webnovel

ข้ากลายเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม

องค์หญิงอวี้หลัน องค์หญิงน้อยผู้แสนอาภัพ แห่งแคว้นโหย่ว ในวัยเพียงแปดชันษา พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าและเจ็บปวด ทั้งการกลั่นแกล้ง ใส่ความให้ร้ายของเหล่าคนรอบกาย เพื่อหวังจะยึดครองตำแหน่งองค์หญิงสุดที่รักจากท่านอ๋องใหญ่บิดาของนาง ซึ่งเป็นถึงองค์ รัชทายาทของแคว้นโหยว ความโชคร้ายไม่จบสิ้น มีคนร้ายได้ลอบวางยาพิษลงในสระน้ำส่วนตัวขององค์หญิงน้อย ทำให้นางต้องจบชีวิตลงในชั่วพริบตาที่สูดดมกลิ่นหอมพิษ ซึ่งโชยขึ้นมากับไอน้ำ ก่อนที่จะสิ้นใจตายพระนางได้อธิษฐานว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่ ตนก็ปรารถนาเกิดเป็นคนธรรมดา แม้จะไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่ร่ำรวยเงินทองอย่างที่เคยเป็น ก็ยินดีเช่นนั้น และแล้ว องค์หญิงน้อยก็ได้สิ้นพระทัยลงต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ตลอดช่วงชีวิตที่มีมา องค์หญิงน้อยพบว่าไม่เคยมีใครสักคนที่รักนางจริงแม้แต่คนเดียว แต่พระนางคิดผิด... สิบปีผ่านไป องค์หญิงผู้แสนอาภัพ ได้มีชีวิตใหม่ในนาม ฟ่งหลันหลั่น หญิงสาวชาวยุทธ์ทั่วไป แม้ฝีมือด้านวิทยายุทธ์จะไม่เก่งกาจมากนัก แต่นางนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรมหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ด้วยนิสัยรักความยุติธรรมมากเกินไป นางจึงมักเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง ฟ่งหลันหลั่นได้เกิดพลาดพลั้งเสียทีให้กับศัตรูที่ตามมาแก้แค้น หนึ่งในคนพวกนั้นได้ใช้อาวุธลับ ซัดใส่นางเองจนนางถูกพิษชนิดหนึ่งเข้า และทำให้สูญเสียวรยุทธ์ไปชั่วคราว พอรู้สึกตัวอีกที ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กลายมาเป็นสาวใช้คนใหม่ของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหย่ว แม่ทัพใหญ่ของจวนนี้คือ หลงอี้หลิง ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงเลื่องลือเกรียงไกรด้านการรบ นามของเขานั้นเป็นที่โจษจันและเกรงกลัวของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก หลงอี้หลิง ได้ใช้พลังหยินในตัวของเขา ช่วยขับพิษในกายให้ฟ่ง-หลันหลั่น และได้เผลอเปิดจุดลมปราณที่เคยถูกสกัดไว้ให้นางด้วย ทำให้ความทรงจำที่เคยหายไปกลับคืนมา องค์หญิงอวี้หลันทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของตนได้ทั้งหมด ว่าตนไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นเพราะพระองค์พยายามลบความทรงจำที่เจ็บปวดเลวร้ายนั้นให้หายไป เมื่อองค์หญิงน้อยอวี้หลันจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงอยากที่จะเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง แต่ด้วยต้องแลกความทรงจำให้กลับมา ด้วยการที่ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปโดยถาวร ทำให้ต้องตกเป็นหน้าที่ของหลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่ผู้คลั่งรักต้องออกโรง ช่วยแก้แค้นแทนและทวงคืนความยุติธรรมให้กับสาวใช้ของตน เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไง หลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยว จะช่วยฟ่งหลันหลั่นหรือองค์อวี้หลัน แก้แค้นและทวงความยุติธรรมได้หรือไม่ ต้องมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

Anastazia23_Boss · History
Not enough ratings
91 Chs

ตอนที่ ๑๑ แขกของมู่เซียวหลาน

ณ ภัตตาคารเฝิงฟู่ แห่งเมืองจิ้ง

ภัตตาคารอาหารขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองจิ้ง ไม่ว่าจะเรื่องรสชาติ การบริการและความใหญ่โตหรูหราโอ่อ่าฟู่ฟ่าของสถานที่ ทำให้เหล่าพ่อค้า พวกเศรษฐีคนมีฐานะ คนชั้นสูงและขุนนางทั้งหลาย พวกเขาล้วนแต่นิยมชมชอบแวะเวียนมานัดพบสังสรรค์ที่นี่อย่างไม่ขาดสาย

