webnovel

ครุฑาจอมราชันย์

ครุฑาจอมราชันย์เป็นนวนิยายแนวกำลังภายในแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ไทยในช่วง พ.ศ.2470 คาบเกี่ยวไปถึงห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเนื้อเรื่องจะเล่าถึงตัวเอกที่มีชื่อว่าธีรพล ชายชาวไทยเชื้อสายจีนผู้ได้รับอัตลักษณ์พลังสถิตรูปพญาครุฑนามว่าสุบรรณมาตั้งแต่กำเนิด ในวัยเด็กนั้นเขาได้ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มองค์กรลึกลับซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ พรรคภูติราชันย์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพรรคผู้ร่วมก่อตั้งของภาคีซันเหอหรือที่ชาวไทยรู้จักกันในนามว่าอั้งยี่ที่ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมากว่าหนึ่งร้อยสิบแปดปี แต่ด้วยความคิดจะตั้งตนเป็นเจ้าในแผ่นดินสยามจึงได้ถูกพรรคบัวมารมรกต หรืออีกหนึ่งพรรคก่อตั้งตลบหลังให้ความร่วมมืออย่างลับๆกับทางการ จนเป็นผลให้พรรคภูติราชันย์ถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินสยามในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ในเวลาต่อมา แม้ทางภาคีซันเหอจะคาดคิดว่าพรรคภูติราชันย์ได้หายสาบสูญไปสิ้นแล้วก็ตาม แต่เมฆผู้เป็นบิดาของธีรพลก็ได้ไปค้นพบหลักฐานของการดำรงอยู่ของพรรคภูติราชันย์เข้า จนส่งผลให้ทั้งตัวเขารวมไปถึงลี่ผู้เป็นภรรยาและธีรพลในวัยสี่ขวบถูกติดตามฆ่า จนในที่สุดเมฆและลี่ก็ถูกหนึ่งในขุนพลของอีกฝ่ายสังหารลง แต่สำหรับธีรพลที่ได้รับความช่วยเหลือจากทองใบเกลอคนสนิทของเมฆไว้นั้นก็สามารถหลบหนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบได้ที่เวียงพิงค์ อีกกว่าสิบห้าปีถัดมา ธีรพลในวัยฉกรรจ์ที่ได้รับการฝึกฝนมวยไทยอย่างหนักจากทองใบก็ต้องพบกับเรื่องราวที่ทำให้เขาได้รู้จักกับพลังงานชีวิต พลังงานธาตุ และอัตลักษณ์พลัง จนนำไปสู่การค้นพบสุบรรณในที่สุดซึ่งก็ทำให้เขาได้พัฒนาฝีมือขึ้นตามลำดับขั้น ด้วยโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตเขาต้องเข้าไปผัวพันกับภาคีซันเหอ องค์กรใต้ดินที่มีอิทธิพลสูงสุดในสยามประเทศ ธีรพลก็จึงได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าที่ผิดกฎหมาย และต้องต่อสู้กรุยทางเพื่อสร้างพรรคของตนให้มีอิทธิพลอำนาจสูงขึ้นในภาคีและตามล่าหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การสังหารครอบครัวของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับชะตากรรมของชีวิตผู้คนในพิภพสหัสดาราที่ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานต่างมิติกับโลกมนุษย์ ที่ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหนอันสืบเนื่องมาจากพระราชาองค์ปัจจุบันได้สิ้นพระชนม์ลง จึงทำให้บรรดาเผ่ามนุษย์ที่เคยสมัครสมานสามัคคีกันได้แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นแสวงหาอำนาจต้องการตั้งตนเป็นใหญ่ และที่สำคัญที่สุดเผ่าพันธุ์อสูรที่เคยถูกสยบอยู่กว่าสองพันปีก็ได้โอกาสอันดีเริ่มเคลื่อนไหวรุกรานอาณาจักรต่างๆอีกครึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ทิตยะ ก็ทำให้ธีรพลได้พบกับแม่ทัพใหญ่อัศวเมธ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้อ้อนวอนขอให้เขาช่วยเหลือตามหาองค์ชายราวินทร์ที่หายสาบสูญไปจากพิภพสหัสดารา ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วหลังจากธีรพลออกค้นหาอยู่ภายในโลกมนุษย์ได้สักระยะหนึ่งก็ได้พบกับองค์ชายราวินทร์และช่วยกันกำจัดพรรคภูติล้างวิญญาณซึ่งมีตัวการใหญ่ก็คือจอมเวทย์บุศัยยะ ผู้ที่แฝงตัวเข้ามายังโลกมนุษย์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงานธาตุจากอัตลักษณ์พลัง และที่สำคัญก็คือจอมเวทย์ผู้นี้เองเป็นผู้ที่สั่งการฆ่าครอบครัวของเขา เมื่อไม่มีจอมเวทย์บุศัยยะคอยบงการ พรรคภูติราชันย์จากที่จะสามารถล้มล้างภาคีซันเหอซึ่งเป็นศัตรูสำคัญลงได้และกำลังจะดำเนินแผนการยึดครองสยามประเทศ ก็ได้ถูกธีรพลซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นเป็นผู้นำภาคีพลิกสถานการณ์เข้าจัดการจนสามารถล้มจอมราชันย์ของพรรคลงได้ และทำลายแผนการอันชั่วร้ายของพรรคภูติราชันย์ทั้งหมด จากนั้นธีรพลก็ได้กลับไปยังพิภพสหัสดาราเพื่อช่วยเหลือองค์ชายราวินทร์ รวบรวมคนจากเผ่ามนุษย์ เผ่าปักษา เผ่านาคาและเผ่าสัตว์เทพเข้าต่อกรกับเผ่าอสูรที่จอมเวทย์บุศัยยะบงการอยู่ เพื่อขัดขวางการปลุกชีพจอมมารรามสูรที่เคยอาละวาดเมื่อราวสองพันปีก่อนลง ซึ่งด้วยพันธมิตรที่แข็งแกร่งและความเก่งกาจของธีรพลที่มีอัตลักษณ์พลังสถิตอยู่ด้วยกันถึงห้าตน ก็ทำให้เขาสามารถสังหารจอมเวทย์บุศัยยะผู้เป็นตัวการพรากชีวิตของบิดามารดาเขาลงได้และสามารถช่วยเหลือพิภพสหัสดาราไว้ได้ในที่สุด

