webnovel

ครุฑาจอมราชันย์

ครุฑาจอมราชันย์เป็นนวนิยายแนวกำลังภายในแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ไทยในช่วง พ.ศ.2470 คาบเกี่ยวไปถึงห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเนื้อเรื่องจะเล่าถึงตัวเอกที่มีชื่อว่าธีรพล ชายชาวไทยเชื้อสายจีนผู้ได้รับอัตลักษณ์พลังสถิตรูปพญาครุฑนามว่าสุบรรณมาตั้งแต่กำเนิด ในวัยเด็กนั้นเขาได้ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มองค์กรลึกลับซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ พรรคภูติราชันย์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพรรคผู้ร่วมก่อตั้งของภาคีซันเหอหรือที่ชาวไทยรู้จักกันในนามว่าอั้งยี่ที่ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมากว่าหนึ่งร้อยสิบแปดปี แต่ด้วยความคิดจะตั้งตนเป็นเจ้าในแผ่นดินสยามจึงได้ถูกพรรคบัวมารมรกต หรืออีกหนึ่งพรรคก่อตั้งตลบหลังให้ความร่วมมืออย่างลับๆกับทางการ จนเป็นผลให้พรรคภูติราชันย์ถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินสยามในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ในเวลาต่อมา แม้ทางภาคีซันเหอจะคาดคิดว่าพรรคภูติราชันย์ได้หายสาบสูญไปสิ้นแล้วก็ตาม แต่เมฆผู้เป็นบิดาของธีรพลก็ได้ไปค้นพบหลักฐานของการดำรงอยู่ของพรรคภูติราชันย์เข้า จนส่งผลให้ทั้งตัวเขารวมไปถึงลี่ผู้เป็นภรรยาและธีรพลในวัยสี่ขวบถูกติดตามฆ่า จนในที่สุดเมฆและลี่ก็ถูกหนึ่งในขุนพลของอีกฝ่ายสังหารลง แต่สำหรับธีรพลที่ได้รับความช่วยเหลือจากทองใบเกลอคนสนิทของเมฆไว้นั้นก็สามารถหลบหนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบได้ที่เวียงพิงค์ อีกกว่าสิบห้าปีถัดมา ธีรพลในวัยฉกรรจ์ที่ได้รับการฝึกฝนมวยไทยอย่างหนักจากทองใบก็ต้องพบกับเรื่องราวที่ทำให้เขาได้รู้จักกับพลังงานชีวิต พลังงานธาตุ และอัตลักษณ์พลัง จนนำไปสู่การค้นพบสุบรรณในที่สุดซึ่งก็ทำให้เขาได้พัฒนาฝีมือขึ้นตามลำดับขั้น ด้วยโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตเขาต้องเข้าไปผัวพันกับภาคีซันเหอ องค์กรใต้ดินที่มีอิทธิพลสูงสุดในสยามประเทศ ธีรพลก็จึงได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าที่ผิดกฎหมาย และต้องต่อสู้กรุยทางเพื่อสร้างพรรคของตนให้มีอิทธิพลอำนาจสูงขึ้นในภาคีและตามล่าหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การสังหารครอบครัวของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับชะตากรรมของชีวิตผู้คนในพิภพสหัสดาราที่ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานต่างมิติกับโลกมนุษย์ ที่ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหนอันสืบเนื่องมาจากพระราชาองค์ปัจจุบันได้สิ้นพระชนม์ลง จึงทำให้บรรดาเผ่ามนุษย์ที่เคยสมัครสมานสามัคคีกันได้แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นแสวงหาอำนาจต้องการตั้งตนเป็นใหญ่ และที่สำคัญที่สุดเผ่าพันธุ์อสูรที่เคยถูกสยบอยู่กว่าสองพันปีก็ได้โอกาสอันดีเริ่มเคลื่อนไหวรุกรานอาณาจักรต่างๆอีกครึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ทิตยะ ก็ทำให้ธีรพลได้พบกับแม่ทัพใหญ่อัศวเมธ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้อ้อนวอนขอให้เขาช่วยเหลือตามหาองค์ชายราวินทร์ที่หายสาบสูญไปจากพิภพสหัสดารา ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วหลังจากธีรพลออกค้นหาอยู่ภายในโลกมนุษย์ได้สักระยะหนึ่งก็ได้พบกับองค์ชายราวินทร์และช่วยกันกำจัดพรรคภูติล้างวิญญาณซึ่งมีตัวการใหญ่ก็คือจอมเวทย์บุศัยยะ ผู้ที่แฝงตัวเข้ามายังโลกมนุษย์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงานธาตุจากอัตลักษณ์พลัง และที่สำคัญก็คือจอมเวทย์ผู้นี้เองเป็นผู้ที่สั่งการฆ่าครอบครัวของเขา เมื่อไม่มีจอมเวทย์บุศัยยะคอยบงการ พรรคภูติราชันย์จากที่จะสามารถล้มล้างภาคีซันเหอซึ่งเป็นศัตรูสำคัญลงได้และกำลังจะดำเนินแผนการยึดครองสยามประเทศ ก็ได้ถูกธีรพลซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นเป็นผู้นำภาคีพลิกสถานการณ์เข้าจัดการจนสามารถล้มจอมราชันย์ของพรรคลงได้ และทำลายแผนการอันชั่วร้ายของพรรคภูติราชันย์ทั้งหมด จากนั้นธีรพลก็ได้กลับไปยังพิภพสหัสดาราเพื่อช่วยเหลือองค์ชายราวินทร์ รวบรวมคนจากเผ่ามนุษย์ เผ่าปักษา เผ่านาคาและเผ่าสัตว์เทพเข้าต่อกรกับเผ่าอสูรที่จอมเวทย์บุศัยยะบงการอยู่ เพื่อขัดขวางการปลุกชีพจอมมารรามสูรที่เคยอาละวาดเมื่อราวสองพันปีก่อนลง ซึ่งด้วยพันธมิตรที่แข็งแกร่งและความเก่งกาจของธีรพลที่มีอัตลักษณ์พลังสถิตอยู่ด้วยกันถึงห้าตน ก็ทำให้เขาสามารถสังหารจอมเวทย์บุศัยยะผู้เป็นตัวการพรากชีวิตของบิดามารดาเขาลงได้และสามารถช่วยเหลือพิภพสหัสดาราไว้ได้ในที่สุด

