-22-
ณ เรือนดาวดึงส์ คฤหาสน์สกุลชิง
มู่หลิ่งเหวินกำลังสนทนากับครอบครัวของคู่หมั้นถึงภารกิจที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ แลกกับการได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูเจ้าพยัคฆ์น้อย
"หลินเอ๋อร์ เจ้ามั่นใจหรือว่าจะทำได้สำเร็จ" ชิงฮูหยินเอ่ยถามบุตรีที่นั่งข้างๆ ตนด้วยความเป็นห่วง
"ข้าจะพยายามจนสุดความสามารถเจ้าค่ะ" คนถูกถามยิ้มบางๆ ด้วยไม่ได้รู้สึกกังวลหรือหนักใจมากนัก เพราะเคยวาดภาพแนวนี้มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรือนไทยสมัยโบราณหรือสมัยใหม่ ปราสาทที่มีชื่อเสียงทั่วโลกหรือแม้แต่วัดวาอาราม
อีกอย่าง การวาดภาพตำหนักนี้ นางคิดว่าคงเป็นตำหนักที่คล้ายเรือนไทย เพราะองค์รัชทายาทตรัสกับคู่หมั้นของนาง หลังจากที่ได้นำภาพเรือนไทยที่มอบให้น้องชายของคู่หมั้นไปให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร จนนำมาซึ่งภารกิจที่ยิ่งใหญ่ หากนางทำสำเร็จก็จะได้อยู่กับเจ้าพยัคฆ์น้อยต่อไป เพราะฉะนั้นงานนี้ต้องสำเร็จอย่างเดียวเท่านั้น!
"ท่านป้า โปรดวางใจ หลินเอ๋อร์ต้องทำสำเร็จแน่นอนขอรับ ข้าเชื่อเช่นนั้น" มู่หลิ่งเหวินกล่าวอย่างเชื่อมั่น ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับอยู่ที่ใบหน้าจิ้มลิ้มนิ่ง พร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นยิ้มเล็กน้อย ทำเอาชิงหลินประหม่าจนต้องก้มหน้าหลบสายตาหวานฉ่ำกับรอยยิ้มกระชากใจนั้นแทบไม่ทัน
"หลินหลิน...กลับกลับ ง่วงแล้ว...ง่วงแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่นอนสงบเสงี่ยมอยู่บนตักของหลินหลินมาได้พักใหญ่เงยหัวกลมๆ เล็กๆ บอกนาง วันนี้มันต้องอยู่เฝ้าเรือนอย่างจำใจ เพราะหลินหลินบอกว่าต้องไปในที่ที่พามันไปด้วยไม่ได้ ซึ่งมันก็เข้าใจ
ชิงหลินเงยหน้าขึ้นเพื่อขอตัวกลับเรือนหยกฟ้า แล้วก็ต้องชะงักกับคำพูดของคู่หมั้น
"ท่านลุง ท่านป้า ข้าขอคุยกับน้องสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ" แม่ทัพหนุ่มขออนุญาตผู้อาวุโสทั้งสอง
"อืม ได้สิ หลินเอ๋อร์ พาพี่เขาไปที่เก๋งริมสระบัวเถิด" ชิงหยวนกล่าวกับบุตรีด้วยเข้าใจจุดประสงค์ของแม่ทัพหนุ่มว่าอยากอยู่ลำพังกับบุตรีของตน
"เอ่อ...เจ้าค่ะ" ผู้เป็นบุตรสาวตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจเพราะไม่อยากอยู่กับเขาสองต่อสอง
"เฟิ่งอิง เจ้ากลับไปพักเถิด" ชิงหยวนสั่งห้ามหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำที่ขยับตัวจะตามทั้งสองไป
"ขอรับ" เฟิ่งอิงรับคำสั่งอย่างจำใจ ดวงตาคมเรียวดุหรี่มองร่างสูงและร่างเล็กที่เดินเคียงคู่กัน ก็พลันรู้สึกปวดแปลบที่อกซ้ายราวกับถูกทิ่มแทงด้วยดาบคมกริบ
ที่เก๋งริมสระบัว
"ท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าหรือเจ้าคะ หรือจะเป็นเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่" ชิงหลินถามทันทีเมื่ออยู่เพียงลำพัง จะบอกว่าอยู่เพียงลำพังก็ไม่ถูกนัก ด้านนอกเก๋งยังมีเสี่ยวอี้กับเสี่ยวสุ่ยยืนรับคำสั่งอยู่ ซึ่งทำให้นางหายใจหายคอคล่องขึ้นหน่อย เพราะคิดว่าเขาคงไม่กล้าทำเรื่องไม่งามต่อหน้าบ่าวไพร่อย่างแน่นอน
"อืม" คนถูกถามตอบกลับสั้นๆ
"กังวลว่าข้าจะทำไม่สำเร็จหรือเจ้าคะ"
