เฟิ่งอิงมองใบหน้าจิ้มลิ้ม เห็นว่านางสำนึกผิดและกล่าวขอโทษอย่างจริงใจก็ถอนใจยาวพลางกล่าว "ข้าน้อยมิกล้าขอรับ คุณหนูเป็นนาย ข้าน้อยเป็นเพียงบ่าว มีสิทธิ์อันใดไปโกรธเคืองท่านกัน" พอกล่าวออกไปก็นึกแปลกใจตนเอง ว่าเหตุใดต้องกล่าวถ้อยคำที่เหมือนตัดพ้อเช่นนั้น คิดได้ดังนั้นเลยลอบมองดูปฏิกิริยาของนาง ก็พลันประหลาดใจกับรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจของนาง
"เฟิ่งอิง ข้ามีของจะให้เจ้า หลับตาสิ"
"ของ? แล้วเหตุใดต้องให้ข้าน้อยหลับตา"
"กล้าขัดคำสั่งข้าหรือ"
"ข้าน้อยมิกล้า เพียงแต่..."
"งั้นก็รีบหลับตา เร็วเข้า!" คำสั่งของเจ้านายข้ารับใช้เช่นเขาไหนเลยจะกล้าขัด เฟิ่งอิงจึงหลับตาลงอย่างไม่เต็มใจนัก
"ห้ามลืมตาจนกว่าข้าจะบอก และห้ามขยับด้วย"
เฟิ่งอิงพยักหน้ารับ แต่กลับขมวดคิ้วเข้มด้วยความไม่สบายใจ เพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่านางจะทำอันใดกับตน
ชิงหลินอมยิ้มพอใจที่เห็นเขายอมทำตาม และอดขำไม่ได้กับความเป็นคนขี้ใจน้อยของเขา ใครเล่าจะไปคิดว่าผู้ชายตัวโตยังกับตึกจะขี้งอนขี้น้อยใจเหมือนเจ้าฟานฟานน้อยของนางอย่างนี้ "ห้ามลืมตานะ!" กำชับเสียงเข้มเมื่อเห็นเขาขยับตัวทำท่าจะลืมตา แล้วหันไปค้นหาบางอย่างในหีบผ้าของตนต่อ พอเจอสิ่งที่ต้องการก็เดินกลับมานั่งที่เดิมแล้วเอ่ย "ยื่นมือมาสิ อย่าเพิ่งลืมตานะ"
เฟิ่งอิงยื่นมือขวาออกมา คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสงสัย เมื่อมีบางสิ่งวางลงตรงกลางฝ่ามือก็ลืมตาขึ้นมองทันทีที่นางอนุญาต
"นี่มัน...ถุงเครื่องหอม" เฟิ่งอิงมองถุงเครื่องหอมใบเล็กเพียงครึ่งฝ่ามือสีเงินเงางาม ปักรูปพยัคฆ์สีดำอย่างประณีตอยู่ตรงกลางทั้งสองด้าน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาแตะนาสิกช่วยลดความตึงเครียดภายในใจได้อย่างดีเยี่ยม เขายอมรับอย่างหมดใจว่าถูกใจและชื่นชอบถุงหอมนี้ยิ่งนัก
"ใช่ ของขวัญวันเกิดจากข้า" ชิงหลินยิ้มยามที่เฉลย มือซ้ายเท้าคาง มือขวาลูบขนฟานฟานน้อยที่ตอนนี้นอนราบอยู่บนโต๊ะ รออาหารอย่างใจจดใจจ่อ
"ของขวัญวันเกิด? ท่านทราบได้อย่างไรว่าวันนี้เป็นวันเกิดของข้า" เฟิ่งอิงเลิกคิ้วถาม เพราะจำได้ดีว่ามีเพียงนายท่านผู้เดียวที่รู้วันเกิดของตน หรือว่า...