Thanakorn_Pinchai · Fantasy
Not enough ratings
23 Chs

ตอนที่ 17 : แผนร้าย

ทันทีที่จิตสั่งการ พลังงานชีวิตในกายก็พลันหมุนเวียนในร่างอย่างเร็วรี่ เพียงชั่วลมหายใจเข้าออกไม่กี่ครา ร่างของธีรพลก็พุ่งเข้าหาคู่มือในระยะประชิดติดตัว

"เร็วมาก!"

ความคิดของนักสู้คู่มือยังไม่ทันได้สิ้นสุดลงดี กำปั้นซ้ายอันทื่อด้านของธีรพลก็พลันคุกคามเข้ามาในระยะหนึ่งศอก พร้อมกับแรงกดดันที่ไร้สภาพเข้าจู่โจมจนแทบทำให้เลือดลมปั่นป่วน

เมื่อเป็นดังนั้น ฝั่งนักสู้คู่มือก็พลันกดท่อนแขนขวาลงปัดป้องวิถีที่กำปั้นจะเคลื่อนผานอย่างมั่นเหมาะ แต่ในขณะที่หมัดซ้ายของธีรพลกำลังจะกระทบถูกนั้น กำปั้นข้างดังกล่าวก็พลันอันตรธานหายไป

เปรี้ยง!

พร้อมๆกับการเปิดช่องว่างที่ใบหน้าฝั่งซ้ายของนักสู้คู่มือ ธีรพลก็พลันก้าวเท้าซ้ายคืบสั้นๆ ก่อนจะบิดร่างหมุนกายท่อนบนในแนวขวาง ส่งศอกขวาเหวี่ยงกลับหลังเป็นเส้นโค้งอย่างสวยงาม ส่งเข้าที่ปลายคางของอีกฝ่ายอย่างถนัดถนี่

"หิรัญม้วนแผ่นดิน"

ศอกที่แฝงไว้ด้วยพลังอันแกร่งกร้าว ทันทีที่กระทบถูกหน้าของอีกฝ่าย ร่างของนักสู้คนดังกล่าวก็พลันล้มพับลง สิ้นสติกลางอากาศสลบเหมือดไปในทันที

เย้!