"ไม่ใช่" แม่ทัพหนุ่มส่ายหน้า เห็นนางทำหน้าคล้ายไม่เชื่อจึงเอ่ย "พี่ไม่ได้กังวลเรื่องสำเร็จหรือล้มเหลว แต่พี่เป็นห่วงเจ้า"
"ห่วงข้า? ห่วงเรื่องอะไรเจ้าคะ" หญิงสาวเอียงคอมองตาใส
"กลัวเจ้าจะทุ่มเทให้แก่งานจนหลงลืมดูแลตัวเองเช่นคราวนั้นอย่างไรเล่า"
"เรื่องนั้นท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะสั่งเสี่ยวอี้เสี่ยวสุ่ยให้คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด หากข้ามุ่งมั่นกับงานนานเกินไปหรือถึงเวลาอาหาร จะให้ทั้งสองดึงพู่กันออกจากมือเจ้าค่ะ" นางชี้แจงให้เขาคลายใจด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้รู้ว่าเขาเป็นห่วงนาง "แต่ถ้าข้าทำงานไม่สำเร็จลุล่วงตามกำหนด…"
"พี่อาจจะโดนโบยสักร้อยทีสองร้อยที หรือไม่ก็ลดตำแหน่งลงสักขั้นสองขั้นกระมัง" เขาตอบอย่างไม่ยี่หระราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คนฟังหน้าซีดใจเสียจนกล่าวไม่ออก
"ขอเพียงเจ้ามุ่งมั่นตั้งใจทำให้เต็มที่ก็พอ ผลเป็นเช่นใดพี่รับผิดชอบเอง เข้าใจหรือไม่"
"ข้าจะทำสุดความสามารถเจ้าค่ะ" ชิงหลินหลบสายตาหวานฉ่ำลึกซึ้งที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนของอีกฝ่าย โดยหลุบตามองมือตัวเองแทนเพื่อปกปิดใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความประหม่า
"ยามซวีแล้ว พี่คงต้องกลับเสียที เจ้ารีบกลับเรือนไปพักผ่อนเถิด" มู่หลิ่งเหวินกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนคนฟังใจแทบละลาย
"ข้าจะเดินไปส่งเจ้าค่ะ" หญิงสาวพลั้งปากออกไปแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตายเสียให้ได้ นางอยากอยู่ห่างๆ เขาไม่ใช่หรือ แล้วที่เสนอตัวไปส่งเขานี่หมายความว่าอะไร
"ไม่เป็นไร เจ้าเหนื่อยล้ามาทั้งวันแล้ว พักผ่อนเสียเถิด"
'หากเจ้าตามไปส่งพี่เกรงว่าจะอดใจไม่ไหวรู้หรือไม่เล่า' เขาเอ่ยในใจแล้วหมุนกายออกไปจากเก๋ง
"อ๊ะ…เดี๋ยวเจ้าค่ะ"
เสียงเรียกของนางทำให้ร่างสูงที่ก้าวไปได้สองก้าวชะงักกึก หันกลับมามองร่างเล็กที่อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยเดินเข้ามาหาตน แล้วกระซิบด้วยถ้อยคำที่ทำให้เขากลับจวนพร้อมหัวใจที่เป็นสุข
"ขอบคุณท่านอีกครั้ง ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ"
ยามซื่อวันต่อมา
ฉีเฟยหลงส่งรถม้ามารับชิงหลินไปวังตะวันออกเพื่อเริ่มภารกิจใหญ่ที่ต้องทำร่วมกัน ดังนั้นยามนี้คฤหาสน์สกุลชิงจึงเหลือเพียงชิงหยวนและชิงฮูหยินซึ่งกำลังต้อนรับกลุ่มบุรุษแปลกหน้าสามคนที่มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย
"ข้า...อู่ต้าสง ขออภัยที่มารบกวน" อู่ต้าสงเป็นบุรุษวัยกลางคน รูปร่างผอมบาง แต่งตัวภูมิฐานคล้ายบัณฑิตมากกว่าจะเป็นนักรบ ข้างหลังของอู่ต้าสงเป็นชายฉกรรจ์สองคนหน้าตาดุดันน่ากลัว ที่กำลังเล่นสงครามประสาทกับปาฉีและปาเฉียนที่มารับหน้าที่คอยคุ้มกันนายท่านแทนหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเฟิ่งอิง ซึ่งยามนี้ติดตามคุณหนูไปที่วังองค์รัชทายาทตามคำสั่งของนายท่าน
"เอ่อ...มิกล้าๆ แล้วท่านอู่มีธุระอันใดกับข้าหรือ" ชิงหยวนถามเข้าประเด็นทันที
"ข้าอยากให้ช่วยตามหาของสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ..."