"ใช่ ท่านพ่อบอกข้าเอง ดังนั้นข้าจึงทำถุงหอมนี้ให้เจ้า ถุงหอมนี้ข้าใส่สมุนไพรที่ช่วยในการนอนหลับด้วย หวังว่าเจ้าจะชอบ" เหตุผลที่เลือกทำถุงเครื่องหอมให้ เพราะสังเกตว่าเขาไม่พกของพวกนี้เลย และน่าจะมีอาการนอนไม่ค่อยหลับด้วย นางรู้ได้อย่างไรน่ะหรือ ก็ขอบตาที่เหมือนหมีแพนด้านั่นอย่างไรล่ะ
"ขอบคุณขอรับ ข้าจะเก็บรักษาอย่างดี" เฟิ่งอิงเลือกที่จะเก็บถุงเครื่องหอมไว้ในอกเสื้อ แทนที่จะแขวนเช่นบุรุษอื่น พลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้นาง รอยยิ้มที่นานๆ ครั้งจะได้เห็น
"เฮ้อ ค่อยยังชั่ว หายโกรธแล้วใช่หรือไม่" ชิงหลินพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน
เฟิ่งอิงพยักหน้าโดยที่รอยยิ้มยังคงอยู่ และดูท่าจะไม่จางหายไปง่ายๆ เช่นทุกครั้ง ความรู้สึกแปลกๆ เริ่มจู่โจมเฟิ่งอิงอีกครั้ง มันทั้งรุนแรงและทรงอานุภาพยิ่งกว่าที่ผ่านมา จนสามารถทลายเกราะน้ำแข็งที่ห่อหุ้มใจให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้! เมื่อตระหนักได้ดังนั้น...
คิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากันแน่น รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าคมเข้มทันที ความเจ็บปวดปรากฏอยู่ในดวงตาคมเรียวดุ เฟิ่งอิงก้มหน้าลงหลบสายตาสตรีตรงหน้า เพื่อปกปิดความรู้สึกหวั่นไหวที่คุกคามหัวใจน้ำแข็งที่ปราศจากเกราะแข็งแรงคุ้มกันอย่างสุดกำลัง
"คุณชาย อาหารพร้อมแล้วเจ้าค่ะ"
"อืม รีบนำมาเร็วเข้า" ชิงหลินรีบบอก
"อาหาร กินกิน หิวหิว" ฟานฟานน้อยลุกขึ้นยืนสี่ขา ตากลมๆ เล็กๆ สีเทาเป็นประกายจับจ้องอาหารที่นางกำนัลทยอยยกเข้ามา กลิ่นหอมของอาหารทำเอาน้ำลายหยดลงบนโต๊ะ
เห็นมันมีอาการตะกละจนออกนอกหน้าแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าระอา ก้มลงกระซิบที่หูมันเบาๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต "เด็กดี รออีกเดี๋ยวนะ"
ด้วยก่อนหน้านี้ที่รีบไปหาหัวหน้าผู้ดูแลอาชาสวรรค์ เพราะอยากถามว่าพวกเขาเห็นสิ่งที่นางทำมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคำตอบของเขาก็ทำให้นางสบายใจขึ้น ที่อย่างน้อยความลับเรื่องที่นางพูดคุยกับสัตว์ได้ยังไม่ถูกเปิดเผย ที่วังนี้จึงมีเพียงองค์รัชทายาทและองครักษ์ของพระองค์ที่รู้อยู่ก่อนแล้วเท่านั้น
นางยังเสียเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง เพราะเขาเอาแต่เซ้าซี้ถามถึงวิธีสยบอาชาสวรรค์ จนนางลำบากใจและรำคาญในเวลาเดียวกัน จะให้บอกว่านางสื่อสารกับพวกมันได้ มีหวังโดนหัวเราะเยาะและหาว่าเพี้ยนเป็นแน่!
"ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้แล้วละ" หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง เพราะถ้าเป็นเรื่องของพวกมันทีไร นางเป็นต้องลืมตัวทุกที
เฟิ่งอิงมองหญิงสาวคีบอาหารเข้าปากสลับกับบ่นพึมพำกับตนเอง ก็สงสัยนักแต่ไม่ได้เอ่ยถาม ด้วยเป็นมารยาทพื้นฐานที่ห้ามพูดคุยกันเวลากินอาหาร
ฝ่ายเจ้าฟานฟานน้อยที่กินอาหารอยู่บนพื้นเงยหัวขึ้นมาจากชามนมแพะ มองหลินหลินของมันที่จ้องอกเสื้อของเฟิ่งอิงซึ่งเก็บของที่หลินหลินให้อย่างไม่พอใจนัก
หลังมื้อกลางวันผ่านไป เฟิ่งอิงก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน ชิงหลินเลือกที่จะเดินย่อยในสวนด้านหน้าตำหนักองค์รัชทายาท โดยพกอุปกรณ์เขียนรูปติดมาด้วย หญิงสาวนั่งในเก๋งสีขาวริมสระบัว ปล่อยเจ้าฟานฟานให้วิ่งเล่นเพื่อย่อยอาหารท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ นางมองดูมันครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มร่างภาพภูเขาจำลองฝั่งตรงข้ามซึ่งมีต้นโบตั๋นที่ออกดอกปลูกเรียงรายอยู่ด้านหน้า สีแดงสดของดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่งตัดกับสีดำของภูเขาจำลอง ก่อให้เกิดความงามที่ชวนหลงใหลและน่ายำเกรง
พอเริ่มลงมือ สมาธิอันดีเยี่ยมก็เริ่มทำงาน ทุกสิ่งยกเว้นรูปที่กำลังเขียนถูกลบออกไปจากสมอง โสตประสาทถูกปิดกั้น ไม่รับรู้เรื่องราวรอบตัว ประหนึ่งตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
ชิงหลินมองมือที่ไร้ดินสออย่างงุนงง เงยหน้าขึ้นจะต่อว่าผู้ที่ขัดขวางการเขียนรูปของนาง กลับพบหญิงสาววัยใกล้เคียงกับนาง รูปโฉมงดงามแต่ยังด้อยกว่าพระชายาหลิวอยู่หนึ่งส่วน นางอยู่ในอาภรณ์สีชมพูบานเย็น เกล้าผมสูง ตกแต่งด้วยเครื่องประดับทองมากชิ้นจนดูรกตามากกว่าจะสวยงามในสายตาของชิงหลิน กำลังมองมาด้วยสายตาเหยียดหยามและไม่เป็นมิตร
"ท่านผู้นี้คือพระสนมจางเหลียงตี้ ยังไม่รีบทำความเคารพอีก!" ขันทีประจำตัวของจางหวั่นชิงตวาดชิงหลินในคราบคุณชายหยางเริ่น
"เอ่อ...ถวายพระพรพระสนม" ชิงหลินรีบลุกขึ้นทำความเคารพทันที ไม่ได้กลัวแต่ไม่อยากหาเห่าใส่หัวเพราะต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ทั้งยังไม่อยากสร้างศัตรูโดยใช่เหตุ
"เจ้าคือหยางเริ่น ผู้ฝึกสอนพยัคฆ์?"
"พ่ะย่ะค่ะ" ชิงหลินตอบกลับด้วยความสุภาพอ่อนน้อม
"ดี ทหาร...โบยมันห้าสิบไม้ โทษฐานปล่อยปละละเลยจนสร้างความเสียหายแก่ตำหนักหยกท้อของข้า!"
"เอ๊ะ!" นี่มันเรื่องอะไรกัน? ปล่อยปละละเลย? สร้างความเสียหาย?
ขณะที่ชิงหลินงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น ก็มีทหารสองนายเข้ามาหิ้วปีกนางออกมาจากเก๋ง ผลักนางอย่างแรงจนล้มลงไม่พอ ยังจับนางนอนคว่ำหน้า กดศีรษะลงกับพื้นหญ้าที่ทั้งชื้นและเย็น ซ้ำยังเอาผ้ายัดปากไม่ยอมให้นางส่งเสียง
ตุบ! ตุบ!
ทุกครั้งที่ไม้ฟาดลงมา ชิงหลินก็สะดุ้งจนตัวโยน เจ็บปวดจวนเจียนจะขาดใจ น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย พยายามกลั้นก้อนสะอื้นสุดกำลัง จะร้องก็ร้องไม่ได้เพราะปากถูกยัดด้วยผ้า ทั้งมือและเท้าถูกชายสี่คนกดไว้จนขยับไม่ได้
'นี่ฉันจะต้องมาตายอย่างอนาถอีกแล้วหรือ ท่านยม...ท่านอยู่ไหน มาช่วยฉันที...'