Thanakorn_Pinchai · Fantasy
Not enough ratings
23 Chs

ตอนที่ 4 : เวียงพิงค์

"แม่!"

เสียงละเมอร้องเรียกดังลั่นจากชายหนุ่มที่สะดุ้งตื่นตัวโยน ลุกขึ้นเอามือเท้าที่นอน นั่งหอบหายใจอย่างเร็วรี่

แม้ตอนนี้ที่เบื้องนอกท้องฟ้ายังมืดสลัวอยู่ อากาศภายนอกจึงยังพอเย็นสบายดี แต่กระนั้นเหงื่อเม็ดโป้งก็ยังผุดพรายขึ้นเกาะพราวตามใบหน้าและร่างกายของชายหนุ่มในวัยสิบแปดสิบเก้าปีผู้นี้อย่างน่าประหลาด

"อ้าย[1]ธี ฝันร้ายแหมแล้วก๋าลูก" เสียงอันไพเราะนุ่มนวลดั่งเอื้อนลำนำของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งดังขึ้นอย่างห่วงใย เอ่ยถามธีรพลเป็นภาษาล้านนา ถามไถ่ถึงว่าเป็นอาการฝันร้ายที่มักจะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำใช่หรือไม่

"ครับ ป้าแก้ว" ธีรพลตอบกลับในสำเนียงภาษาเดียวกัน หลังจากสะบัดหัวลูบหน้าให้ตนฟื้นสติอย่างเต็มที่ดีแล้ว

"ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป เดี๋ยวป้าจะไปทำกับข้าวมาให้กิน" ป้าแก้วเปิดประตูเข้ามาสำรวจอาการลูกเลี้ยงของเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มบอกกล่าวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

"ครับ" ธีรพลตอบกลับอย่างว่าง่าย ก่อนจะลุกขึ้นเก็บที่นอนออกไปทำกิจวัตรประจำวันดั่งที่ผ่านมา

หลังจากจบการศึกษาในระดับมัธยมตอนกลางเป็นต้นมา ธีรพลก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าศึกษาต่อในขั้นสูง หันกลับมาช่วยงานแบ่งเบาภาระลุงมั่นกับป้าแก้วผู้เปรียบเสมือนพ่อและแม่คนที่สองของเขา ซึ่งกิจวัตรโดยส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นการดูแลสวนผักและสัตว์เลี้ยงที่ทั้งใช้เป็นยานพาหนะและใช้เพื่อการประกอบอาหาร โดยมีลุงมั่นคอยกำกับดูแลอยู่ไม่ห่างเป็นเวลามากว่าสามปีแล้ว