เสียงโห้ร้องด้วยความยินดีของสิงห์และกลุ่มของเฮียจวงที่ยืนให้กำลังใจธีรพลอย่างจดจ่ออยู่บนอัฒจันทร์เหดังลั่นขึ้น

"การคัดเลือกเสร็จสิ้นลงแล้ว เราได้ผู้ที่ผ่านเข้ารอบสองคนสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย ส่วนการจับฉลากแบ่งสายจะมีขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้ สำหรับวันนี้เชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านกลับไปพักผ่อนได้" กรรมการคนเดิมลุกขึ้นผายมือเอ่ยกล่าวกับแขกผู้ที่มาเข้าชมทุกท่าน ก่อนที่จะเดินเข้ามาพูดคุยกับธีรพลและคุณชายคนดังกล่าวที่ผ่านเข้ารอบ

"เนื่องจากทางพรรคเรามีกฎในเรื่องของการเก็บตัวนักสู้เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันจากผู้ไม่พึงประสงค์ เช่น การล้มมวย หรือลอบทำร้ายจนทำให้ขึ้นสังเวียนไม่ได้ ดังนั้นทางพรรคจึงได้จัดที่พักเฉพาะไว้สำหรับนักสู้ทุกคนภายในเขตพื้นที่เฉพาะ และเราก็ใคร่ขอความร่วมมือจากพวกเจ้าทั้งสองที่จะไม่ออกจากพื้นที่ไปโดยพลการ" กรรมการคนเดิมเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินนำคนทั้งสองไปยังเขตที่พักตรงมุมหนึ่งซึ่งมีการรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น

หลังจากพูดคุยล่ำลากับสิงห์เป็นการชั่วคราวแล้วเสร็จ ธีรพลก็ถูกพนักงานพรรคม้าเหล็กผู้หนึ่งเดินนำมายังกระโจมขนาดเล็กที่ด้านในสุดของบริเวณ ที่ซึ่งจะใช้เป็นที่พักแรมของเขาในค่ำคืนนี้ และเนื่องจากเป็นนักสู้ที่ไม่มีชื่อเสียงนัก ทางพรรคจึงจัดเครื่องเรือนของใช้ไว้เพียงหยาบๆ มีเพียงแค่เก้าอี้และเตียงอย่างละตัว กับเสื้อผ้าไว้ใช้สำหรับผลัดเปลี่ยนอีกชุดหนึ่งเท่านั้น

ด้วยเพราะที่อยู่ว่างไร้เรื่องราว แม้ว่าฟ้าจะมืดค่ำอาทิตย์จะดับแสงลงไปแล้วก็ตาม แต่ธีรพลก็ตัดสินใจที่จะออกไปเดินเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอมื้ออาหารเย็นที่ทางพรรคจะจัดยกมาให้รับประทานที่กระโจม

เมื่อคิดได้ดังนั้น ธีรพลก็จึงเดินเตร็ดเตร่เรื่อยเปื่อยสำรวจสถานที่อย่างสำราญใจ จนพอที่จะสามารถทำความเข้าใจโครงสร้างการจัดวางกระโจมของส่วนที่พักนักสู้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากภายนอกที่ดูจะเล็กกว่าส่วนอื่นๆของกิจการนั้น แท้ที่จริงแล้วภายในมีการจัดตั้งกระโจมเอาไว้ถึงกว่าสี่สิบหลังเลยทีเดียว ซึ่งธีรพลเองก็พอจะคาดเดาได้ว่าทางพรรคม้าเหล็กคงคิดอ่านมองการณ์ไกล ใคร่จัดงานประลองที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดมีนักสู้มารวมตัวกันกว่าครึ่งร้อย