"อี้เอิ๋น เอิ้งอิง อ้วยอ้าอ้วย" (พี่เหวิน เฟิ่งอิง ช่วยข้าด้วย)
นางถูกฟาดไปราวสิบครั้งก็หมดสติไป จึงไม่ได้รับรู้ว่าเจ้าชายขี่ม้าขาวที่มาช่วยไว้เป็นใคร
ล่วงเข้ายามซวี ชิงหลินรู้สึกตัวในท่านอนตะแคง ตากลมโตกะพริบถี่ๆ เพื่อปรับสายตา เมื่อกลอกตาไปรอบๆ จึงรู้ว่าอยู่ในห้องพักในเรือนรับรองของตัวเอง ก่อนจะชะงักเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มือข้างหนึ่ง หลุบตามองข้างเตียงจึงเห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลางดงามที่หลับอยู่ เขาใช้แขนซ้ายรองศีรษะต่างหมอน มือขวาวางอยู่บนฝ่ามือของนาง
"พี่เหวิน?" อุทานออกมาอย่างแปลกใจด้วยเสียงเบาหวิว หากเป็นคนธรรมดาที่ไร้วรยุทธ์คงไม่ได้ยิน แต่มู่หลิ่งเหวินเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม จึงได้ยินอย่างชัดเจนและตื่นขึ้นมาทันที
"ตื่นแล้วหรือ เป็นเช่นไรบ้าง ปวดแผลมากหรือไม่ แล้ว..." เขาถามรัวจนชิงหลินต้องยกมือห้าม
"จะให้ข้าตอบข้อไหนก่อนดีเจ้าคะ" หญิงสาวมองตามเขาที่ลุกขึ้นมานั่งข้างเตียง สองมือรวบมือเรียวเล็กมากุมไว้แล้วบีบเบาๆ
"เจ้า...เจ้านี่มัน...ยังมีแก่ใจมาล้อเล่นอยู่อีกหรือ" แม่ทัพหนุ่มอยากจะจับนางฟาดเสียสักสองสามที โทษฐานที่ทำให้ตนเป็นห่วง
"ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ แล้วท่านมาได้อย่างไร แล้วใครเป็นคนเปลี่ยนชุดให้ข้า แล้วเฟิ่งอิงไปไหน ฟานฟานน้อยด้วย"
คราวนี้กลับเป็นนางเสียเองที่ตั้งคำถามมากมายโดยที่แม่ทัพหนุ่มมิได้ทักท้วงหรือสั่งห้าม ซ้ำยังส่งยิ้มให้พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งจับปอยผมที่ตกลงมาด้านหน้าทัดหูให้นางอย่างอ่อนโยน ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าจิ้มลิ้มทว่าซีดเซียวของนางนิ่ง เสี้ยวหนึ่งมันกระตุกวาบอย่างโกรธเคืองแฝงความโหดเหี้ยม เมื่อหวนนึกถึงใบหน้าของผู้ที่บังอาจทำร้ายดวงใจของตนดวงนี้จนเกือบสิ้นชีพ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าพลางเอ่ย "หมดหรือยัง"
ชิงหลินที่เขินอายกับการกระทำอันอ่อนโยน เงยหน้าขึ้นย้อนถาม "เจ้าคะ?"
"คำถามของเจ้า"
'ตาบ้านี่ ถ้าไม่ได้แกล้งนางสักวันจะลงแดงตายหรือไงนะ'
"หึๆ ข้าจะถือว่าหมดคำถามแล้ว" แม่ทัพหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเลิกคิ้วล้อเลียน จึงถูกนางค้อนให้เสียวงใหญ่
"คำตอบแรก ข้อที่สี่และข้อสุดท้ายเป็นข้าเองที่อุ้มเจ้ามาที่นี่ ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยอยู่กับเฟิ่งอิงนอกประตู จะเข้ามาต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากข้าเท่านั้น"
"คำตอบข้อสองเว้นไว้ก่อน..."
"คำตอบข้อที่สาม เนื่องจากเจ้าปลอมตัวเป็นชาย ฉะนั้นผู้ที่สมควรเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า...เจ้าคิดว่า...ควรเป็นผู้ใด" แม่ทัพหนุ่มก้มลงกระซิบที่หูนางเบาๆ ริมฝีปากอุ่นร้อนสัมผัสติ่งหูของนางอย่างจงใจ
"อุ๊ย!" ชิงหลินย่นคอด้วยความตกใจ เดิมที่หน้าแดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงก่ำลามไปทั่วทั้งตัว รู้สึกเหมือนตัวร้อนไข้ขึ้นอย่างไรไม่รู้กับการกระทำที่ฉวยโอกาสของเขา
"อา...ตอบให้ข้าชื่นใจหน่อยเป็นไร...ว่าน่าจะเป็นผู้ใด" แม่ทัพหนุ่มผละออกห่าง แต่มือยังคงเกาะกุมมือเรียวเล็กไว้ตลอดมิยอมปล่อย
"เฟิ่งอิง" แกล้งตอบเป็นคนอื่นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเขา แต่หมั่นไส้ที่เขาแกล้งไม่หยุดหย่อนจนนางทำตัวไม่ถูก
"เจ้าแน่ใจ?" แม่ทัพหนุ่มถามย้ำเสียงเข้ม กดดันร่างเล็กที่ลอยหน้าลอยตาตอบแบบไม่คิด
"แน่ใจเจ้าค่ะ" ชิงหลินเชิดหน้าตอบด้วยท่าทางมั่นใจ
"แน่ใจนะ? ไม่มีคำตอบอื่น" แม่ทัพหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง ดวงตาคมทรงเสน่ห์พราวระยับดั่งดารายามค่ำคืน
"แน่ใจ" พอพูดจบนางเป็นต้องอุทานร้องอุ๊ยออกมาเมื่อเขาจุมพิตนางเร็วๆ โดยที่ไม่ทันตั้งตัว
"บอกข้าใหม่อีกทีว่าสมควรเป็นผู้ใด" แม่ทัพหนุ่มก้มลงมาช้าๆ สายตาจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มที่แดงก่ำดั่งผลอิงเถา
"เอ่อ...เป็น...เป็น..."
