ในขณะที่หยวนจูวเย่ยืนครุ่นคิดในใจด้วยความสงสัยและแปลกใจ คนสนิทของเขาก็เผลอถอยเหยียบไปลงบนกิ่งไม้แห้งเข้า
แกร๊บ!
ฟ่งหลันหลั่นได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของใครบางคนอีกครั้ง นางจึงรีบหันขวับมองไปตามทิศทางที่มาของเสียงนั้นทันที
"ผู้ใดอยู่ตรงนั้น! ในเมื่อมาถึงนี่แล้วจะแอบซ่อนตัวเยี่ยงคนขลาดไปไย"
น้ำเสียงเศร้าสร้อยก่อนหน้านี้ของฟ่งหลันหลั่นเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวและดุดัน นางได้ตวาดถามขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว สายตากลมโตเพ่งมองไปตรงหลังต้นไม้ใหญ่ ห่างจากจุดที่ยืนอยู่ไม่มากนัก
หยวนจูวเย่รู้ตัวว่าตอนนี้คงไม่สามารถหลบซ่อนตัวจากสายตาของสตรีน้อยได้อีกต่อไป เขาจึงเปิดเผยตัวตนและเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่พร้อมทั้งคนคุ้มกันของเขา
พอสตรีน้อยได้เห็นหน้าของบุรุษผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ นางถึงกับเผยสีหน้าฉงนและแปลกใจ พลางเอ่ยถามขึ้น
"คุณชายหยวนหรอกงั้นหรือ ?...ว่าแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"
หยวนจูวเย่ไม่ทันได้เตรียมคำตอบไว้ เพราะเขาไม่คิดว่าตัวเองจะถูกจับได้ ในขณะที่กำลังคิดหาคำพูดเพื่อแก้ตัว อีกฝ่ายก็ชิงพูดก่อน
ฟ่งหลันหลั่นยกมือขึ้นชี้หน้าเขาและถามด้วยแววตาสงสัยและรู้สึกระแวงขึ้นมาจากพฤติกรรมของอีกฝ่าย
"นี่อย่าบอกนะว่าท่านแอบสะกดรอยตามข้ามาจากหอมู่ต๋า"
"ขออภัยแม่นางฟ่ง ข้ามิได้มีเจตนาร้านติดตามท่านมาอย่างที่ท่านคิด"
บุรุษหนุ่มรูปงามภาพลักษณ์หนุ่มเจ้าสำอาง พยายามคิดหาขอแก้ตัว แต่พออยู่ตรงหน้าสตรีน้อย สมองเขากลับดันทำงานช้าเสียได้
ฟ่งหลันหลั่นจ้องหน้าอีกฝ่ายกลับ นางทำตาเขม็งใส่เขาและคิดตามอย่างพิจารณา "ท่านไม่มีเจตนาแล้ว แล้วเหตุใดท่านถึงต้องสะกดรอยตามข้ากันล่ะ คนปกติที่ไหนเขาทำเยี่ยงท่านกัน" ยิ่งคิดนางยิ่งระแวงและสงสัยในตัวเขามากขึ้น
หยวนจูวเย่ตั้งสติและยิ้มสู้ให้กับสตรีน้อย และอธิบายกับนางอย่างสุขุม
"พอดีพวกข้ากำลังนั่งรถม้าเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง และบังเอิญระหว่างทาง กลับได้พบเจอแม่นางฟ่งตรงชายป่าโปร่งด้านโน้น และข้าแค่เป็นห่วงว่าท่านอาจจะเจอเรื่องร้ายเหมือนครั้งก่อนตอนที่พวกเรานัดพบกันยังศาลานักพเนจรได้ ข้ากับคนของข้าเลยตามมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าท่านปลอดภัยดี"
หยวนจูวเย่ปฏิเสธคำกล่าวหานั้นของอีกฝ่าย และพยายามพูดอธิบายร่ายยาว แต่มันก็ดูไม่เนียนเอาเสียเลย
"ท่านเดินทางผ่านมาแถวนี้อย่างนั้นเหรอ แล้วไหนล่ะรถม้าของท่าน ข้าไม่ยักจะเห็น" ฟ่งหลันหลั่นย้อนถามสวนกลับทันควันอย่างรู้ทัน