ความคาดหวังเป็นสิ่งหนึ่ง แต่ความเป็นจริงในครั้งนี้มีนักสู้ฝีมือดีที่เชิญมาเข้าร่วมได้ทั้งหมดเพียงสิบสี่คนเท่านั้น ซึ่งเมื่อรวมธีรพลและคุณชายนักสู้อีกคนเข้าไปแล้วก็มีเพียงสิบหกกระโจมเท่านั้นที่มีผู้พักอาศัยอยู่ ดังนั้นเหล่านักสู้จึงถูกจัดวางให้เข้าพักแบบกระจายตัวกันอย่างหลวมๆ และโดยส่วนใหญ่ก็ถูกจัดให้เข้าพักในกระโจมที่มีอาณาบริเวณเป็นเอกเทศส่วนตัว อีกทั้งภายในยังตกแต่งไว้ด้วยเครื่องเรือนสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นสูง ซึ่งก็ทำเอาธีรพลแอบคิดน้อยเนื้อต่ำใจไม่น้อย ที่ตนถูกจัดวางให้เกียรติเป็นเพียงนักสู้ตัวประกอบเท่านั้น และนั้นก็ทำให้เขาปฏิญาณตนว่า จะต้องทำให้ทุกคนที่มองเขาเป็นเพียงนักสู้ปลายแถว ได้สำนักเสียใจในภายหลังให้จงได้

เมื่อเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินจนพอใจดีแล้ว ธีรพลก็เดินตรงกลับเข้ากระโจมของตนที่อยู่ด้านในสุดในทันที แต่ขณะที่กำลังจะผ่านพื้นที่อับแสงบริเวณกระโจมไร้ซึ่งคนพักอาศัยแถบหนึ่งนั้น ปลายตาอันแหลมคมของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นเงาร่างสายหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆล่อๆริมรั้วไม้ด้านหนึ่งเข้า

ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ธีรพลจึงรีบซุกซ่อนตัวเข้าที่มืดในบริเวณที่ใกล้ที่สุด และเคลื่อนไหวติดตามอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งอยู่ห่างจากเงาร่างปริศนานั้นไม่ถึงยี่สิบก้าว ก่อนจะสงบนิ่งกำหนดลมหายใจให้เบาบางที่สุด รอดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย

เงาร่างสายนั้นเหลียวซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังจนแน่ใจดีแล้วว่าไม่มีผู้ใดพบเห็น จึงได้ตัดสินใจกระโดดตีลังกาข้ามรั้วไม้ที่สูงกว่าสองวาออกไปในทันที และเนื่องด้วยรั้วที่สูงมากเสียจนแทบจะไม่มีมนุษย์ใดก้าวข้ามผ่านได้ เงาร่างสายนั้นจึงไม่ต้องห่วงพะวงว่าอีกฝั่งจะเวรยามเฝ้ารักษาอยู่ ร่างจึงหายกลืนลับในความมืดไปอย่างรวดเร็ว

แม้ไม่ต้องบอกก็พอจะทราบได้ว่าเงาปริศนาที่ทำตัวลับๆล่อๆอยู่นี้จะต้องมีแผนการอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่เป็นแน่ ดังนั้นธีรพลจึงไม่รอช้ารีบตามติดไปเพื่อให้รู้ความนัย เผื่อว่าความนั้นจะได้มีประโยชน์กับตนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

หลังจากสงบนิ่งฟังเสียงจากอีกฝั่งของรั้วไม้จนแน่ใจดีแล้วว่าอีกด้านไม่มีผู้ใดเฝ้าอยู่อีก ธีรพลจึงรีบกระโดดข้ามรั้วไม้ตามติดไป ก่อนจะเร่งสอดส่ายเสาะหาเงาร่างดังกล่าวที่เกือบจะลับตาไปในบริเวณโรงครัวของสถานที่ แต่ก็ยังโชคดีที่มีเสียงร้องเรียกอย่างแผ่วเบาสายหนึ่ง ช่วยทำให้เขาจำแนกทิศทางที่อยู่ของเงาร่างสายนั้นออก

ธีรพลเร่งฝีเท้าเคลื่อนเข้าใกล้อย่างระวัง ก่อนอาศัยกองข้าวของจิปาถะกองหนึ่งเข้าปิดบังร่างกาย ผนึกพลังงานชีวิตสดับฟังบทสนทนาความลับของอีกฝ่ายอย่างจดจ่อ

"ไอ้ดี ทางนี้" เสียงกระซิบร้องเรียกจากเงาร่างปริศนาดังขึ้น

"พี่ก้าน" ชายรูปร่างผอมเล็กคนหนึ่งขานตอบรับเอ่ยเรียกชื่อเงาร่างปริศนา ก่อนจะเดินตัวลีบเข้าหาอีกฝ่าย