"หือ?" เข้าไปใกล้กว่าเดิมจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของนาง
"เป็น...เป็น...ท่าน...ที่เหมาะสมที่สุด พอใจหรือยัง ฮึ!" รีบตอบอย่างรวดเร็วเพราะกลัวโดนรังแกอีก ยอมรับว่ายามนี้นางทั้งโมโหทั้งอายผสมปนเปกันไปหมด
"อา...เสียดายจัง ไม่คิดว่าเจ้าจะรีบยอมแพ้เร็วเช่นนี้"
"ท่าน...ท่าน...ฮึ่ย!" คำตอบของเขาทำเอานางโมโหจนหน้าดำหน้าแดง พยายามสลัดมือออกจากการเกาะกุม หวังประทุษร้ายเขาสักทีสองทีให้หายเคืองแต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่เพียงไม่ปล่อยทว่าเขากลับจับมือนางแน่นกว่าเดิมอีก
"หึๆ ส่วนคำตอบข้อที่สองงง..." แม่ทัพหนุ่มลากเสียงยาวพลางเหล่มองคู่หมายที่เง้างอน ทั้งยังเบือนหน้าคล้ายไม่สนใจ แต่หูเล็กกลับเอียงมาทางเขา บอกให้รู้ว่านางตั้งใจฟังอยู่ หาได้เมินเฉยอย่างที่แสดงออกไม่ เขาจงอดที่จะขบขันไม่ได้ นางช่างน่ารักยิ่ง มองดูคู่หมายอย่างเพลิดเพลินแล้วก็หวนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายชั่วยามก่อน
เมื่อแม่ทัพหนุ่มมาขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทด้วยเรื่องของอาชาสวรรค์ และตั้งใจมาเยี่ยมเยียนนาง ขณะที่เดินตามขันทีน้อยมายังห้องทรงอักษร สายตาคมเหลือบไปเห็นร่างเล็กที่คุ้นตาไวๆ จึงคิดจะตามไป แต่ติดตรงที่องค์รัชทายาทรออยู่ แม่ทัพหนุ่มจึงได้แต่ตัดใจ คิดว่ารอให้เสร็จงานแล้วค่อยไปหานางในภายหลัง
การหารือเป็นไปอย่างเคร่งเครียดและเป็นความลับ ด้วยเนื้อหาสำคัญไม่ใช่เรื่องอาชาสวรรค์ แต่เกี่ยวกับตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ถูกอิทธิพลมืดเข้าคุกคาม ดังนั้นองค์รัชทายาทจึงรับสั่งให้ปิดประตู และให้ข้ารับใช้ถอยห่างจากประตูให้มากที่สุด เหลือไว้เพียงเกากงกงซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องทรงอักษร
การหารือจบลงเป็นเวลาเดียวกับพระชายาหลิวเสด็จนำขบวนเหล่านางกำนัลเข้ามาพร้อมด้วยอาหารคาวหวาน ซึ่งแม่ทัพหนุ่มต้องอยู่ร่วมด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หลังมื้อกลางวันผ่านไป พระชายาหลิวที่อยู่ร่วมเสวยและสนทนาครู่หนึ่งกำลังจะกลับตำหนัก ทันใดนั้นเกากงกงก็ทูลรายงานว่าพระสนมจางเหลียงตี้รับสั่งโบยคุณชายหยางอยู่ในอุทยานด้านหน้าตำหนัก เพียงเท่านั้นแม่ทัพหนุ่มก็ลุกขึ้นพรวดพราดผลุนผลันออกไป ทำเสียมารยาทต่อหน้าองค์รัชทายาท
เมื่อมาถึง ภาพคู่หมายนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นที่เปียกชื้น แขนขาถูกตรึงด้วยทหารถึงสี่นาย มีขันทีร่างอ้วนหน้าตาอัปลักษณ์เป็นผู้ลงมือโบยนางอย่างโหดเหี้ยมไร้การยั้งมือ โทสะก็ปะทุถึงขีดสุด ดั่งไฟบรรลัยกัลป์ที่พร้อมจะแผดเผาผู้คนให้มอดไหม้ในชั่วพริบตา
แม่ทัพหนุ่มตรงเข้าไปใช้กำลังภายในซัดขันทีร่างอ้วนจนกระเด็นไปไกล ตามด้วยทหารทั้งสี่ที่มัวแต่ตะลึงไม่ทันได้ป้องกันตนเองจนสลบเหมือดไปตามๆ กัน ก่อนจะช้อนร่างบอบบางที่สลบไสลของนางไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม เหาะทะยานกลับไปยัง้องพักรับรอง ไม่สนใจใครนอกจากนางที่อยู่ในอ้อมกอด ท่ามกลางเสียงกรีดร้องตกใจของเหล่าขันทีและนางกำนัล