หลงอี้หลิงนั่งอยู่ภายในห้องอาหารส่วนตัวของภัตตาคารเฝิงฟู่ บนโต๊ะไม้กลมขนาดใหญ่ตรงหน้า ยังเต็มไปด้วยอาหารคาวหวานมากมายถูกจัดวาง กลิ่นและสีสันช่างยั่วน้ำลายคนมองเป็นอย่างมาก เขายกถ้วยชาในมือขึ้นดื่มด้วยท่าทางสงบและผ่อนคลาย

โดยมีจางเก่อลูกน้องคนสนิทข้างกายอีกคน ใบหน้าที่มีรอยบากเล็กน้อยจากการต่อสู้ ดวงตาฉายแววสุขุมจริงจัง

ในมือของเขาถือกระบี่อยู่หนึ่งเล่มพร้อมกับยืนกอดหน้าอกด้วยท่าทีนิ่งเงียบ ซึ่งห่างจากผู้เป็นนายไปทางด้านหลังสามก้าว

แอ๊ด...

เข่อลั่วลูกน้องคนสนิท ผู้มีผิวขาว รูปร่างท้วมเจ้าเนื้อเล็กน้อย เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ผู้เป็นนายวางถ้วยชาลงบนโต๊ะและเอื้อมไปหยิบกาน้ำ รินชาลงในถ้วยอีกใบ พร้อมกับเลื่อนไปวางลงบนที่นั่งซึ่งว่างอยู่ทางด้านข้างของเขา

"เข่อลั่วเจ้าไปสืบได้ความอะไรมาบ้างไหม" น้ำเสียงแฝงความเคร่งขรึมน่าเกรงขามเอ่ยถามขึ้น

ลูกน้องคนสนิทนั่งลงพร้อมกับยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นอย่างกระหาย ก่อนจะร่ายยาวตอบคำถามเจ้านาย ที่กำลังรอฟังคำตอบอยู่

"เป็นไปตามที่คุณชายคาดคิดไว้ โจรป่ากลุ่มนั้นคงไม่ใช่โจรธรรมดาทั่วไป แต่ข้าสงสัยว่าอาจจะเป็นคนของเยี่ยอ๋อง แต่ตอนนี้พวกเรายังขาดหลักฐานที่จะสาวไปถึงต้นตอได้ขอรับ"

"คนของเยี่ยอ๋องกระนั้นหรือ ?"

สิ่งที่เข่อลั่วได้รายงานมา ดูเหมือนก็เป็นสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มกำลังสงสัยอยู่เช่นกัน เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะและนั่งนิ่งเงียบ ครุ่นคิดบางอย่างในใจ ใบหน้าดูมีความกังวลถึงอะไรบางอย่าง

"พวกเราคงต้องเร่งสืบหาหลักฐานให้ได้ ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความเลวร้ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโกงเสบียงของทหาร รวมทั้งการแอบสับเปลี่ยนอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานพวกนั้น...จางเก่อ เจ้าไปช่วยเข่อลั่วตามสืบอีกแรงก็แล้วกัน"

"ขอรับนายน้อย" นายกองหนุ่มรับคำสั่งอย่างหนักแน่น

จู่ ๆ เข่อลั่วก็แสดงท่าทีลุกลี้ลุกลนเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ดูลังเลใจที่จะเปิดเผยออกมา

หลงอี้หลิงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของลูกน้อง ที่ดูเหมือนอยากจะพูดแต่ไม่กล้าเอ่ยมันออกมา และรู้สึกขัดตากับอากัปกิริยาลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขนั้น

"เจ้าต้องการจะกล่าวอะไรก็พูดมาซะเถอะเข่อลั่ว ทำท่าทางเหมือนคนปวดท้องหนักเยี่ยงนั้น มันขัดตาข้าเสียจริง"

เข่อลั่วได้รับการเปิดทางเช่นนั้นเขาก็กล่าวเสริมนอกเรื่อง เพราะคิดว่าผู้เป็นนายอาจจะสนใจอยากรู้

"อะ เอ่อ ตอนที่ข้าเดินเข้ามาในภัตตาคารเฝิงฟู่ เหมือนข้าจะเห็นแม่นางน้อย คนที่ตกลงไปยังหน้าผาด้านล่างพร้อมกับท่านในครั้งนั้น แต่นาง..." และก็เป็นไปตามที่เขาคาดคิดไว้ พูดยังไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