"ข้ามีเวลาไม่มากนัก ก่อนอื่นเอ็งตอบคำถามข้ามาก่อนว่า เอ็งตรวจสอบดีแล้วหรือไม่ว่าไม่มีผู้ใดติดตามเอ็งมา?" เงาร่างปริศนาที่ชื่อก้านเอ่ยถามขึ้นอย่างจริงจัง

"ไม่มีผู้ใดตามฉันมาแน่นอนจ้ะ ฉันรับรอง" ไอ้ดีตอบ

"ถ้าอย่างนั้นเอ็งฟังคำสั่งของข้าให้ดี อีกเดี๋ยวตอนที่เอ็งนำเสบียงไปส่ง ให้เอ็งใส่ยานี่เข้าไปในอาหารที่จะนำไปให้นักสู้ที่พักอยู่ในกระโจมหลังด้านในสุด เข้าใจหรือไม่?" ก้านพูดเอ่ยขั้นตอนอย่างช้าๆ พร้อมกับยื่นขวดยาที่บรรจุของเหลวที่ไม่มีสีหลอดหนึ่งส่งให้ไอ้ดีอย่างระมัดระวัง

เมื่อฟังถึงตอนนี้ ธีรพลถึงกับนึกหวาดเสียวขึ้นในใจ เพราะตัวเขาเองไม่เคยนึกคิดเลยว่า ความลับที่ได้ฟังจากบทสนทนาดังกล่าวนี้จะเกี่ยวพันกับตัวเองโดยตรง อีกทั้งความลับที่บังเอิญได้มารับรู้นี้ ยังส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่ออนาคตของเขาในงานประลองที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้อีกด้วย

"เข้าใจจ้ะ"

ไอ้ดีพยักหน้าตอบรับด้วยเนื้อเสียงที่กังวลใจเป็นที่สุด ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างกล้าๆกลัวๆออกมา "แล้วถ้าเกิดว่าคนผู้นั้นรู้ว่าในอาหารมียาผสมอยู่ ฉันจะทำอย่างไรดีละจ๊ะ?"

"เอ็งไม่ต้องกังวลไป นี่คือสลอดที่ผ่านการสกัดมาเป็นอย่างดี รับรองว่าเมื่อผสมกับอาหารแล้วจะไม่มีผู้ใดสามารถสังเกตรู้ได้" ก้านเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจ พร้อมกับยื่นส่งเงินจำนวนหนึ่งซึ่งคาดว่าจะเป็นค่าจ้างวานงานในครั้งนี้ให้กับไอ้ดีไป

"เอ็งรู้ใช่หรือไม่? หากทางพรรคม้าเหล็กล่วงรู้ว่าเอ็งวางยานักสู้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น" ก้านยกมือขึ้นชี้หน้าข่มขู่ ซึ่งนั้นก็ทำให้ไอ้ดีทำได้เพียงแต่พยักหน้างึกๆรับด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

"ฉะนั้นเอ็งจงจำไว้ให้ดี จากนี้ไปอย่าทำตัวมีพิรุธ และห้ามผิดพลาดเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่?" ก้านเอ่ยกล่าวเสียงเย็น ขยุ้มคอเสื้อไอ้ดี ชักร่างอันผอมบางของอีกฝ่ายเข้ามากระซิบบอกเล่าโทษทัณฑ์หากการณ์ในครานี้ไม่สำเร็จ

"จ้ะ ฉันเข้าใจแล้วจ้ะพี่ก้าน" ไอ้ดีที่กำลังหวาดกลัว จึงรีบยกมือขึ้นพนมไหว้อีกฝ่ายปลกๆ ยืนนิ่งตัวเกร็งรับฟังคำสั่งวิธีการจากอีกฝ่ายอยู่อีกเที่ยวหนึ่ง และจึงขอตัวกลับไปทำหน้าที่ประจำของสถานที่ในทันที

เมื่อจัดวางแผนการแล้วเสร็จ ก้านหรือในที่นี้ก็คือนักสู้จากเวียงโกศัยที่เฮียสมบัติเคยเอ่ยถึงก็ไม่รั้งรออยู่อีก ร่างจึงพลันเคลื่อนไหวอย่างว่องไวกลับเส้นทางเดิม กระโดดพลิกข้ามรั้วไม้จนหายลับไปกับความมืดของเขตที่พักอาศัยไปในทันที