เมื่อมาถึงหน้าห้องพักในเรือนรับรอง เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูห้องข้างๆ ถูกเปิดออกโดยเฟิ่งอิง คาดว่าเป็นเพราะเสียงกรีดร้องที่ห่างออกไปราวครึ่งลี้ แม้จะแผ่วเบาจนจับใจความไม่ได้ แต่ด้วยความสามารถของหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ เรื่องนี้คงง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก
แม่ทัพหนุ่มตวัดสายตาตำหนิที่เต็มไปด้วยโทสะให้เฟิ่งอิง ก่อนจะอุ้มนางเข้ามาภายในห้องพัก ไม่ใส่ใจกับใบหน้าซีดสลดและเจ็บปวดของอีกฝ่าย ซ้ำยังปิดประตูลั่นดาลจากด้านใน ปล่อยให้อีกฝ่ายรั้งอยู่ด้านนอก เพื่อลงโทษที่ปล่อยให้นางตกอยู่ในอันตราย ก่อนเข้ามาเขายังไม่ลืมหันไปสั่งนางกำนัลที่ยืนก้มหน้าซีดๆ ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดเกรงกับโทสะตนให้นำน้ำอุ่นมาเตรียมไว้ให้พร้อม แล้วไล่ออกไปจนหมด
มู่หลิ่งเหวินค่อยๆ วางร่างที่สลบไสลไม่ได้สติของนางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล มองดูแผ่นหลังบอบบาง แม้จะเห็นไม่ค่อยชัดนักด้วยอาภรณ์ที่สวมเป็นสีดำ แต่กลิ่นคาวเลือดและความเปียกชุ่มทั่วทั้งแผ่นหลังก็บอกได้เป็นอย่างดีถึงความโหดเหี้ยมของเจ้าขันทีอัปลักษณ์นั่น
โทสะพลันพุ่งขึ้นเกือบทะลุฟ้า และค่อยๆ ลดลงช้าๆ อย่างยากเย็น ครั้นเมื่อใจเย็นลงแล้วก็พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่คู่หมาย โดยเริ่มจากตรวจชีพจรของนาง เมื่อเห็นว่านางปลอดภัย เพียงแต่ทนความเจ็บปวดทรมานไม่ไหวจึงได้สลบไปก็คลายใจลงหนึ่งส่วน
"ต้องตรวจดูบาดแผลและใส่ยา..." กล่าวได้เพียงเท่านั้นแม่ทัพหนุ่มก็เริ่มใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องถอดชุดให้นาง แม่ทัพหนุ่มจับนางให้อยู่ในท่านั่งหันหน้าเข้าหา แล้วจับศีรษะเล็กให้พิงกับร่างแกร่งของตน
มือใหญ่สั่นเทาเล็กน้อยยามที่ปลดสายผ้าคาดเอวสีขาวออกทิ้งลงพื้น พลางลอบกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ แม่ทัพหนุ่มถอนใจออกมา หลับตาลงใช้ใจและมือทำงาน มือข้างหนึ่งโอบเอวคอดกิ่ว อีกมือก็ค่อยๆ ปลดชุดของนางออกทีละชิ้นๆ จนเหลือเพียงซับชั้นในตัวจิ๋วจึงค่อยลืมตาขึ้น
หัวไหล่ขาวผ่องเนียนละเอียดที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำเอาแม่ทัพรู้สึกร้อนรุ่มจนเลือดฉีดพุ่งไปทั่วร่าง ความปรารถนาก่อเกิดขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาสะบัดศีรษะเพื่อไล่ความปรารถนาในใจ ก่อนจะเอนร่างของนางให้ซบกับไหล่อีกข้างเพื่อตรวจดูแผลและใส่ยาให้นางได้ถนัด