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบชิงหยวนก็ทำท่าคัดค้านเสียแล้ว "ว่าอย่างไรนะ ของแบบนั้น..."
'ของแบบนั้น...บุรุษผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ' ชิงหยวนรำพึงในใจ ใบหน้าคร้ามแดดมีความลำบากใจและหนักใจปรากฏชัดเจน
"ค่าจ้างให้ท่านเป็นผู้เสนอ และหากงานนี้สำเร็จก่อนวันที่เก้าเดือนเก้า เรามีเงินรางวัลพิเศษอีกหนึ่งหมื่นตำลึงทอง" อู่ต้าสงเอาเงินรางวัลมาเป็นตัวล่อ เพราะคิดว่าชิงหยวนต้องรีบตะครุบเงินรางวัลมหาศาลนี้อย่างแน่นอน
"ข้าขอปฏิเสธ ต่อให้ท่านเสนอเงินรางวัลมากกว่านี้สิบเท่าข้าก็ไม่อาจรับงานนี้ได้ เชิญท่านไปจ้างคนอื่นเถิด" ชิงหยวนปฏิเสธเสียงแข็ง แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นกับท่าทีคุกคามและกดดันของอีกฝ่ายอยู่บ้าง
"อย่าเพิ่งใจร้อน ช่วยไตร่ตรองใหม่อีกครั้ง พรุ่งนี้ข้าจะกลับมาฟังคำตอบ ข้าขอตัว" อู่ต้าสงกล่าวทิ้งท้ายแล้วหมุนกายจากไป
"ท่านพี่ เราจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ" ชิงฮูหยินเอ่ยถามสามี ใบหน้างามเต็มไปด้วยร่องรอยของความกังวล
"เฮ้อ คงต้องปฏิเสธไป จะให้ชื่อเสียงของสกุลชิงต้องมาเสื่อมเสียเพราะเรื่องนี้ไม่ได้" ชิงหยวนพูดพลางถอนใจยาว ภายในใจหนักอึ้งราวกับถูกทับด้วยภูเขาลูกใหญ่ ได้แต่ภาวนาว่าหากปฏิเสธไปแล้วจะไม่มีเหตุร้ายตามมาภายหลัง ด้วยคนกลุ่มนั้นดูจะไม่ใช่ผู้ว่าจ้างธรรมดา และชายที่ชื่ออู่ต้าสง...เหมือนตนจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่จากที่ใดกัน เฮ้อ...น่าปวดหัวเสียจริง ชิงหยวนครุ่นคิด
ยามอิ่ว ณ เรือนดาวดึงส์
ชิงหลินกับเฟิ่งอิงกลับมาถึงเรือนก่อนหน้าราวครึ่งชั่วยาม และตอนนี้นางกำลังกินอาหารร่วมกับครอบครัว สายตาเจ้ากรรมก็ดันสังเกตเห็นว่าบิดามีท่าทางเคร่งเครียดคล้ายมีเรื่องหนักอกหนักใจที่แก้ไม่ตก แต่ก็เลือกที่จะเงียบเพื่อรอดูสถานการณ์
ส่วนเฟิ่งอิงที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูฝั่ง ตรงข้ามคือปาฉีและปาเฉียน หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำมองนายท่านด้วยความเป็นห่วง เพราะได้รับรายงานจากปาฉีถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อกินอาหารเสร็จ ชิงหลินก็ถูกเรียกไปที่ห้องทำงานของบิดา
"ท่านพ่อ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ" หญิงสาวถามทันทีที่เดินเข้ามา สามบุรุษรีบลุกขึ้นหลีกทางให้นางนั่งลงข้างนายท่าน
"พวกเจ้านั่งลงเถิด เจ้าคือปาฉี ส่วนเจ้าคือปาเฉียน ใช่หรือไม่" นางถามสองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างเฟิ่งอิง
"ขอรับคุณหนู / ขอรับคุณหนู" ปาฉีกับปาเฉียนตอบนางพร้อมกับหย่อนกายลงนั่งถัดจากเฟิ่งอิง
"อืม ขอบใจที่คอยดูแลท่านพ่อและคนสกุลชิง หากขาดเหลืออะไรขอให้บอก ข้าจะช่วยเต็มที่" ชิงหลินกล่าวกับรองหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำและปาเฉียนซึ่งเป็นน้องชาย