ตัดมาทางด้านธีรพลที่ตอนนี้รู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด เขาจึงไม่รีบเร่งที่จะกลับไปยังกระโจมที่พักของตน ร่างทรุดตัวนั่งลงอย่างปลอดโปร่ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

"โชคดีจริงๆ ที่ตามมาได้ยินแผนการนี้เข้า" ธีรพลเอ่ยขึ้นลอยๆราวกับพูดคุยกับดินฟ้าอากาศธาตุ

"เห็นจะจริงดั่งที่มนุษย์มีภาษิตที่ว่า คนดีผีคุ้ม ดูท่าเหมือนเจ้าจะมีเทวดาฟ้าดินคอยคุ้มครองป้องภัยอยู่ จึงได้จับพลัดจับผลูมารับรู้แผนร้ายเข้าโดยบังเอิญ" สุบรรณใช้จิตสื่อสารตอบกลับ

"ดูเหมือนเฮียสมบัติจะว่าจ้างชายที่ชื่อก้านนั่นด้วยเงินจำนวนไม่น้อย จึงได้อุกอาจกล้าเยียบจมูกเสือฝ่าฝืนกฎของพรรคม้าเหล็กเช่นนี้" ธีรพลเอ่ย

"คงจะคิดว่าตนมีฝีมือสูงเยี่ยม จึงไม่เกรงกลัวว่าจะมีผู้ใดมาพบเห็นพฤติการณ์เข้า ชายที่ชื่อก้านนั่นดูเหมือนว่าจะสามารถบังคับใช้พลังงานชีวิตได้คล่องแคล่วเฉกเช่นเดียวกับเจ้า และอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะประเมินพลังฝีมือของเจ้าเอาไว้แล้ว จึงได้เลือกใช้วิธีเช่นนี้" สุบรรณวิเคราะห์

"ท่านหมายถึง อีกฝ่ายตั้งใจใช้สลอดมาเพื่อตัดกำลังเราอย่างนั้นหรือ?" ธีรพลเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

"ใช่ เราคาดเดาว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะบั่นทอนพลังงานชีวิตภายในกายเจ้า แน่นอนว่าสำหรับผู้ที่สามารถบังคับใช้พลังชีวิตได้อย่างคล่องแคล่วนั้น แค่สลอดเพียงอย่างเดียวคงไม่อาจทำให้ถึงกับต้องหมดเรี่ยวสิ้นแรงจนเข้าร่วมงานประลองไม่ได้ แต่ก็เพราะสรรพคุณของสลอดนี้เองที่ไร้สีไร้กลิ่นยากแก่การแยกแยะจากอาหาร กว่าที่เจ้าจะรู้สึกตัวว่าโดนวางยา เวลาก็คงล่วงเลยจนพิษปะปนเข้าสู่กระแสเลือดไปแล้ว พอถึงเวลานั้นหากจะขับเอาฤทธิ์ของสลอดออกจากร่างกายจนหมดสิ้นคงต้องใช้พลังงานชีวิตเข้ารีดเร้นอยู่มากโข ครั้นพอถึงเวลาประลองซึ่งจัดแบบวันเดียวรู้ผลแล้ว จะช้าเร็วอย่างไรเสียเจ้าก็ต้องผลาญพลังงานชีวิตตัวเองจนหมดสิ้นไปในที่สุด ต่อจากนั้นผลสุดท้ายคงเลวร้ายสุดหยั่งคาด" สุบรรณกล่าวเสริมแยกแยะให้ฟังอย่างละเอียด

"ดีที่ไม่เป็นอย่างนั้น" ธีรพลทอดถอนใจอีกครั้ง ก่อนนั่งนิ่งครุ่นคิดตกอยู่ในภวังค์

"แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?" สุบรรณเอ่ยถาม

"ย่อมต้องไม่ให้ไอ้ก้านมันผิดหวังที่วางแผนมาเสียดิบดี" ทันทีที่คิดวิธีการฉกฉวยหาประโยชน์จากการล่วงรู้แผนการร้ายขึ้นได้ ธีรพลก็พลันแสยะยิ้มเย็นขึ้น แล้วจึงบอกกล่าววิธีแก้เผ็ดแก่สุบรรณไป