บทที่ 32 คึกคัก
พอหมิงเซียงโดนสั่งให้คุกเข่าที่ห้องบรรพชน นางก็กลับไปนอนพักเป็นเวลาสองวัน หลังจากนั้นก็กลับมากระโดดโลดเต้นได้อีกครั้ง
พอนางก่อปัญหาเช่นนั้นไป นายท่านสี่ก็ควบคุมนางอย่างแน่นหนาและสั่งไม่ให้นางออกไปข้างนอก หมิงเซียงที่ว่างจนจิตใจอยู่ไม่สงบจึงทำได้แค่ไปคุยกับหมิงเวยที่สวนอวี๋ฟางทุกวัน
หมิงเวยถามนาง “น้องหกเล่า ไม่ไปเล่นกับเขาหรือ”
หมิงเซียงนั่งบนระเบียงตัวยาว นางกินผลไม้เคลือบน้ำตาลไป ดูหมิงเวยฟันดาบไป “เขาเป็นเด็กผู้ชาย ต้องเข้าเรียนเจ้าค่ะ”
“แล้วทำไมเจ้าไม่ไปเรียนล่ะ มีโรงเรียนของสตรีด้วยไม่ใช่หรือ”
“เอ๋ พี่เจ็ดรู้จักโรงเรียนสตรีด้วยหรือเจ้าคะ!” หมิงเซียงแปลกใจ “เดิมทีมีโรงเรียนสตรีอยู่ แต่เมื่อปีที่แล้วท่านอาจารย์ได้ออกเรือนไป ตอนนี้ยังหาอาจารย์ท่านใหม่ดีๆ ไม่ได้เลย ท่านพ่อบอกว่าแทนที่จะปล่อยให้ข้าไปวิ่งซนข้างนอก ไปเรียนงานบ้านงานเรือนกับท่านแม่จะดีกว่า….”
หมิงเวยหยุดฟันดาบเพียงชั่วครู่ และหยิบผ้าจากตัวฝูมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้า นางอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ท่านอาสี่เข้าใจเจ้าจริงๆ”
คำพูดของนางทำเอาหมิงเซียงรู้สึกถอดถอนใจ “เมื่อก่อนตอนที่ไปเข้าเรียนข้าเคยรู้สึกตนเองเป็นอิสระ รู้จักเพื่อนๆ หลายคน ไม่ต้องถูกขังอยู่ในบ้านทุกวันเช่นนี้...”
นี่แหละคือความหมายของโรงเรียนสตรี ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น ไม่ต้องเป็นนกในกรง หมิงเวยนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถือดาบไม้ไผ่อีกครั้ง
“พี่เจ็ด พี่ดูสนุกมาก!” หมิงเซียงมองดาบไม้ไผ่ของนางด้วยความสนใจ
“นี่ไม่ใช่การเล่น แต่เป็นการฝึกฝน” หมิงเวยพูด
ปรมาจารย์แห่งชีวิตจะมือไร้แม้แรงผูก[footnoteRef:1]ได้อย่างไรกัน จะขับไล่ผีหรือสิ่งชั่วร้าย จำเป็นต้องใช้พละกำลัง พูดอีกนัยหนึ่งก็คือพลังสามารถจัดการกับปีศาจได้ แต่ไม่สามารถจัดการกับคนที่มุ่งร้ายได้ [1: มือไร้แม้แรงผูก : ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง]
ร่างกายของนางดีขึ้นมาบ้างแล้ว จึงสั่งให้คนทำดาบไม้ไผ่และหุ่นไม้เพื่อที่จะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้
ร่างกายนี้มีอายุสิบห้าปีแล้ว ซึ่งได้พลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการปูพื้นฐานไปแล้ว อยากฝึกฝนเพื่อที่จะเป็นเทพยุทธ์นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตราบใดที่ฝึกฝนอย่างหนัก ฝังเข็มทองลงจุดเส้นลมปราณอีกครั้งเพิ่มเติมด้วยการอาบน้ำยา อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเซียนธรรมดาได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“ฝึกฝน เสวียนหนี่เหนียงเหนียงสอนท่านมาหรือ”
“ใช่!” หมิงเวยตอบไปอย่างลวกๆ
“‘งั้นพี่สอนข้าด้วยได้หรือไม่ วันนั้นข้าเห็นพี่ปีนข้ามกำแพงได้คล่องแคล่วมาก ข้าอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง วันหลังจะได้แอบหนีออกไปได้ง่ายๆ”
หมิงเวยยิ้ม “สอนเจ้าได้อยู่หรอก แต่เจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไร”
หมิงเวยอยากตอบว่าจะพาท่านออกไปเล่นด้วย แต่เมื่อคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว นางก็หดหู่ขึ้นมา
หมิงเวยตอบ “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าพักมาจนเบื่อแล้ว เจ้าสามารถมาคุยกับข้าได้ทุกวัน มาเล่าเรื่องราวภายนอกให้ข้าฟังเป็นการคลายเครียด แบบนี้ดีหรือไม่”
“ดีๆ!” หมิงเซียงพยักหน้าหงึกหงักต่อให้ไม่มีเงื่อนไขนางก็จะมา
หมิงเวยโบกมือ “เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ตัวฝูถาม “คุณหนูเจ้าคะ จะให้เอาชุดที่คุณหนูยังไม่ได้สวมให้คุณหนูแปดก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม”
พวกนางห่างกันแค่สองปี หมิงเซียงเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา แต่คุณหนูเจ็ดอยู่แต่ในห้องตลอดเวลา ร่างกายจึงต่างกันไม่มาก
“ไปๆๆ!” หมิงเซียงดีใจ การฝึกฝนเหรอฟังดูแล้วน่าสนุก!