"ขอบคุณขอรับคุณหนู" เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองตอบพร้อมกัน ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจจนแทบจะกล่าวขอบคุณออกมาไม่ได้ เพราะเป็นครั้งแรกที่คุณหนูพูดเช่นนี้กับตนและน้องชาย
"เอาละๆ เข้าเรื่องได้แล้ว" ชิงหยวนโบกมือไปมาแล้วเอ่ยเสียงเครียด "หลินเอ๋อร์ วันนี้มีผู้ว่าจ้างด้วยเงินมหาศาล มาจ้างให้เราหาของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง..." ชิงหยวนกล่าวพร้อมกับดูปฏิกิริยาของบุตรีไปด้วย
"ของที่ทำให้ท่านพ่อหนักใจมากขนาดนี้คงต้องเป็นของที่หายากมากๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ" ชิงหลินสันนิษฐาน
"ถูกต้อง"
"แล้วของที่ว่าคืออะไรหรือเจ้าคะ"
"เต่ามังกร"
"เต่ามังกร?. ท่านพ่อหมายถึงเต่าที่มีหัวเป็นมังกรแต่มีลำตัวเป็นเต่า?" คำพูดของนางทำให้สี่บุรุษหันมามองด้วยสายตาประหลาดใจและทึ่ง เพราะมิคาดคิดว่านางจะรู้จักสัตว์ในตำนานเช่นนี้ได้
ความจริงนางในภพก่อนเคยอ่านในอินเทอร์เน็ตถึงความหมายของมงคลทั้งสี่สิบสี่ชนิดตามความเชื่อแบบจีน แต่ไม่คิดว่าจะมีคนมาจ้างให้ตามหามัน
ชิงหยวนลุกพรวด สองมือเท้าโต๊ะพลางถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เมื่อมองเห็นความหวังรำไร "เจ้ารู้จักหรือ แล้วเคยพบเห็นมาก่อนหรือไม่"
"ไม่เคยหรอกเจ้าคะ. ลูกแค่เคยอ่านเจอในหนังสือเท่านั้น" ชิงหลินส่ายหน้าตอบความจริงเพียงครึ่งเดียว
"เช่นนั้นหรอกหรือ เฮ้อ เห็นที่พรุ่งนี้คงต้องตอบปฏิเสธ" ชิงหยวนทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ความหวังอันน้อยนิดหายไปในพริบตา
"นายท่านคิดจะปฏิเสธจริงหรือขอรับ" เฟิ่งอิงถาม
"อืม หรือเจ้ามีหนทางอื่น" ชิงหยวนย้อนถาม
เฟิ่งอิงส่ายหน้าจนใจ เช่นเดียวกับปาฉีและปาเฉียนที่ไม่รู้จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ชิงหลินเองก็ไร้ซึ่งหนทางเช่นกัน ร่างเล็กกลับเรือนหยกฟ้าด้วยอาการเหม่อลอย ก่อนจะผล็อยหลับไป
"นังหนู นังหนู ตื่นสิโว้ย นี่แน่ะ"
เผียะๆ!
"โอ๊ย! เจ็บ!" วิญญาณของช่อลดาหลุดออกมาจากร่างของชิงหลิน หลังถูกดีดหน้าผากโดยท่านยมเจ้าเก่า
"มันเจ็บนะ ทำไมชอบดีดหน้าผากฉันอยู่เรื่อยเลยท่านยม" วิญญาณของช่อลดาตัดพ้อ
"เฮอะ! ก็เจ้ามันขี้เซาเหลือเกิน ข้าเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น" ท่านยมเท้าเอวตอบช่อลดา
"แล้วท่านมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ" ช่อลดาถามจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
"ต้องมีสิ คิดว่าข้าว่างนักหรือไง"
ท่านยมตอบได้อย่างน่าหมั่นไส้จนมุมปากช่อลดากระตุก
"แล้วท่านมีอะไรกับอิฉัน เชิญท่านรีบชี้แจงแถลงไขเถอะเจ้าค่ะ" ช่อลดาแกล้งกวนประสาทกลับบ้าง
"นี่แน่ะ" ท่านยมเคาะศีรษะเธอทีหนึ่ง
"โอ๊ย! ท่านจะฆ่าฉันหรือไง เจ็บนะ ทุบมาได้" ช่อลดาโอดครวญพลางคลำศีรษะตัวเองป้อยๆ
"เฮอะ สมน้ำหน้า" ท่านยมเชิดหน้าตอบ จึงถูกช่อลดาค้อนให้วงใหญ่
"ข้าจะมาบอกเจ้าว่า เจ้าต้องหัดใช้พลังสื่อสารทางจิตได้แล้ว ไม่เช่นนั้นอันตรายใหญ่หลวงจะมาสู่ตัวเจ้าและครอบครัว"
"พลังสื่อสารทางจิต? หมายถึงให้ข้าฝึกใช้พลังจิตสื่อสารกับสัตว์แทนการพูดคุยออกเสียง?" ช่อลดาเดาสุ่ม