หยวนจูวเย่ยากที่จะโต้เถียงนางได้ทันควัน เพราะเขามีเจตนาอื่นแอบแฝงจริง ๆ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธในคำกล่าวหาของนาง ว่าตนไม่ได้ประสงค์ร้าย
ด้านฟ่งหลันหลั่น เมื่อตนได้พบของที่ตามหาแล้ว นางจึงคิดจะแยกตัวจากไป และตั้งใจกล่าวลาอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้นางจะไม่ทันเขาเสียแล้ว
"หากข้าเดาไม่ผิด แม่นางฟ่งกำลังจะเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงใช่หรือไม่ หากท่านไม่รังเกียจ เชิญร่วมทางไปพร้อมกับพวกข้าได้"
หยวนจูวเย่กล่าวชวนสตรีน้อยอย่างจริงใจ เพราะหากปล่อยให้นางเดินทางกลับเมืองหลวงตามลำพัง จิตใจเขาคงอยู่ไม่เป็นสุขเช่นกัน สู้มิพานางกลับไปพร้อมกัน วิธีนี้ดีกว่าเป็นไหน ๆ
ฟ่งหลันหลั่นยืนคิดชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
'จะว่าไปนั่งรถม้าของเขากลับเมืองหลวง สบายกว่าเดินเป็นไหน ๆ แถมร่างกายภายในของเรายังไม่หายกลับมาเป็นปกติ วรยุทธ์ก็ไม่มีติดตัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากเจอศัตรูระหว่างทางข้าคงตายก่อนที่จะได้แก้แค้นแน่ แต่ที่น่าแปลกคือ ทำไมเขาถึงไม่ถามเรื่องที่ว่าเรามาโผล่ที่นี่ทำไม ระวังไว้หน่อยดีกว่า'
พอสตรีน้อยคิดไตร่ตรองอย่างดีและคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่จะร่วมเดินทางไปพร้อมกับอีกฝ่าย นางจึงตอบตกลงในคำเชิญชวนนั้นของเขา
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
กึง กึง ...
ระหว่างทางที่หยวนจูวเย่กับฟ่งหลันหลั่นกำลังนั่งรถม้าของสกุลหยวนเพื่อเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง
กึง!
จู่ ๆ รถม้าก็หยุดชะงักอย่างไม่มีการบอกกล่าวจากคนบังคับม้าซึ่งนั่งอยู่ด้านนอกตัวรถแต่อย่างใด
และท่ามกลางความสงสัยแปลกใจของบุรุษและสตรีในรถม้า ด้านนอกตัวรถก็เกิดเสียงดังขึ้น
เคร้ง! เคร้ง!...เสียงของอาวุธดังขึ้นจากการต่อสู้กันอยู่ทางด้านนอกตัวรถม้า
หยวนจูวเย่กับฟ่งหลันหลั่นหันมองหน้ากันอย่างสงสัย จากนั้นเขาก็หันไปเปิดผ้าม่านหน้าต่างข้างลำตัว เพื่อดูสถานการณ์ด้านนอก
สตรีน้อยมองตามอย่างใคร่รู้
และภาพที่ปรากฏต่อสายตาของคนทั้งสองคือ คนสนิทของหยวนจูวเย่ กำลังถูกกลุ่มคนจำนวนหนึ่งพร้อมอาวุธครบมือ ยืนล้อมรอบตัวเขาอยู่ แววตาของคนพวกนั้นที่ลอดผ่านผ้าสีดำที่ปิดหน้าอยู่ ดูเหี้ยมเกรียมไร้ปรานี
"โจรป่าอีกแล้วงั้นหรือ ท่านกับข้านี่พบกันทีไรเป็นมีเรื่องทุกที ดวงช่างพากันซวยเสียจริง ให้ตาย!" สตรีน้อยกล่าวขึ้นอย่างหงุดหงิด โดยไม่ทันคิดไตร่ตรองคำพูดให้ดีก่อน