นอกจากนั้นราวๆอาทิตย์ละหนึ่งวัน ป้าแก้วก็จะเก็บรวบรวมผ้าคลุมไหล่จากชาวบ้านที่ถักทอขึ้นเอง นำต่างขึ้นวัวเทียมเกวียนส่งไปขายยังกาดหลวง[2]ที่ซึ่งเป็นตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ส่งต่อให้กับร้านค้าช่วงรายใหญ่ จนนำมาซึ่งรายได้หลักและสำคัญที่สุดของลุงมั่นและป้าแก้วเลยก็ว่าได้

เช่นเดียวกับทุกๆปีที่ผ่านมา ฤดูกาลในช่วงปลายหนาวกำลังย่างเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มขั้น อาการที่ร้อนอบอ้าวรวมกับแสงแดดที่ร้อนแรงทำให้ผ้าคลุมไหล่ของสตรีล้านนาได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เพราะนอกจากจะใช้ป้องกันแสงแดดได้แล้ว ยังใช้เป็นอาภรณ์เครื่องประดับที่บ่งบอกแสดงถึงฐานะและรสนิยม และยิ่งถ้าผ้ามีลวดลายงดงามมากเท่าใด มูลค่าก็จะสูงขึ้นตามความยากในการถักทอขึ้นเท่านั้น ดังนั้นหากจะพูดว่าผ้าคลุมไหล่เป็นของชิ้นสำคัญที่สาวล้านนาจำเป็นจะต้องมีติดตัวไว้ก็ไม่ผิดเพี้ยนแต่อย่างใด

ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองก็จะเป็นช่วงที่ป้าแก้วสาละวนหัวหมุนอยู่กับการจัดหาสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดเป็นที่สุด ดังนั้นในเรื่องการจัดส่งจึงต้องไหว้วานธีรพลนำสินค้าเข้าเมืองไปด้วยตัวเอง

"พี่มั่น มาช่วยกันหน่อย ผ้าเยอะมาก เดี๋ยวลูกไปส่งไม่ทัน" ป้าแก้วที่กำลังยืนนับจำนวนผ้าในแต่ละลาย ป้องปากร้องเรียกสามีที่อยู่ในสวนผักมาช่วยเหลือธีรพลนำผ้าคลุมไหล่ที่อยู่ในมัดห่อผ้าขึ้นเกวียน

"ธี มัดห่อดีๆนะลูก อย่าให้ตกกลางทาง" เสียงป้าแก้วสั่งการดังขึ้นอีกครั้ง เนื่องด้วยในครั้งนี้เธอไม่สามารถที่จะติดตามไปด้วยได้ เธอจึงได้ตรวจสอบโดยละเอียดและคอยกำชับธีรพลให้ดูแลสินค้าเป็นอย่างดี

"ไอ้คำ ไอ้ฆ้อง มานี่!" หลังจากจัดการหีบห่อแล้วเสร็จ ธีรพลก็เอ่ยปากร้องเรียกวัวแฝดสองศรีพี่น้องตัวสนิทที่กำลังและเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายใจ ให้มาเข้าแอกเตรียมตัวออกเดินทาง ซึ่งฝ่ายหลังก็ดูเหมือนจะเข้าอกเข้าใจนายอันเป็นที่รักอย่างดี จึงได้เดินอาดๆเข้าประจำที่มาอย่างว่าง่าย

"ป้าแก้ว แล้วผ้าที่เคยขอให้หา ได้มาไหมครับ?" ธีรพลที่พลันนึกขึ้นได้จึงรีบเอ่ยถามออกไป

"ได้สิ แม่เกือบลืมไปเลย" ด้านป้าแก้วที่ก็เผลอลืมไปเสียสนิท จึงรีบเข้าไปหาผ้าผืนที่ว่านั้น ก่อนนำออกมายื่นให้ธีรพลที่เตรียมพร้อมขึ้นเกวียนออกเดินทางแล้ว

"ขอบคุณครับ ป้าแก้ว" ธีรพลฉีกยิ้มบานไม่หุบ กล่าวขอบคุณแล้วจึงนำผ้าคลุมไหล่ผืนงามนั้นเก็บเข้าย่ามไป

"นั่นแน่ จะเอาไปให้นวลลูกร้านทองในตลาดใช่ไหม?" ลุงมั่นที่รู้ระแคะระคายมาได้สักพักหนึ่งแล้ว เมื่อได้ทีก็ชี้ไม้ชี้มือล้อธีรพลเป็นการใหญ่ ซึ่งก็เล่นเอาฝ่ายหลังที่กำลังเข้าสู่วัยกำดัดถึงกับปฏิเสธไม่ออกหน้าแดงจรดใบหูเบือนหน้าหนีไปด้วยความเอียงอาย