"เจ้าก็ไม่โง่นี่ ใช่ ตามนั้นแหละ"
คำตอบกวนๆ ทำให้มุมปากช่อลดากระตุกอีกครั้ง อยากจะสวนกลับแต่ก็กลัวลูกทุบอันตรายนั่น
"อีกเรื่อง ข้าได้ข่าวว่าครอบครัวเจ้ากำลังลำบาก" ท่านยมเอ่ย
"ท่านรู้ด้วยหรือ" ช่อลดาถามอย่างแปลกใจ
"กลับมาโง่อีกแล้ว ข้าเป็นใคร หรือเจ้าลืมไปแล้ว" ท่านยมเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
"ขอโทษค่า" ช่อลดากัดฟันกรอดๆ 'คำก็โง่ สองคำก็โง่'
"เต่ามังกรเป็นสัตว์ในตำนาน อาศัยอยู่ในใจกลางหุบเขากินคน ซึ่งอยู่บริเวณชายแดนแคว้นฉีกับแคว้นโจว เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งอายุยืน ตั้งใจมุมานะนำไปสู่ความก้าวหน้าและความสำเร็จอย่างมั่นคงยืนยาว เพิ่มพูนทรัพย์สินเงินทอง และยังช่วยคุ้มภัยจากสิ่งชั่วร้าย เป็นลูกตัวที่เก้าของพญามังกร ที่มีหัวเป็นมังกรแต่มีลำตัวเป็นเต่า และเป็นสุดยอดความปรารถนาของมนุษย์ที่อยากมีไว้ครอบครอง" ท่านยมอธิบายยืดยาวด้วยน้ำเสียงโอ้อวด
"หมายความว่าเต่ามังกรมีจริง?" ช่อลดาถามเพื่อความแน่ใจ
"ใช่ ข้ามาบอกเจ้าแค่นี้แหละ ส่วนเจ้าจะทำอย่างไรต่อก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า ข้าไปก่อนละ" กล่าวจบท่านยมก็หายวับไปทันที
เฮือก!
ช่อลดาสะดุ้งเฮือกกลางดึก นอนลืมตาโพลงอย่างครุ่นคิด
'จู่ๆ ก็มาบอกให้ฝึกฝนพลังจิตได้แล้ว มันยังไงกันแน่ หรือว่าที่ผ่านมาเป็นท่านยมที่ใช้พลังปิดกั้นความสามารถด้านนี้ของเราเอาไว้ หรือเราเพิ่งจะได้รับการยอมรับให้ใช้พลังจิตได้'
ชิงหลินก้มมองเจ้าพยัคฆ์น้อยที่นอนขดตัวอยู่ข้างๆ เสียงกรนเบาๆ บอกให้รู้ว่ามันกำลังหลับสนิท นางค่อยๆ ลงจากเตียง คว้าเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวหนามาคลุมทับชุดนอนสีขาวบาง จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องออกไปจากห้องตรงไปที่เก๋งริมสระบัวเช่นเคย เพราะคิดว่าคงนอนไม่หลับอีก ถ้าไม่ได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์
นางเลือกนั่งพิงเสาเก๋งด้านหน้าสระ เท้าทั้งสองเหยียดตรงไปข้างหน้า สองมือกอดอก ดวงตากลมโตเหม่อมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย
'เต่ามังกรอยู่ใจกลางหุบเขากินคน แค่ชื่อก็น่ากลัวแล้ว แล้วอย่างนี้เราควรบอกท่านพ่อหรือไม่ควรบอกดี แต่ดูเหมือนท่านพ่อจะอยากรับงานนี้ อีกอย่าง ผู้ว่าจ้างนั่นคงจะมีอิทธิพลไม่น้อยเลยถึงกดดันท่านพ่อได้มากขนาดนี้'
ก่อนยามเฉินราวครึ่งชั่วยาม ณ เรือนหยกฟ้า
ชิงหลินตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลียเนื่องจากนอนน้อยเพราะมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องในฝัน
"หลินหลิน ฟานฟาน...ตื่นแล้ว...ตื่นแล้ว" เจ้าพยัคฆ์ร้องทักทายนาง ชิงหลินทำท่าจะส่งเสียงทักทายกลับ พลันนึกถึงคำพูดของท่านยมได้ นางนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลองถามมันทางจิต "อืม ข้ากลับเรือนมาได้อย่างไร"
"หลินหลิน ปากปาก...ไม่ขยับ...ไม่ขยับ" เจ้าพยัคฆ์น้อยประหลาดใจ
