แฝงความกดดัน
"เอ่อ...โปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ เห็นทีเรื่องชักจะยุ่งยากขึ้นมาเสียแล้ว" ชิงหยวนยืนขึ้นรายงาน
"ยุ่งยาก? อย่างไร" โจวหยางหมิ่นถามอีกฝ่าย
"ทูลองค์ชาย ผู้ที่จะนำเต่ามังกรออกมาได้มีเพียงราชามังกรเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนตอบตามที่บุตรีบอก
"เหลวไหล หากเต่ามังกรอยู่ในต้นไม้นี้จริงก็โค่นมันลงมาเสียสิ้นเรื่อง! เหมิงอู่ เหมิงอี้" ก่อนจะเรียกชื่อของสองในสี่องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังตน
"พ่ะย่ะค่ะ / พ่ะย่ะค่ะ" เหมิงอู่เหมิงอี้ขานรับอย่างแข็งขัน พลางก้าวไปข้างหน้าแหงนมองต้นไม้ใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าให้กันแล้ววาดแขนออกเพื่อรวบรวมพลังภายในก่อนจะซัดพลังออกไป
"ทำเช่นนั้นไปก็ไร้ประโยชน์" เจ้าเป่าเปาร้องบอกนายใหม่ของมัน ยังไม่ทันที่ชิงหลินจะได้แสดงความคิดเห็นหรือเตือนพวกเขา
ตูม!
"อ๊ากกก!"
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับร่างสององครักษ์ที่กระเด็นกระดอนไปไกลกว่าครึ่งลี้ นับว่ายังโชคดีที่ไม่เป็นอันใดมาก เพียงแค่สลบไปเท่านั้น
"อา...นี่มันช่าง..." โจวหยางหมิ่นตระหนกกับเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อและเหนือความคาดหมายนี้ พร้อมกับมองต้นไม้ประหลาดนิ่งอย่างครุ่นคิด ไม่ผิดแน่...เต่ามังกรจะต้องอยู่ในต้นไม้นี้ ช่างน่าขัน อุตส่าห์หาที่อยู่มันพบแล้วกลับนำมันออกมาไม่ได้ เห็นทีเรื่องนี้คงมีแต่นางเท่านั้นที่เป็นความหวังสุดท้าย
หลังจากชิงหลินหายตกใจแล้วก็สบเข้ากับพระเนตรคมขององค์ชายห้าที่จ้องมา นางรีบหันไปมองทางอื่นเพราะอึดอัดและไม่ชอบใจกับสายตาคมกริบที่คล้ายกำลังจับผิดนางอยู่
"ต้นไม้นี้แท้จริงมีพลังที่แข็งแกร่งมากปกป้องคุ้มครองอยู่ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมท่านแม่จึงต้องการเลือดของท่าน" เจ้าเป่าเปาร้องบอกนายใหม่ของมัน
"เอ๊ะ เดี๋ยวนะ หากเป็นเช่นที่เจ้าพูดก็หมายความว่าเลือดของข้าสามารถทำลายพลังนี้ได้ใช่หรือไม่"
"ถูกต้อง เพียงทาบมือที่มีเลือดของท่านทาไว้ลงบนต้นไม้ จากนั้นก็ส่งพลังไปที่ต้นไม้ ทำเช่นนี้แล้วพลังนั้นก็จะสลายไป" เจ้าเป่าเปาอธิบายยืดยาว
"ต้องใช้เลือดอีกแล้ว" พอพูดถึงเลือดชิงหลินก็เสียวแปลบที่ฝ่ามือ
"หลินเอ๋อร์ เจ้ามีวิธีหรือไม่" ชิงหยวนถามบุตรี
"เอ่อ...มีเจ้าค่ะ แต่เป็นความลับที่ลูกไม่อาจเปิดเผยได้ ขอให้ทุกคนจงอยู่นิ่งๆ อย่ารบกวนลูกเด็ดขาด" นางกล่าวกับบิดาด้วยท่าทางขึงขัง
"ตกลง พ่อจะทำตามที่เจ้าว่า" ชิงหยวนตอบบุตรีเมื่อหันไปขอความเห็นจากองค์ชายห้าแล้ว
"ขอบคุณเจ้าค่ะ" บุตรสาวยิ้มให้บิดาแล้วอุ้มเจ้าเป่าเปาไปอีกฝั่งของต้นไม้ใหญ่ โดยมีสายตาสนใจใคร่รู้ของบุรุษหลายคนที่ร่วมเดินทางมาด้วย