จางเก่อได้ยินสหายสนิท สหายร่วมงานบอกผู้เป็นนายเช่นนั้น เขาจึงกล่าวแทรกขึ้นระหว่างการสนทนาของทั้งคู่ด้วยความสงสัย "นายน้อย..." แต่ยังไม่จบประโยค เขาก็ต้องเงียบเสียงลง

แม่ทัพหนุ่มผู้นิ่งสุขุมและใจเย็นเสมอมา จู่ ๆ ก็วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง จนน้ำชากระฉอกออกมาเปื้อนบริเวณโดยรอบ

เข่อลั่วสะดุ้งตัวโหยงเล็กน้อย เขาใช้หางตาเหล่มองท่าทีของเจ้านาย และแอบคิดสงสัยในใจ

'สงสัยนายน้อยคงจะโกรธที่ถูกแม่นางคนนั้นจากไปโดยไม่ร่ำลาเป็นแน่' จากนั้นก็นั่งนิ่งตัวเกร็ง รอฟังคำสั่งอย่างเงียบ ๆ

"สตรีน้อยผู้นั้น อยู่ที่นี่ด้วยอย่างนั้นรึ!" น้ำเสียงโกรธขึ้งของแม่ทัพหนุ่มตะคอกขึ้นเบา ๆ

เข่อลั่วรีบตอบอย่างฉะฉานชัดถ้อยชัดคำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

"ขอรับ! ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นเดินตามมู่เซียวหลาน เจ้าของหอคณิกาแห่งเมืองจิ่ว เข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวของภัตตาคารเฝิงฟู่ ซึ่งอยู่ถัดไปจากห้องของพวกเรา แต่วันนี้นางสวมใส่อาภรณ์สีขาว แต่งกายเยี่ยงบุรุษ ใบหน้าหล่อเหลางดงามไม่แพ้ตอนเป็นอิสตรี และดูเหมือนพวกนางจะนัดพบกับใครบางคนที่นี่ด้วย"

แม่ทัพกล่าวน้ำเสียงเข้ม ดวงตาเลื่อนลอยจับจ้องมองไปยังคราบน้ำชาที่กระฉอกออกมาจากถ้วยจนเจิ่งนองเป็นทางบนโต๊ะนั้น

"เข่อลั่ว ไปตรวจสอบดูทีว่าพวกเขามาพบผู้ใดกัน แต่ระวังอย่าให้ถูกจับได้ เพราะมู่เซียวหลานผู้นั้น ไม่ใช่คนที่จะยอมให้พวกเราสืบเรื่องของนางได้อย่างง่าย ๆ"

"ขอรับคุณชาย" เข่อลั่วรับคำเสร็จก็เดินปลีกตัวออกไปจากห้องทันที

หลงอี้หลิงยังคงนั่งนิ่งเงียบและจ้องมองถ้วยชาบนโต๊ะ สายตาเหม่อลอยเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

จางเก่อไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่ม เขายังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิมและรอฟังคำสั่งของผู้เป็นนายอยู่เงียบ ๆ เช่นเคย

ทางด้านฟ่งหลันหลั่น ได้ติดตามมู่เซียวหลานเดินทางออกมายังเมืองจิ้ง

หลังจากที่ทั้งสองคนได้เดินเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวของภัตตาคารเฝิงฟู่ พวกนางก็ได้เจอกับบุคคลที่เจ้าของหอคณิกานัดพบในวันนี้

บุรุษผู้หนึ่ง ผิวพรรณและหน้าตาของเขาช่างมีรูปโฉมเฉลางดงามคล้ายอิสตรี การแต่งกายก็สวมใส่อาภรณ์ที่ดูหรูหรามีราคา บ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึงฐานะทางสังคมของเขา

บุรุษผู้นี้มีนามว่า หยวนจูวเย่ ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของมหาเสนาบดีกรมคลัง

มู่เซียวหลานนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายบุรุษรูปงามอย่างเชื่องช้าและกล่าวทักทายเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

"ขออภัยที่ให้คุณชายหยวนรอนาน เยี่ยงนี้"

"ท่านกล่าวเกินไปแล้ว เป็นเกียรติของข้าเสียอีกที่นายหญิงแห่งหอมู่ต๋า นัดเชิญให้มาพบเป็นการส่วนตัวเยี่ยงนี้"

บุรุษรูปงามกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มฟังดูรื่นหู รอยยิ้มหวานและสายตาของเขาที่ฉายออกมาช่างดูแพรวพราวยิ่งนัก

ฟ่งหลันหลั่นยืนเพ่งมองจ้องหน้าบุรุษรูปงามครู่หนึ่ง พลันเบนสายตากวาดสำรวจมองไปรอบตัวเขาอย่างไม่รอช้า และขบคิดอย่างประหลาดใจ

'คนผู้นี้เป็นบุรุษแท้ ๆ แต่กลับมีรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณงดงามยิ่งกว่าสตรีอย่างข้าเสียอีก สงสัยว่าเขาคงจะมาจากเชื้อสายตระกูลสูงศักดิ์หรืออาจจะเป็นบุตรของขุนนางชั้นสูง...ว่าแต่มู่เซียวหลานมาพบเขาทำไมกัน แถมยังกำชับให้เราแต่งกายเป็นบุรุษอีก' และยังคงจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา

หยวนจูเย่วชายตาหันมาสบตาเข้ากับฟ่งหลันหลั่นและจ้องมองกลับ เขาเองก็กวาดสายตาสำรวจบุรุษรูปงามผู้มีดวงหน้าหวานราวกับอิสตรีตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

สายตาคมปลาบของบุรุษผู้นี้ ทำให้ฟ่งหลันหลั่นความรู้สึกอึดอัดไม่ผ่อนคลายเอาเสียเลย นางจึงถามเขากลับไปอย่างไม่ชอบใจ โดยกดโทนเสียงในลำคอให้ทุ้มต่ำลงเพื่อปกปิดเส้นเสียงจริงเอาไว้

"คุณชายผู้นี้ ท่านมีปัญหาอันใดกับข้ากระนั้นหรือ เหตุใดจึงมองข้าด้วยสายตาแทะโลมและหยาบโลนเช่นนั้นกัน"

หยวนจูวเย่หยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะส่งสายตาพร้อมโปรยยิ้มหวานอย่างมีเลศนัยแอบแฝงให้กับคนที่กล่าวถามตน

"ข้าเพียงจ้องมองท่าน เฉกเช่นที่ท่านจ้องมองข้าก่อนหน้านี้กระไรเล่า" คำตอบของหยวนจูวเย่ ช่างยียวนกวนประสาทคนถามเสียเหลือเกิน

มู่เซียวหลานสังเกตเห็นท่าทีแปลกไปของฟ่งหลันหลั่น นางเองก็รู้จักแววตาคู่นั้นเป็นอย่างดี เพราะหากได้จับจ้องมองผู้ใดนาน ๆ เยี่ยงนี้ นั่นหมายความว่าถ้าเจ้าตัวไม่เคยไปก่อเรื่องไว้กับคนผู้นั้น ก็อาจจะเป็นคนที่นางเคยช่วยเหลือไว้นั่นเอง

ทุกคนในเมืองจิ่ว ต่างรู้ถึงกิตติศัพท์และชื่อเสียงนี้ของฟ่งหลันหลั่นเป็นอย่างดีเช่นกัน

อารมณ์ของฟ่งหลันหลั่นเริ่มคุกรุ่นหนักขึ้น ในจังหวะที่นางคิดจะตอบโต้สวนกลับ ก็ฉุกคิดได้ว่าตนมาที่ภัตตาคารเฝิงฟู่ในฐานะอะไร จึงพยายามควบคุมอารมณ์ของตนและทำได้แค่เพียงยืนกำหมัดแน่น

มู่เซียวหลานสังเกตท่าทีทั้งสองก็รู้สึกแปลกใจ และใคร่อยากรู้ขึ้นมาว่าสองคนนี้รู้จักกันในฐานะใด นางจึงตัดสินใจพูดแทรกขึ้นมา "พวกท่านทั้งสองเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้กระนั้นหรือ"

ฟ่งหลันหลั่นคงแสดงท่าทีสนใจบุรุษตรงหน้าออกมาชัดเจนจนเกินไป จึงได้ถูกมู่เซียวหลานสังเกตเห็นเข้า

ด้านหยวนจูวเย่ ชิงตอบขึ้นก่อนสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"ไม่เคย"

ฟ่งหลันหลั่นตอบสวนกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำและไม่ลืมที่จะควบคุมโทนเสียงและจังหวะการพูดของตนให้ฟังดูคล้ายบุรุษ