ดวงตาคมทรงเสน่ห์ไล่จากไหล่เล็กมนเรื่อยลงมา คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน ดวงตาทอประกายกราดเกรี้ยวเมื่อเห็นผิวขาวผ่องราวหิมะถูกแทนที่ด้วยรอยแผลหลายรอย เลือดสีแดงไหลซึมออกมาจากรอยแตกยับของบาดแผล บางส่วนไหลลงไปด้านล่างหายเข้าไปในชุดที่ถูกปลดลงมากองอยู่ที่เอว กลบความขาวผ่องเกือบทั่วทั้งแผ่นหลังดังผ้าขาวถูกย้อมด้วยสีแดง แม่ทัพหนุ่มเจ็บปวดใจยิ่งนัก สองครั้งแล้วที่นางต้องพบกับอันตรายทั้งที่เขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ไม่อาจปกป้องนางได้
"พี่ขอโทษขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าต้องเจ็บตัวครั้งแล้วครั้งเล่า พี่สัญญาจะไม่ให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าได้อีก...พี่สัญญา"
แม่ทัพหนุ่มกล่าวขอโทษนางพร้อมให้คำมั่นอย่างหนักแน่นกับร่างที่สลบไสลของคู่หมาย จุมพิตศีรษะนางอย่างรักใคร่สองสามครั้ง จากนั้นจึงเริ่มเช็ดล้างเลือดที่หลังก่อน ก็พลันชะงักอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นลอยสีฟ้าบริเวณรอยแผลที่ถูกโบยของนาง ด้วยความสงสัยแม่ทัพหนุ่มจึงลุกขึ้นวางนางให้นอนคว่ำหน้าลง ใช้หมอนรองหันศีรษะให้หันมาทางตน จากนั้นจึงเพ่งมองกลางหลังของนาง
"รอยสักสีฟ้า? อืม หน้าตาเหมือนมังกรแต่มีปีก" แม่ทัพหนุ่มพึมพำกับตนเอง มองดูรอยสักกลางหลังของนางอย่างอัศจรรย์ใจ นางมีรูปเช่นนี้อยู่บนตัวได้อย่างไร หรือว่า...จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางสื่อสารกับสัตว์เหล่านั้นได้
กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนความ เล่นเอาแม่ทัพหนุ่มเหน็ดเหนื่อยแทบสิ้นเรี่ยวแรง เพราะต้องตั้งสติให้มั่นคง ไม่ให้เผลอทำเรื่องไม่งามที่อาจจะสร้างความเสื่อมเสียให้นางได้ ก่อนจะฟุบหลับข้างเตียงด้วยความอ่อนเพลีย
"พี่เหวิน พี่เหวิน" ชิงหลินที่แกล้งเมินเขาเป็นฝ่ายทนไม่ไหว เมื่อเห็นเขานั่งนิ่งมองนางไม่พูดไม่จา คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยปากเรียกเขาเสียเอง
"หืม? มีอันใดหรือ" แม่ทัพหนุ่มตื่นจากภวังค์แล้วแกล้งเอ่ยถาม
"เป็นอะไรไปเจ้าคะ ปล่อยให้ข้าเรียกตั้งนาน" นางถามด้วยความเป็นห่วงเพราะไม่เคยเห็นเขาเหม่อลอยแบบนี้มาก่อน
"ห่วงข้าหรือ"
"คะ...ใครห่วงท่านกัน"
"ปากแข็ง"
"ขะ...ข้าเปล่า"
"จริงหรือ อืมม" แม่ทัพหนุ่มแกล้งโน้มใบหน้าลงมาใกล้แก้มขาวเนียนที่เจ้าของยังคงนอนตะแคงมาทางตน
"ทะ...ท่านเลิกแกล้งข้าเสียที ข้าโมโหแล้วนะ!" นางขู่เขาทั้งคำพูดและหน้าตา
"อา...ก็ได้ ก็ได้ ข้าเลิกแกล้งเจ้าแล้วก็ได้" เขายกมือทั้งสองขึ้นคล้ายกับยอมแพ้ จึงถูกนางสะบัดหน้าใส่เสียจนคอแทบเคล็ด
"เข้าเรื่องจริงจังเสียที ขอให้เจ้าตอบแต่ความจริง อย่าคิดปิดบังข้า ไม่เช่นนั้น..." แม่ทัพหนุ่มโน้มใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนลงมาใกล้แล้วกระซิบเบาๆ "อย่าหาว่าข้าไม่เตือน"
ชิงหลินลอบกลืนน้ำลายไม่ได้กลัวคำขู่เขา แต่กลัวสายตาวิบวับกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาต่างหาก "ถาม?..เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ"
"ที่มาของรอยสักกลางหลังของเจ้า"
"ทะ...ท่าน...แอบดูข้า!"