เพียงไม่นานสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็ทำเอาบุรุษทั้งหลายอึ้งทึ่งไปตามๆ กัน เมื่ออยู่ดีๆ ต้นไม้ใหญ่ที่แสนจะธรรมดาบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีทองเปล่งประกายเหลืองอร่ามราวกับทองเนื้อดี ส่องแสงวูบวาบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป โดยไล่จากปลายยอดลงมา และสิ่งที่มาแทนที่ก็คือสัตว์ขนาดอุ้งมือสตรีที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ รูปร่างคล้ายเต่าแต่หัวคล้ายมังกรมีเขา บนกระดองมีอักษรจีนโบราณที่ชิงหลินอ่านไม่ออก
"อา...เต่ามังกรไม่ผิดแน่" โจวหยางหมิ่นพึมพำอย่างตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น ก่อนจะลดสายตาลงมองสตรีที่ยืนอยู่อีกฝั่งด้วยความชื่นชม และขอบคุณที่นางทำให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา
ฝ่ายเต่ามังกรก็ไม่ได้ตระหนกตกใจแต่อย่างใด ด้วยล่วงรู้อนาคตดีอยู่แล้ว มันหมุนตัวและค่อยๆ ลอยลงมาหาสตรีที่ยืนอุ้มเจ้าจิ้งจอกน้อยอยู่ ชิงหลินเห็นดังนั้นจึงแบมือรองรับร่างเล็กจ้อยของเต่ามังกรไว้
ชิงหยวนตื่นเต้นยินดีจนเก็บอาการไม่อยู่ เดินเข้ามาหาบุตรีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม มองเต่ามังกรบนฝ่ามือที่บุตรีส่งมาให้ด้วยแววตาเป็นประกายแล้วส่งคืนให้นาง "อา...เจ้ามอบเต่ามังกรให้องค์ชายห้าด้วยตัวเจ้าเองเถิด เพราะมันเป็นผลงานของเจ้า"
"ก็ได้เจ้าค่ะ" ชิงหลินพูดจบก็เดินตรงไปที่องค์ชายห้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วยื่นเต่ามังกรให้องค์ชาย
"ขอบใจ งานนี้จบลงด้วยดีก็เพราะเจ้า" โจวหยางหมิ่นขอบคุณนางจากใจจริง จากนั้นก็เดินทางกลับโดยใช้เส้นทางเดิม ส่วนสององครักษ์ที่สลบไปก็ได้หน่วยพยัคฆ์ดำหิ้วปีกกลับอย่างทุลักทุเลพอควร
"กลับมากันแล้วขอรับท่านแม่ทัพ" จิ๋นซานรายงานมู่หลิ่งเหวินที่นั่งหลับตาเดินลมปราณเพื่อปรับสมดุลร่างกาย ไม่ให้อาการบอบช้ำภายในลุกลามไปยังจุดอื่น
เปลือกตาหนาลืมขึ้นช้าๆ มองกลุ่มคนที่ออกมาจากป่าด้วยสายตาอ่านยาก ด้านหลังมีเฟิ่งอิงและคนอื่นๆ ยืนอย่างสงบเสงี่ยมเป็นระเบียบ แต่สายตากลับฉายชัดถึงความอยากรู้อยากเห็นอย่างเข้มข้น
"สำเร็จหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินถามโจวหยางหมิ่น เมื่อเห็นบุรุษสูงศักดิ์แย้มยิ้มจนถึงดวงตาก็เข้าใจทันที "เช่นนั้นก็ไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป นี่ก็ราวยามอุ้ยแล้ว ถ้าเร่งเดินทางเราอาจจะออกจากหุบเขาได้ก่อนที่ฟ้าจะมืดพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มกล่าวจบก็รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมา พอหันไปก็ทำให้เขาชะงักวูบ ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นพร้อมกับลอบกลืนน้ำลาย
'บัดซบ! ข้า...แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นจะหวาดเกรงสายตาสตรีอ่อนแอได้อย่างไรกัน'
"แล้วเจ้าล่ะ ข้าอยากฟังความเห็นของเจ้า" โจวหยางหมิ่นหันมาถามชิงหลินที่ยืนเยื้องไปด้านหลัง
"หม่อมฉันเห็นด้วยกับท่านแม่ทัพเพคะ" ชิงหลินจำใจเล่นตามน้ำ เพราะไม่อยากหักหน้าคู่หมั้น เป็นเหตุให้มู่หลิ่งเหวินที่ประหลาดใจในคราแรกกับรับสั่งของโจวหยางหมิ่น แปรเปลี่ยนเป็นพอใจที่คู่หมั้นคล้อยตามความคิดของตน