"ไม่ต้องไปแซวลูกมันแล้ว" ป้าแก้วโบกมือรีบตัดบท

"ไปได้แล้วลูก เดี๋ยวขากลับมืดค่ำจะเดินทางลำบาก" ป้าแก้วยกมือขึ้นตบหลังธีรพลอย่างห่วงใย ก่อนจะทบทวนสถานที่ส่งของและรายละเอียดจำนวนให้ฟังอีกครั้ง

"ไปแล้วนะครับ" ธีรพลเอ่ยขณะบังคับวัวเทียมเกวียนเคลื่อนออกจากลานกว้างหน้าบ้านไป

"ไปดีมาดีลูก" ป้าแก้วและลุงมั่นเดินมาส่งธีรพลที่หน้าบ้าน

กาดหลวงเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆของนครเวียงพิงค์[3]ตัวตลาดตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง แม่น้ำสายหลักที่ทอดยาวจากเหนือลงสู่ใต้พาดผ่านพื้นที่ฝั่งขวาของตัวเมืองเดิม ภายในตัวตลาดมีสินค้าให้เลือกทั้งที่เป็นของสดของแห้ง สินค้าการเกษตร ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับในชีวิตประจำวันทั้งที่ผลิตขึ้นจากในท้องถิ่นและจากที่ขนส่งมาจากพระนคร[4] สามารถพูดได้ว่าหากขาดเหลือสิ่งใดแล้วมายังสถานที่แห่งนี้ย่อมจะหาซื้อได้เสมอ ดังนั้นตลาดแห่งนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งมืดค่ำ

สำหรับการเดินทางไปกาดหลวงจากหมู่บ้านทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือที่ธีรพลอาศัยอยู่ถือได้ว่าสะดวกสบายยิ่ง เพราะตลอดทั้งเส้นมีถนนทางดินราบเรียบกว้างกว่าสองวาตัดผ่านทุ่งนาและชายป่าบางส่วนไป ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนหลวง แก้วนวรัฐที่สร้างตัดผ่านชุมชนย่านวัดเกต ที่ซึ่งเป็นแหล่งพื้นที่ของพ่อค้าหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาจับจองใช้เป็นที่พำนักพักพิงทำธุรกิจกัน ดังจะเห็นได้จากการมีโรงหมอแผนตะวันตกและโรงเรียนที่ถูกตั้งขึ้นโดยมิชชันนารีหรือหมอสอนศาสนาให้ได้พบบนเส้นทางสายนี้ และบริเวณริมแม่น้ำฝั่งเดียวกันนี้เองก็จะมีท่าเรือที่ใช้ขนส่งสินค้าทางน้ำระหว่างพระนครกับเวียงพิงค์อีกด้วย

แม้หนทางจะราบเรียบ แต่กระนั้นธีรพลก็ต้องใช้เวลาเดินทางอยู่บนเกวียนกว่าสามชั่วโมงเศษ กว่าจะเข้ามาถึงริมแม่น้ำปิง เขาลัดเลาะตามลำน้ำผ่านสะพานจันทร์สมที่ใช้สำหรับคนข้าม ก่อนจะมาพบเข้ากับสะพานเหล็กนวรัฐ ที่ซึ่งเป็นสะพานเพียงแห่งเดียวที่ใช้สำหรับให้รถรายวดยานพาหนะข้ามผ่านไป

"ไอ้คำ ไอ้ฆ้อง อีกเดี๋ยวเอ็งสองตัวก็จะได้พักแล้ว อดทนหน่อยสิวะ" ธีรพลเอ่ยขึ้นในขณะที่เร่งเร้าเพื่อนสี่ขาที่เริ่มจะหงุดหงิดที่ต้องลากของหนักเป็นเวลานานจึงเริ่มไม่ยอมทำตามคำสั่ง แต่กระนั้นเขาก็ยังสามารถบังคับเกวียนเลี้ยวซ้ายย้ายขวาอย่างช่ำช่อง เคลื่อนผ่านผู้คนสัญจรและคันเกวียนโดยสารอันแน่นขนัดบนถนนไปได้อย่างราบรื่น

ธีรพลสาละวนหัวหมุนอยู่กับการจัดแจงสินค้านำไปส่งร้านที่สั่งซื้ออยู่ราวสองสามชั่วโมง กว่าที่จะรับเงินรวบรวมตรวจทานอย่างถี่ถ้วนแล้วเสร็จ อาทิตย์ก็พลันลอยข้ามหัวเวลาล่วงเลยเข้าช่วงบ่ายแก่แล้ว ด้วยความกังวลใจกลัวจะคลาดกับนวลที่ได้นัดหมายกันไว้ เขาจึงเสาะหาสถานที่จอดคันเกวียน ปลดแอกเอาหญ้าเอาน้ำให้วัวคู่ใจทั้งสองกิน ก่อนจะวิ่งตัวปลิวหายลับเข้าฝูงชนไปในบัดดล