"หากหลับตาแล้วข้าจะทำแผลใส่ยาให้เจ้าได้เช่นไรกันเล่า"
ชิงหลินจนด้วยคำพูดเพราะมันคือความจริง แต่ถึงอย่างนั้น... 'โอ๊ย!...ถูกเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย...' ตะโกนก้องอยู่ในใจ
"ข้าเป็นบุรุษที่ค่อนข้างสุภาพและมีมารยาทมากพอ เจ้าอย่ากังวลไปนักเลย" เขาตอบหน้าตาเฉย
'สุภาพ? มีมารยาท? ตรงไหน? หมายถึงปากว่ามือถึงทุกทีที่เจอกัน? บ้านท่านสิ!'
"ตอบได้หรือยัง" แม่ทัพหนุ่มถามย้ำ มองข้ามความขุ่นเคืองในดวงตากลมโต
"ฮึ!...ข้าก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร พอฟื้นขึ้นมาก็มีรอยสักนี้แล้ว"
"รูปร่างคล้ายมังกร...แต่มีปีก" แม่ทัพหนุ่มตั้งข้อสังเกต
"เอ่อ...ข้าคิดว่าคงเป็นมังกรต่างสายพันธุ์เหมือนพวกเราอย่างไรเจ้าคะที่มีมากมายหลายเผ่าพันธุ์"
"อืม อาจเป็นเช่นนั้น แล้วเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เจ้าสื่อสารกับเหล่าสัตว์ได้...ใช่หรือไม่"
"เอ่อ..น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ" ชิงหลินเออออกับคำสันนิษฐานของเขาเพราะไม่กล้าบอกความจริง
"อืม..ข้าเข้าใจแล้ว...แล้ว..."
"ยังมีอีกหรือเจ้าคะ" นางโอดครวญเมื่อเห็นว่าเขายังจะถามต่อ
"ข้าเพียงอยากจะถามว่า...บาดแผลสาหัสขนาดนั้น ไยเจ้าดูไม่เจ็บปวดเลยเล่า" แม่ทัพหนุ่มถามตลอดเวลาที่นางได้สติ จนบัดนี้น่าจะราวสองเค่อแล้ว แต่นางยังคงทำตัวปกติไม่ร้องโอดครวญอย่างที่ควรจะเป็น
"เอ๊ะ ไม่ใช่เพราะท่านสกัดจุดความเจ็บปวดให้ข้าหรอกหรือ" หญิงสาวย้อนถามเขาเพราะตั้งแต่ได้สติก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดสักนิดเดียว
"...มีจุดที่ว่าเสียเมื่อไรกันเล่า" แม่ทัพหนุ่มตอบเสียงจริงจัง คิ้วเข้มขมวดกันแน่น ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องใบหน้าจิ้มลิ้มที่ยังคงซีดเซียวอย่างจับผิด เมื่อเห็นเพียงความจริงใจไร้การเสแสร้งแกล้งทำของนางก็ให้อัศจรรย์ใจยิ่งขึ้นไปอีก นางช่างเป็นสตรีที่ลึกลับชวนให้ประหลาดใจอยู่เรื่อย แม่ทัพหนุ่มจึงสาบานกับตนเองในใจว่าจะปกป้องสตรีที่งดงามและล้ำค่าผู้นี้ด้วยชีวิต
"พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าอยากพบเฟิ่งอิงกับฟานฟาน..." ชิงหลินส่งสายตาอ้อนวอนเขา
"ก็ได้" มู่หลิ่งเหวินกลั้นใจตอบแบบไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น