"ใช่ แล้วเจ้าได้ยินใช่หรือไม่" นางถามต่อทางจิต
"ฟานฟาน...ได้ยิน...ได้ยิน" เจ้าพยัคฆ์ผงกหัวกลมๆ เล็กๆ หลายครั้งติดกัน
"เยส! สำเร็จ" ชิงหลินร้องออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ บทจะง่ายก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก
เสียงของชิงหลินทำให้เสี่ยวอี้กับเสี่ยวสุ่ยที่กำลังเตรียมน้ำอาบต้องชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยความตกใจและประหลาดใจ ชิงหลินจึงหัวเราะกลบเกลื่อน ทำทีเป็นเล่นกับเจ้าพยัคฆ์น้อยแก้เขิน
"คุณหนู น้ำอาบเตรียมไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ" เสี่ยวอี้เดินเข้ามาหาคุณหนูที่เตียง
"อืม ข้ารู้แล้ว" ชิงหลินลุกขึ้นไปยังหลังฉากกั้นเพื่ออาบน้ำทันที
ยามเฉิน ณ เรือนดาวดึงส์ หลังอาหารเช้าผ่านไป
"ท่านพ่อ กังวลเรื่องนั้นอยู่หรือเจ้าคะ" หญิงสาวถามบิดาที่มีสีหน้าเคร่งเครียดและอิดโรยจนขอบตาดำคล้ำ
"อืม พ่อไม่สนเรื่องรางวัลค่าจ้าง เพียงแต่...หากปฏิเสธไป เกรงว่าเรื่องจะไม่จบลงง่ายๆ" ชิงหยวนตอบแล้วถอนใจยาว คิ้วดาบขมวดมุ่นด้วยความกลุ้มใจ
"คนพวกนั้นเป็นใครหรือเจ้าคะ" ชิงหลินถาม
"ยังไม่รู้แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่คนแคว้นฉีอย่างแน่นอน" ชิงหยวนตอบบุตรสาว
"แล้วท่านพ่อจะทำอย่างไร จะปฏิเสธหรือเจ้าคะ"
"อืม คงต้องเป็นเช่นนั้น" ชิงหยวนนั่งพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลง สองมือกดคลึงขมับเพราะรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมากะทันหัน
"เอ่อ...ท่านพ่อ คือว่า..."
"หือ เจ้ามีอันใดก็ว่ามาเถิดหลินเอ๋อร์" ชิงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ฟังดูเกียจคร้านทั้งที่ยังหลับตาและกดคลึงขมับ
"ท่านพ่อรู้จักหุบเขากินคนหรือไม่เจ้าคะ"
"หือ หุบเขากินคน รู้จักสิ ทำไมหรือ" ชิงหยวนลืมตาขึ้น นั่งหลังตรงแล้วเอาแขนทั้งสองวางบนโต๊ะ
"เอ่อ...เมื่อคืน...ลูกอ่านเจอในหนังสือเก่าเล่มหนึ่งเจ้าค่ะ" ชิงหลินเริ่มต้นกล่าวมุสา
"แล้วอย่างไรต่อ รีบพูดมาเร็วเข้า" ชิงหยวนเร่งเร้า น้ำเสียงและท่าทางดูร้อนรนระคนตื่นเต้น คาดเดาไปว่าบุตรีต้องรู้อันใดบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเต่ามังกรเป็นแน่
ฝ่ายชิงฮูหยินซึ่งนั่งอีกข้างของสามีเลิกคิ้วเรียวมองบุตรีด้วยความประหลาดใจ หลังจากที่บุตรีของนางฟื้นขึ้นมาก็มีเหตุการณ์ประหลาดๆ เกิดขึ้น และบุตรียังเป็นผู้ที่ช่วยให้รอดจากวิกฤตินั้นมาได้ ทั้งนิสัยใจคอ กิริยามารยาท และคำพูดคำจาก็ล้วนแปลกแตกต่างจากที่เคยเป็น แม้จะติดใจสงสัยมากเพียงใดแต่นางก็ไม่มีความคิดที่จะเรียกบุตรีมาซักถามหรือคอยจับผิด ด้วยนางชื่นชอบที่บุตรีเป็นเช่นนี้มากกว่า
"เอ่อ...ในนั้นเขียนไว้ว่าเต่ามังกรอาศัยอยู่ใจกลางหุบเขากินคนเจ้าค่ะ" ผู้เป็นบุตรสาวกล่าวมุสาต่ออย่างแนบเนียน
"ท่านพี่ แค่ตำราเล่มเดียว จะเชื่อถือได้หรือ" ฮูหยินหันมาถามสามี
"มันก็จริง แต่เมื่อเจอเบาะแสชี้ชัดเจาะจงถึงเพียงนี้ ไม่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงหรือ" ชิงหยวนย้อนถามฮูหยินของตน