"อา...เช่นนั้นก็ออกเดินทางเถิด" โจวหยางหมิ่นสรุป
การเดินทางออกจากหุบเขาก็เริ่มต้นขึ้นโดยเจ้าเป่าเปาและเจ้าหมั่นโถว สองจิ้งจอกน้อยเป็นผู้นำทาง ส่วนสามผู้บาดเจ็บคือ มู่หลิ่งเหวิน เหมิงอู่ และเหมิงอี้ ก็นอนอยู่ในแคร่หามที่ทำจากไม้ไผ่อย่างจำใจ
โดยเฉพาะมู่หลิ่งเหวินที่ยืนกรานเสียงแข็งในคราแรก ไม่ชอบที่ต้องมานอนให้คนหามต่อหน้าต่อตาคู่หมั้น แต่สุดท้ายก็จำยอมถูกหามแต่โดยดี ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษของนางที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
"ข้าจะดูแลท่านจนกว่าท่านจะหาย หากท่านยอมขึ้นไปนอนบนแคร่นั่นแต่โดยดี"
"เฮ้อ" ผิดกับคนพูดที่เอาแต่ถอนหายใจ ชักนึกเสียใจที่เผลอตกปากรับคำเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จะว่าอารมณ์ชั่ววูบก็ไม่ถูก ในยามนั้นอาการบาดเจ็บเขาดูสาหัสมากจนนางเป็นห่วง แล้วเขาก็ดื้อด้านไม่ฟังใคร นางจึงต้องพูดออกไปแบบนั้น
"หลินหลิน เป็นอะไร กลุ้มใจหรือ" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องถาม
"ไม่มีอะไรหรอก"
แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่เจ้าพยัคฆ์น้อยก็เลือกที่จะเงียบ ด้วยรู้ดีว่าหลินหลินไม่ชอบให้เซ้าซี้
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามภายใต้การนำของสองจิ้งจอกน้อย เหล่าบุรุษทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบคนและหนึ่งสตรี พร้อมด้วยสัตว์ทั้งสี่ที่หายาก ก็ออกมาจากหุบเขากินคนได้สำเร็จ ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน
"ข้าและองครักษ์คงต้องรีบกลับวังก่อน" โจวหยางหมิ่นกล่าว
"กระหม่อมจะให้หน่วยองครักษ์สกุลมู่ห้าสิบนายตามไปคุ้มกันพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินเสนอ
"ขอบคุณมากท่านแม่ทัพ" โจวหยางหมิ่นรับความหวังดี ด้วยหนทางยาวไกลอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้ทุกเมื่อ
"ท่านชิง แม่นางชิง ขอบใจที่ทำงานหนัก หวังว่าวังอู่อ๋องของข้าจะได้มีโอกาสต้อนรับพวกท่านบ้าง" โจวหยางหมิ่นกล่าวกับชิงหยวนและบุตรี ก่อนจะกระโดดขึ้นม้าควบนำ โดยมีสององครักษ์ หน่วยองครักษ์สกุลมู่ห้าสิบนาย และรถม้าที่มีเสี่ยวเปาเป็นสารถีถูกสององครักษ์ที่บาดเจ็บยึดไป
หลังจากขบวนของโจวหยางหมิ่นจากไปแล้ว ก็เหลือหน่วยองครักษ์สกุลมู่เพียงยี่สิบนายและหน่วยพยัคฆ์ดำที่อยู่ครบ ไม่ขาดใครแม้แต่คนเดียว
"นายท่าน นี่ใกล้จะมืดแล้ว ข้าคิดว่าควรหาที่พักเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของท่านแม่ทัพก่อนนะขอรับ" เฟิ่งอิงเสนอความเห็น
"อา...ดีเหมือนกันเจ้าไปบอกให้ทุกคนเตรียมพร้อม เราจะไปพักที่เรือนสายธาร" ชิงหยวนสั่งเฟิ่งอิงเสร็จก็หันมาพยักหน้าให้แม่ทัพหนุ่ม และบุตรีที่อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยให้เตรียมตัวออกเดินทาง
มีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใช่รึเปล่า คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟังจ้า^_^