แต่แล้วขณะจะเลี้ยวซ้ายที่หัวถนนนั้น เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นที่ลานดินข้างแม่น้ำก็พลันดึงดูดความสนใจของเขาไว้ ภาพของคนจำนวนมากมายยืนมุงดูอะไรบางอย่าง พร้อมกับเสียงตะโกนหนุนเนืองเฮลั่น ยกมือชี้ไม้ราวกับลุ้นไก่ชน อีกทั้งบางส่วนยังมีการตั้งราคาพนันขันต่ออย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองแต่อย่างใด จนทำให้ธีรพลอดใจไม่ไหวจึงรีบบึ่งเข้าไปดูด้วยความสงสัย

"ข้าถามเอ็งอีกครั้ง เอ็งจะยอมชดใช้หนี้หรือไม่?" ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่ยืนคุมเชิงอยู่อีกด้านหนึ่งของลานดินเอ่ยขึ้น

"ข้าพยายามหามาใช้คืนอยู่ แต่พวกเอ็งนั่นแหละที่มาระรานการค้าของข้าอยู่บ่อยๆ จนทำให้ชาวบ้านไม่กล้ามาจ้างงาน" ชายอีกคนที่อยู่ในสภาพหน้าตาปูดบวมโดนหิ้วปีกประกบซ้ายขวาโดยลูกน้องของอีกฝั่ง เถียงอีกฝ่ายคอเป็นเอ็นเอ่ยออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

"ก็เอ็งเล่นไม่ยอมจ่ายเงินตามที่ตกลงกันไว้ ตอนไปยืมเงิน เอ็งแทบจะกราบตีนอ้อนวอนขอเฮียจวง ดูตอนนี้สิ พอได้เงินไปแล้ว เอ็งกลับไม่เห็นหัวเฮียจวงเลย คิดจะชักดาบหรือไร?" ชายผู้เป็นหัวหน้าขบวนการทวงเงินนอกระบบชี้หน้าด่าทออีกฝ่าย พร้อมกับกลบเกลื่อนการกระทำของฝ่ายตนโดยชี้ชวนให้ชาวบ้านรู้สึกว่าชายผู้ถูกกล่าวหาไม่มีสัจจะวาจา

"ก็เล่นคิดดอกมหาโหดอย่างนี้ ใครจะหามาจ่ายให้พวกเอ็งได้ทันวะ" ผู้ถูกซ้อมที่ดูเหมือนจะโกรธแค้นเป็นที่สุด เอ่ยขึ้นพร้อมพยายามสะบัดแขนต่อต้านให้หลุดจากพันธนาการอีกฝ่าย ก่อนจะสบถด่าเป็นการใหญ่

ชายผู้เป็นหัวหน้าขบวนการเมื่อเห็นการกระทำที่ไม่เข้าตานี้ ก็พลันเดินปรี่เข้าหาอีกฝั่ง ง้างหมัดหมายจะต่อยอีกฝ่ายให้เลือดกบปาก โทษฐานที่กล้าบังอาจมาด่าทอหยามศักดิ์ศรีของอันธพาลประจำถิ่นอย่างพวกเขา

"ช้าก่อนพี่ชาย"

เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งร้องดังทัดทานขึ้นจากทางด้านหลังของกลุ่มไทยมุง

ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินแหวกฝ่าฝูงชนเข้ามาช้าๆ ดูจากภายนอกชายคนนี้รูปร่างดูสูงเหนือคนทั่วไปราวแปดในสิบส่วน ยามเดินเหินจึงดูสะดุดตาเด่นล้ำกว่ามวลชนเป็นพิเศษ อีกทั้งหน้าตาก็หล่อเหลาคมคาย จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาของสาวใหญ่และหญิงสาววัยแรกรุ่นให้ลุ่มหลงมัวเมา แน่นอนว่าชายผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน หรือก็คือธีรพลนั่นเอง

คำอธิบาย

[1] อ้าย มีความหมายตรงตัวว่า พี่ชาย โดยปกติจะใช้เป็นคำร้องเรียกแทน เพศชาย หรือ เด็กผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่ามาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเอ็นดูและความสนิทสนม

[2] กาดหลวง คือ ตลาดวโรรสในปัจจุบัน

[3]เวียงพิงค์ หรือก็คือ จังหวัดเชียงใหม่ ในปัจจุบัน

[4] พระนคร หรือก็คือ กรุงเทพมหานครฯ ในปัจจุบัน