"ขออภัยที่เสียมารยาทต่อแขกของแม่นางมู่ ข้าเพียงแค่ต้องการตรวจสอบผู้ที่ท่านมาพบตามหน้าที่ เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ " จากนั้นนางก็เดินไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังของมู่เซียวหลาน

"ว่าแต่วันนี้แม่นางมู่ เปลี่ยนผู้ติดตามคนใหม่กระนั้นหรือ"

เขาเอ่ยถามโดยไม่ทันได้มองคนข้างหลังของมู่เซียวหลานอย่างตรง ๆ ด้วยซ้ำไป

มู่เซียวหลานนึกขึ้นมาได้ จึงได้แนะนำทั้งสองคนให้แก่อีกฝ่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้ง นางผายมือไปยังบุรุษตรงหน้า

"ขออภัยที่ข้าลืมแนะนำไป บุรุษรูปงามผู้นี้มีนามว่า หยวนจูวเย่ ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของมหาเสนาบดีกรมคลัง" จากนั้นมู่เซียวหลานก็เอียงหน้าหันไปทางผู้ติดตามของตน

"และผู้นี้ คือคนติดตามของข้าในครั้งนี้ มีนามว่า ฟ่งหลั่น"

หยวนจูวเย่ชายตามองตามหลังของบุรุษหน้าหวาน จากนั้นเขาก็เผยยิ้มอ่อนใบหน้าและยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างใจเย็นอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสองตรงเบื้องหน้าอย่างตรงไปตรงมา

"แม่นางมู่ นี่ท่านไม่ไว้ใจหรือคิดดูถูกข้ากัน ขนาดต้องคิดหาวิธีสร้างเรื่องปกปิดต่อสายตาข้าถึงขั้นนี้เลย" น้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงความขุ่นเคืองใจไว้ในนั้น

มู่เซียวหลานรู้สึกสะอึกเล็กน้อยกับคำกล่าวนั้นของหยวนจูวเย่ แต่นางยังคงควบคุมสติ วางตัวนิ่งสงบและใจเย็น ไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนหรือกังวลใจเผยพิรุธออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น ´

ชั่วหนึ่งอึดใจ นางก็เผยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มและกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น

"ขออภัย ข้าเป็นเพียงสตรีที่ไร้ซึ่งความรู้มากมายนัก จึงมิอาจเข้าใจในถ้อยคำและเจตนาของคุณชายหยวนที่สื่อออกมาไม่"

น้ำเสียงอันนุ่มนวลไพเราะ ฟังดูรื่นหูชวนฟังของมู่เซียวหลานช่างไม่แพ้รูปโฉมของนางเลยสักนิด

เมื่อได้ฟังนายหญิงแห่งหอมู่ต๋ากล่าวขึ้นมาเช่นนั้น จู่ ๆ หยวนจูวเย่ก็พลันหัวเราะร่าเสียงดังออกมาอย่างชอบใจ

ฮ่าฮ่าฮ่า...

"แม่นางมู่ หากท่านต้องการทำธุรกิจกับข้า..." หยวนจูวเย่เอ่ยขึ้นและหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง พร้อมกับชำเลืองมองไปทางฟ่งหลันหลั่นเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวต่อ "...สองสิ่งแรกที่ท่านควรจะต้องคำนึงถึง นั่นความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและความจริงใจมิใช่หรือ"

เขาเน้นน้ำหนักของคำและเสียงในช่วงประโยคท้าย และเผยความไม่พอใจออกมาผ่านถ้วยชาที่กำลังรินอยู่ โดยตอนนี้น้ำได้ล้นถ้วยกระฉอกนองไปบนโต๊ะ แต่ก็เขายังไม่หยุดมือ

ฟ่งหลันหลั่นยืนมองและคอยคุมเชิงอยู่ทางด้านหลัง รอดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ เพราะหน้าที่ของนางในวันนี้คือเป็นผู้คุ้มกันให้กับนายหญิงแห่งหอมู่ต๋าเพียงเท่านั้น จึงไม่อาจจะทำอะไรผลีผลามตามใจตัวเองได้เหมือน ทุกครั้ง มิฉะนั้นจะพานทำให้ผู้อื่นเสียงานไปด้วย

บรรยากาศภายในห้องตอนนี้ เริ่มตึงเครียดขึ้นอย่างช้า ๆ ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบและรอดูการโต้ตอบของฝ่ายตรงข้ามว่าจะมาในทิศทางไหน

....

เซียงไค 盛開