หมิงเวยยิ้มกริ่ม ปล่อยให้นางมีความสุขไปสักพัก อีกเดี๋ยวก็จะหัวเราะไม่ออกแล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เสียงอันขมขื่นของหมิงเซียงก็ดังขึ้นในสวนอวี๋ฟางอย่างรวดเร็ว
แม่นมถงที่จัดการเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว นางเห็นฮูหยินยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย
นางมองตามสายตาของฮูหยิน พื้นที่ตรงลานกว้างมีหุ่นไม้ตัวหนึ่งกับเด็กสาวสองคนในชุดฝึกซ้อม แต่ละคนถือดาบไม้ไผ่คนละอันแล้วแทงไปที่หุ่นไม้
หนึ่งในนั้นวางดาบไม้ไผ่อยู่บ่อยๆ แล้วเดินไปแก้ไขการเคลื่อนไหวของอีกคน ซึ่งนางก็พร่ำบ่นไม่หยุด พอนางบ่นคร่ำครวญ สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยิ้ม บรรยากาศรอบกายอบอวลไปด้วยความสุข
“คุณหนูในตอนนี้ดีจริงๆ เจ้าค่ะ” แม่นมถงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
“ใช่!” ฮูหยินสามพึมพำ “ดีจริงๆ ดีจนข้าไม่อยากจะเชื่อเลย”
“อะไรดีจนไม่อยากจะเชื่อหรือเจ้าคะ” แม่นมถงหัวเราะ “เป็นเพราะสวรรค์รับรู้ถึงความจริงใจของฮูหยิน เสวียนหนี่เหนียงเหนียงท่านก็รู้สึกถึงได้เจ้าค่ะ!”
“แต่ข้ารู้สึกเหมือนไม่เป็นความจริง” ฮูหยินสามลดเสียงลง “บางครั้งข้าตื่นขึ้นมากลางดึก อดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่านี่คือเสี่ยวชีใช่หรือไม่ ใช่เสี่ยวชีจริงๆ หรือ ถ้าหากไม่ใช่ข้าควรทำอย่างไร นางจะร้องไห้หรือไม่ จะทุกข์ทรมานหรือเปล่า...”