"ท่านพี่พูดมาก็ถูก แต่เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา หุบเขากินคนเป็นสถานที่ที่อันตรายยิ่งนัก แม้แต่กองทัพฉีและแคว้นโจวยังหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ในการเดินทัพ" ชิงฮูหยินกล่าว
"อันตรายถึงขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ" ชิงหลินถาม
"ใช่ เมื่อก่อนกองทัพฉีต้องการยกทัพไปตีเมืองหน้าด่านของแคว้นโจว ซึ่งเป็นเหมืองแร่ทองคำที่อยู่ติดชายแดนแคว้นฉีของเรา โดยคิดจะใช้เส้นทางลัดผ่านหุบเขากินคน แต่กองทัพนับหมื่นกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย สร้างความหวาดผวาแก่ผู้คนทั้งสองแคว้น จนได้รับขนานนามว่าหุบเขากินคนนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา" ชิงหยวนอธิบาย
ชิงหลินได้ฟังแล้วก็อดขนลุกไม่ได้ คนนับหมื่นหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร มันเหมือนปรากฏการณ์สามเหลี่ยมเมอร์บิวดาที่เคยดูในยูทูบเลย
"แล้วท่านพี่คิดจะไป?" ชิงฮูหยินถามสามี
"อืม อุตส่าห์มีข้อมูลที่เชื่อถือได้อยู่ในมือแล้วยังเพิกเฉย จะสมเป็นคนสกุลชิงได้อย่างไรเล่า" ชิงหยวนกล่าวด้วยท่าทีฮึกเหิม
"ท่านพ่อจะไปด้วยหรือเจ้าคะ" ชิงหลินถามเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นกระตือรือร้นของบิดา
"แน่นอน งานใหญ่เช่นนี้จะปล่อยให้เด็กๆ ทำได้อย่างไร"
"แล้วท่านพี่จะออกเดินทางเมื่อใดหรือ" ชิงฮูหยินเป็นฝ่ายถามบ้าง ไม่เอ่ยคัดค้านด้วยรู้นิสัยของสามีดีว่า หากตัดสินใจจะทำแล้วไม่มีวันยกเลิกหรือยอมแพ้เด็ดขาด
"อืม เรื่องนี้คงต้องคุยกับท่านอู่ก่อน แล้วค่อยกำหนดวันเดินทางอีกที"
"ไปหลังจากที่ถวายรูปเขียนให้ฮ่องเต้ได้หรือไม่เจ้าคะ" ชิงหลินอยากไปด้วยจึงลองถามบิดา
"ทำไม เจ้าอยากไปด้วยหรือ" ชิงหยวนย้อนถาม
"เจ้าค่ะ ลูกอยากไป..." บุตรสาวพูดยังไม่ทันจบคำ
"ไม่ได้ ข้าขอค้าน เจ้าเป็นหญิง จะไปเสี่ยงอันตรายเยี่ยงบุรุษได้อย่างไร" ชิงฮูหยินคัดค้านเสียงแข็ง ส่งสายตาตำหนิบุตรีที่เห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน
"อืม พ่อเห็นด้วยกับคำของแม่เจ้า งานนี้อันตรายเกินไป เจ้าอยู่ที่นี่แล้วทำภารกิจของเจ้าไปเถิด" ชิงหยวนกล่าวกับบุตรี
"เจ้าค่ะ"
ชิงหยวนยิ้มพอใจที่บุตรีเชื่อฟัง ยกมือขึ้นลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดู พลางคิดในใจ 'หลินเอ๋อร์ของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ'
"เรียนนายท่าน แม่ทัพมู่กับคุณชายน้อยมู่มาขอพบขอรับ" พ่อบ้านฝูเดินเข้ามารายงาน
"หือ มาแต่เช้าเชียวหรือ รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้า" ชิงหยวนโบกมือบอกพ่อบ้านฝู
"คารวะท่านลุง ท่านป้า" มู่หลิ่งเหวินทักทาย วันนี้แม่ทัพหนุ่มมาในอาภรณ์ลำลองสีน้ำเงินเข้มรัดรูปจนเห็นเอวสอบและกล้ามเนื้อปรากฏชัดเจน ท่อนแขนใหญ่แข็งแรงพันด้วยแถบหนังขนาดหนึ่งชุ่นทบไปทบมาหลายรอบทำให้ดูทะมัดทะแมง ผมเกล้าสูงเก็บเรียบร้อยเช่นทุกครั้ง ช่วยเพิ่มให้ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนยิ่งงดงามน่าหลงใหลมากขึ้นเป็นทวีคูณ