เพราะการที่จู่ ๆ ก็มีโจรป่าดักซุ่มปล้นกลางทาง สถานการณ์เช่นนี้ ฟ่งหลันหลั่นผู้สูญเสียวรยุทธ์ไปแล้วนั้นจึงยากที่จะปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากการจู่โจมของศัตรูได้
ส่วนหยวนจูวเย่ เขาเป็นบัณฑิตหนุ่มที่เก่งกาจด้านบู๋นแต่ไม่ได้ถนัดหรือเชี่ยวชาญทางบู๊ จึงต้องรีบคิดหาวิธีที่จะพาตัวเองและสตรีน้อยข้างกายให้เอาตัวรอดไปจากสถานการณ์อันตรายนี้ให้เร็วที่สุด
แม้ตัวเองจะไม่มีวรยุทธ์ แต่เขาก็มีความเป็นชายชาตรี กล้าหาญและพยายามปกป้องหญิงสาวที่ร่วมเดินทางมากับตน แม้ภัยจะมาถึงตัว เขาก็ไม่คิดจะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว
ในขณะที่ทั้งสองคนในรถม้า ต่างฝ่ายก็กำลังคิดหาวิธีที่จะเอาตัวรอดไปจากจุดตรงนั้น โชคยังดีที่คนสนิท ผู้คุมครองของหยวนจูวเย่ มีฝีมือด้านการต่อสู้อยู่ไม่ใช่น้อย จึงพอจะต่อกรกับกลุ่มโจรป่าได้มาระยะหนึ่งแล้ว
แต่ทว่ากลุ่มพวกโจรป่านี้มีจำนวนคนที่มากกว่า เมื่อคนบังคับรถม้าถูกฆ่าตาย ม้าก็แตกตื่นและตระหนกตกใจมาก ซึ่งฟ่งหลันหลั่นมีประสบการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี นางจึงรีบลุกขึ้นและดึงแขนของหยวนจูวเย่ ลากตัวเขาออกจากรถม้าอย่างรวดเร็ว
และทันทีที่ทั้งสองคนลงมาจากรถม้าได้ ก็เป็นไปตามที่ฟ่งหลันหลั่นได้คาดคิดไว้ ม้าที่ลากเทียมรถม้าอยู่เกิดอาการตื่นตระหนกเพราะได้ยินเสียงของการต่อสู้อย่างดุเดือดของคนสองกลุ่ม พวกมันจึงพากันวิ่งหนีเตลิด ลากรถม้าของหยวนจูวเย่หายเข้าป่าอย่างรวดเร็ว
ในเวลาต่อมา ทั้งสามคนก็ได้ถูกฝ่ายที่มากกว่ายืมล้อมรอบถูกล้อมไว้ ทุกด้าน
แผ่นหลังของคนทั้งสามกำลังหันเข้าหากัน สายตาทั้งหกจ้องมองไปยังศัตรูตรงหน้า ในหัวก็พยายามคิดหาทางพาตัวเองและคนอื่นออกไปจากตรงนั้น
และช่วงเวลาคับขันนั้นเอง
กุบกับ กุบกับ...เสียงฝีเท้าของม้าจำนวนมากมายหลายคู่กำลังควบตรงดิ่งมาทางพวกเขาด้วยความรวดเร็ว
ฮี้ ฮี้...
ย่าซ! ย่าซ์! ตามมาด้วยเสียงของคนควบคุมม้าและออกคำสั่งเพื่อให้พวกมันเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
หยวนจูวเย่มีสายตากว้างไกล เขาจึงมองเห็นธงสีดำผืนใหญ่พลิ้วไหวโบกสะบัดมาแต่ไกล เขาถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งใจและพูดขึ้นเบา ๆ
"แม่นางฟ่งไม่ต้องกลัว ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว หน่วยพยัคฆ์ดำ กำลังมาช่วยพวกเรา"
ฟ่งหลันหลั่นได้ยินเช่นนั้น นางจึงหันไปมองเขาเหมือนมีป้ายตกใจตัวโตปรากฏขึ้นบนดวงหน้างาม
"หน่วยพยัคฆ์ดำ! คงจะไม่ใช่..."
ความสงสัยและความหวั่นวิตกบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว จากนั้นสีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนแสดงความกังวลใจออกมาอย่างชัดเจน
....
เซียงไค 盛開