พูดแล้วดวงตาของนางก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “ฮูหยินเจ้าคะ!” แม่นมถงรีบพูด “ท่านกำลังคิดอันใดอยู่ คุณหนูนางก็อยู่ตรงนั้น นางจะร้องไห้ จะทุกข์ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
“แต่ข้าไม่สบายใจ...” ฮูหยินสามมองไปยังเด็กสาวที่อยู่ตรงลานบ้านด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความคิดถึงแล้วนางก็พยายามสงบจิตใจของตนเองลง
“ฮูหยิน...” แม่นมถงไม่พูดสิ่งใดออกมา ฮูหยินสามหันตัวกลับมาแล้วถามนางว่า “มีจดหมายมาจากทางตะวันออกหรือไม่”
ตะวันออก หมายถึงเรือนฝั่งตะวันออก ปกติแล้วหากฮูหยินถามคำถามเช่นนี้ นางหมายถึงคนบางคน
แม่นมถงตอบ “ไม่มีเจ้าค่ะ”
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากขึ้นมาแล้วสิ หลายวันมานี้ยังไม่ได้ลงมือจัดการเลย”
แม่นมถงพูดด้วยความจริงใจ “หากไม่ต้องไปก็คงดีนะเจ้าคะ”
ฮูหยินสามหัวเราะ นางไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น นายท่านสองเป็นคนคำนวณเก่ง เขาจะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร
ทนไป ตราบใดที่อดทนทำสิ่งสุดท้ายได้ก็ดีแล้ว
…………
หลังจากนั้นไม่กี่วัน หมิงเซียงก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบด้วยความดีใจ พอเห็นหมิงเวยนางก็ตะโกนเรียก “พี่เจ็ด! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
หมิงเวยกำลังพลิกดูหนังสือ
ในยุคสมัยของนาง มีหนังสือหลายเล่มสูญหายไปเนื่องจากสงคราม ทำให้หนังสือหรือเอกสารทางประวัติศาสตร์ไม่ครบสมบูรณ์ นางจำเป็นต้องเข้าใจยุคสมัยนี้ให้เร็วที่สุด และการอ่านหนังสือก็เป็นวิธีที่เร็วที่สุด
นางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “เห็นท่าทางตื่นเต้นของเจ้าเช่นนี้แล้ว คงมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นใช่หรือไม่”
“ฮ่าๆๆ เป็นอย่างที่พี่เจ็ดคาดไว้” หมิงเวยกอดอกหัวเราะ
หมิงเวยเตือนนางอย่างอ่อนโยน “ระวังกิริยามารยาทของเจ้าด้วย หากท่านอาสะใภ้สี่มาเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้ เจ้าคงไม่อยากอดข้าวเย็นหรอกนะ”
หมิงเซียงรีบปล่อยมือลงแล้วโน้มตัวไปหานางจากนั้นก็พูดว่า “ทันทีที่คุณชายหยางท่านนั้นเข้าเมือง จวนจวิ้นอ๋องก็มารับตัวไปเพื่อเป็นการต้อนรับหลานชาย ฉีตงจวิ้นอ๋องก็ทำตัวเป็นเถ้าแก่ ไม่เพียงแต่ทำความสะอวดสวนซิ่นให้เขาอยู่เท่านั้น แต่ยังส่งนักร้องโฉมงามมากมายไปให้ด้วย...”
“จากนั้นล่ะ”
“หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้น!” หมิงเซียงเอาแขนเสื้อคลุมหน้า นางหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “อย่างแรกคืออนุภรรยาคนหนึ่งของจวิ้นอ๋องไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลงทางในสวนซิ่น และบุกเข้าไปในห้องของคุณชายหยาง เลยเที่ยงคืนไปถึงจะถูกปล่อยตัวออกมา ต่อมาก็เป็นคุณหนูจากเรือนฝั่งจวิ้นหวังเฟย นางไปพบเข้ากับคุณชายหยางที่อยู่ในศาลากลางน้ำเพียงลำพังโดยบังเอิญ ได้ยินว่าพอเรื่องราวในจวนจวิ้นอ๋องหลุดออกไป ทางตระกูลหลีต้องการให้คุณชายหยางให้คำอธิบาย”
หมิงเวยขมวดคิ้ว “อะไรจะยุ่งเหยิงขนาดนี้ อนุของจวิ้นอ๋องบุกเข้าไปในห้องของคุณชาย แล้วเรื่องยังลามมาถึงหูของพวกเราอีกด้วย”
“ผู้ใดจะไปรู้ล่ะ บางทีอาจมีคนไปเห็นเข้าโดยบังเอิญเลยแอบพูดกันออกมา สวนซิ่นใหญ่ขนาดนั้น มีผู้คนมากมายจะตายไป!”
หมิงเวยส่ายหน้า “เรื่องนี้...สมควรที่เจ้าจะรู้สึกสนุกแล้วหรือ”
หมิงเซียงยิ้มแล้วบอกว่า “แน่นอนว่ายังมีอีกเรื่องตามมา ใต้เท้าเจี่ยงผู้นั้น ได้มาเปิดศาลที่ตงหนิงเป็นวันที่สองแล้ว ได้ยินมาว่ามีการพิจารณาคดีไม่เป็นธรรมมากมาย จนตอนนี้เขามีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว คนของตระกูลหลีเองก็โกรธจนเหลือทนเลยนำเรื่องของคุณชายหยางไปร้องเรียนกับใต้เท้าเจี่ยงถึงที่นั่น...”
“.....” หมิงเวยอดไม่ได้ที่จะถาม “เรือนทางฝั่งจวิ้นหวังเฟยมีปัญหาทางสมองหรือเปล่า เรื่องระหว่างชายหญิงสองคนแบบนี้ ฝ่ายเสียหายก็มีแต่ทางฝ่ายหญิง พวกเขายังกล้าที่จะไปร้องเรียนที่ศาลว่าการอีกงั้นหรือ”
…………………………………………………………..