"เฟิงเอ๋อร์คารวะท่านลุง ท่านป้า พี่หลินเอ๋อร์" มู่หลิ่งเฟิงประสานมือเคารพ วันนี้คุณชายน้อยมู่อยู่ในอาภรณ์สีท้องฟ้าดูสดใส ผมเกล้าสูงเก็บเช่นเดียวกับพี่ชาย ใบหน้างดงามแย้มยิ้มอย่างมีความสุข ดวงตาเปล่งประกายสุกใสเมื่อเห็นว่าที่พี่สะใภ้และเจ้าพยัคฆ์น้อยเดินเข้ามาอยู่เบื้องหน้าตนและกำลังแหงนมองตนอยู่
"ตามสบายหลานชายทั้งสอง" ชิงหยวนผายมือให้อย่างรู้มารยาท โดยมีชิงฮูหยินส่งยิ้มเอ็นดูมาให้
"หลินเอ๋อร์ คารวะท่านแม่...เอ่อ...พี่เหวิน น้องเฟิงเอ๋อร์" ชิงหลินก็ลุกขึ้นยอบกายทักทายคู่หมั้น แล้วหันไปยิ้มให้เด็กน้อย
"มาแต่เช้า มีธุระอันใดหรือ" ชิงหยวนเอ่ยถามแม่ทัพหนุ่มที่นั่งข้างตน แทนฮูหยินที่เสียสละไปนั่งข้างๆ คุณชายน้อยมู่ ซึ่งกำลังเกาคางให้เจ้าพยัคฆ์น้อยที่ขึ้นไปนั่งบนตักของหลินหลินเรียบร้อยแล้ว
"ท่านลุง เฟิงเอ๋อร์อยากเรียนรู้ศิลปะการใช้ดินสอถ่านไม้จากหลินเอ๋อร์ขอรับ" มู่หลิ่งเหวินเหลือบมองหน้าคู่หมั้นแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปสนทนากับผู้อาวุโส
"หือ อยากฝากตัวเป็นศิษย์หรือ" ชิงหยวนเลิกคิ้วถาม ใบหน้าคร้ามแดดแย้มยิ้มภูมิใจในตัวบุตรี
"ขอรับท่านลุง ข้าอยากฝากตัวเป็นศิษย์กับพี่หลินเอ๋อร์" มู่หลิ่งเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงจัง
"ศิษย์อาจารย์อะไรกัน ไม่เอาหรอก แต่ข้าจะสอนให้หมดสิ้นเลย เช่นนี้ดีหรือไม่" ชิงหลินปฏิเสธยิ้มๆ พลางมองเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนและเอ็นดู
"เอ่อ...ข้าแล้วแต่พี่หลินเอ๋อร์ขอรับ" คุณชายน้อยเหลือบมองพี่ชาย เมื่อเห็นพี่ชายพยักหน้าให้จึงหันมากล่าวกับว่าที่พี่สะใภ้
มู่หลิ่งเหวินยกยิ้มพอใจ ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องที่ใบหน้าจิ้มลิ้มนิ่ง มิมีอันใดผิดสังเกต หารู้ไม่ว่านี่เป็นแผนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ให้น้องเล็กคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวและกีดกันบุรุษอื่นที่เข้ามาใกล้คู่หมั้น ส่วนน้องชายก็ได้เรียนศิลปะจากนาง ซ้ำยังได้เปิดหูเปิดตาอีกทางหนึ่ง
"เอ่อ...ท่านพ่อ เฟิ่งอิงไปไหนหรือเจ้าคะ ลูกไม่เห็นเขาเลย"
คำถามของคู่หมั้นทำเอาใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนที่กำลังอมยิ้มอยู่ชะงักค้าง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตึงขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ คู่หมั้นนั่งอยู่ทนโท่ เหตุใดนางจึงกล้าเรียกหาบุรุษอื่นต่อหน้าตนได้ น่าตายนัก! มู่หลิ่งเหวินสบถในใจ
"พ่อวานให้ไปทำธุระให้ วันนี้คงต้องให้พยัคฆ์ดำคนอื่นไปคุ้มครองเจ้าแทน" ชิงหยวนชี้แจง
"ท่านลุง ข้าขออาสาทำหน้าที่นี้ได้หรือไม่ขอรับ" แม่ทัพหนุ่มรีบฉวยโอกาสทองทันที
"ได้ เช่นนั้นก็ดี ลุงฝากหลินเอ๋อร์ด้วย" ชิงหยวนพยักหน้าอนุญาต
"โปรดวางใจ ข้าจะดูแลนางอย่างดีขอรับ"
จากนี้จะอัพวันละ 2 ตอนohk เพราะ 10 ตอนดูจะมากเกินไป กลัวรีดอ่านไม่ไหว^_^