ภายในกระโจมที่พักของแม่ทัพหนุ่ม
หลังจากที่เข่อลั่วเดินกลับออกไปเรียบร้อย ทั้งหลงอี้หลิงกับฟ่งหลัน-หลั่นก็แยกตัวออกจากกัน แม่ทัพหนุ่มอาศัยทีเผลอของสตรีน้อย แย่งห่อผ้าในมือของนางมาถือไว้ดังเดิม
ฟ่งหลันหลั่นถูกแย่งห่อผ้าซึ่งมีของสำคัญซ่อนอยู่ไปเช่นนั้น นางก็ออกอาการหุนหันพลันแล่นพูดเสียงดังทวงของคืนจากเขา
"เอาห่อผ้าของข้าคืนมานะ"
น้ำเสียงไม่พอใจกับท่าทีหวงแหนสิ่งของอย่างที่สุดของสตรีน้อย ทำให้แม่ทัพหนุ่มเกิดความแปลกใจว่าเพียงแค่ของสิ่งนี้ เหตุใดนางถึงได้ออกอาการไม่พอใจหนักเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาล่วงเกินนาง แต่นางยังไม่ได้ออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงเช่นนี้
ยิ่งสตรีน้อยพูดและแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้ แม่ทัพหนุ่มยิ่งชูห่อผ้าขึ้นสูง ส่วนอีกฝ่ายก็กระโดดโหยง ๆ และเอื้อมมือไปแย่งห่อผ้าคืนจากมือของเขาอยู่หลายที แต่เหมือนความพยายามจะไร้ผล
"ทำไม ในนี้มีอะไรซ่อนไว้และไม่อยากให้ข้ารู้กระนั้นหรือ"
คำถามนั้นของแม่ทัพหนุ่มยิ่งทำให้สตรีน้อยเกิดความรู้สึกร้อนใจ ดวงตากลมใสแสดงท่าทีกังวลและเผยพิรุธออกมาอย่างไม่รู้ตัว
"ไม่มี! ข้าเพียงแต่อยากได้ห่อผ้าของข้าคืนก็เท่านั้น"
ในจังหวะที่ฟ่งหลันหลั่นกระโดดโหยง ๆ อยู่ตรงเบื้องหน้าแม่ทัพหนุ่ม เจ้าตัวก็ได้ก้มหน้าต่ำมองนาง สายตาจ้องพินิจพิจารณาราวกับว่ากำลังสอบสวนและจับผิดนางอยู่
ความรู้สึกผ่านออกมาจากดวงตาสีนิลคมกริบ เล่นเอาสตรีน้อยถึงกับเกิดความรู้สึกประหม่า เพราะกลัวว่าจะโดนล่วงรู้ความลับที่ตนเองเก็บซ่อนไว้ และในขณะที่นางกำลังคิดหาวิธีอื่นเพื่อแย่งของคืน แม่ทัพหนุ่มก็ได้โอบรัดเอวคอดกิ่วของนางและดึงเข้าแนบชิดกับตัวเขาอีกครั้ง
ณ เพลานี้แทบไม่มีช่องอากาศให้ลอดผ่านช่วงระหว่างตัวของทั้งคู่เลยสักนิด
ฟ่งหลันหลั่นรีบก้มหน้าต่ำเพื่อหลบสายตาเขาอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพหนุ่มเห็นปฏิกิริยาของสาวใช้ที่แสดงออกมา ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า นางจะต้องมีเรื่องปิดบังเขาอยู่แน่นอน โดยเฉพาะการที่นางขัดคำสั่งของเขา แอบหนีออกมาจากเรือนหลงหลิง แถมยังมาโผล่ที่กลางป่ากับบุรุษผู้ซึ่งเขาไม่อยากให้นางใกล้ชิดที่สุด
ยิ่งคิดถึงภาพของคนทั้งคู่อยู่ด้วยกัน มันยิ่งทำให้อารมณ์โมโหของเขา คุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง
"เจ้าหลบสายตาของข้างั้นรึ มีคนขลาดเขลาเท่านั้นที่ไม่กล้าสู้หน้าผู้อื่น"
คำกล่าวนั้นของแม่ทัพหนุ่มทำให้สตรีน้อยรู้สึกว่ากำลังถูกดูหมิ่น นางจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง ได้เปลี่ยนแววตา ขุ่นเคืองเป็นความหวั่นไหวเข้ามาแทนที่
หลงอี้หลิงฉวยโอกาสจังหวะที่ฟ่งหลันหลั่นเงยหน้าขึ้นมองเขา มอบจุมพิตให้นางอย่างดูดดื่มหวานชื่นอีกครั้ง
สตรีน้อยเผลอเคลิบเคลิ้มตามเขาไปชั่วขณะ พอได้สตินางจึงได้กัดริมฝีปากเขาไปหนึ่งที จนอีกฝ่ายต้องยอมคลายจุมพิตออกจากนาง
"คนนิสัยไม่ดี ชอบฉวยโอกาสกับสตรีผู้อ่อนแอกว่า"
แม้ปากจะกล่าวออกมาเช่นนั้น แต่ดวงหน้างามของสาวใช้จอมขัดคำสั่งนั้นแดงก่ำขึ้นทั้งสองข้าง ความรู้สึกข้างในใจนั้นช่างสับสนยิ่งนัก
นางไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังโกรธหรือพึงพอใจในการกระทำนี้ของเขากันแน่
หลงอี้หลิงใช้ปลายนิ้วโป้งเช็ดคราบเลือดตรงริมฝีปากหนาของตน แทนที่เขาจะโกรธแต่กลับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ สีหน้าของเขาตอนนี้ ดูไม่เหมือนแม่ทัพหนุ่มคนเดิมที่นางรู้จัก
แต่กระนั้นสตรีน้อยก็ไม่ลืมที่จะแย่งห่อผ้าของตนคืนมาถือไว้ในมือดังเดิม
แต่จังหวะนั้นเอง มีบางสิ่งหล่นออกมาจากห่อผ้าและตกลงไปยังพื้นพรม
สายตาอันปราดเปรียวของแม่ทัพหนุ่มเห็นของสิ่งนั้นเข้า เขาก็ก้มลงหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมืออย่างรวดเร็ว
ฟ่งหลันหลั่นตกใจยิ่งนักที่ของสำคัญหล่นออกมาจากห่อผ้า แถมตอนนี้มันยังไปอยู่ในมือของคนที่นางต้องการปกปิดสิ่งนั้น จึงได้เอื้อมมือออกไปเพื่อหวังจะแย่งมันคืนกลับมา แต่อีกฝ่ายก็ชักมือออกและชูสูงขึ้นเหนือศีรษะนางอีกครั้ง
แวบแรกที่มองเห็นกล่องไม้เก่าสีน้ำตาลไหม้ มีลวดลายสลักไว้รอบนอกซึ่งเป็นลายเฉพาะ หลงอี้หลิงก็จำได้ทันทีว่าเคยพบเจอสิ่งนี้จากที่ใด แต่เขาก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก
ยิ่งคิดยิ่งสงสัย เขาจึงพลิกมันไปมาเพื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่ให้มากขึ้น และเขาก็ได้เปิดสลักที่ลงกลอนไว้ออกได้อย่างง่ายดาย
แม้กระทั่งฟ่งหลันหลั่นเองที่กำลังจดจ้องเขาอยู่ นางก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเช่นกัน
ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นตัวอักษรเล็ก ๆ ซึ่งถูกสลักชื่อของผู้ครอบครองเอาไว้
'เป็นไปไม่ได้ ป้ายหยกสีเขียวมรกตนี้ช่างเหมือนของท่านหญิงน้อยผู้นั้นเสียจริง แต่จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อพระองค์ได้ลาลับจากโลกนี้ไปนานแล้ว'
อวี้หลันหลั่น
แม่ทัพหนุ่มเบิกตาตาโตขึ้นอย่างตกใจ และเงยหน้ามองสตรีน้อยตรงหน้าและถามอย่างรวดเร็ว
"เจ้าไปได้ของสิ่งนี้มาได้เยี่ยงไรกัน รีบบอกความจริงทั้งหมดกับข้ามาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นคืนนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะได้นอนค้างคืนที่นี่อย่างหลับสนิทเลย"
น้ำเสียงอันโกรธขึ้งแฝงความเผด็จการอยู่ในถ้อยคำนั้น อีกทั้งแววตาขึงขังที่เต็มไปด้วยคำถามและความอยากรู้มากมายของแม่ทัพหนุ่ม ยากที่สตรีน้อยตรงหน้าจะหาคำใดมาเป็นข้ออ้างให้เขาเชื่อได้เลย
ฟ่งหลันหลั่นรวบรวมสติที่มี ก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ตนเอง
"มันเป็นของที่ติดตัวข้ามาตั้งแต่เด็ก"
น้ำเสียงฉะฉานชัดเจน และสีหน้าแววตาอันเด็ดเดี่ยวมั่นใจของฟ่งหลันหลั่นที่เผยออกมา ทำให้แม่ทัพหนุ่มเชื่อว่านางไม่ได้โกหก แต่เขาก็ยังไม่ได้เชื่อเสียทั้งหมด เพราะของสิ่งนี้จะเป็นของนางซึ่งเป็นเพียงสามัญชนได้เยี่ยงไรกัน
"เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ที่บอกว่าของสิ่งนี้เป็นของเจ้า" แม่ทัพหนุ่มย้อนถามอย่างสงสัยและต้องการคำตอบที่แท้จริงจากปากของเจ้าตัว
ฟ่งหลันหลั่นไม่ได้ตอบคำถามในทันที นางเดินแยกตัวจากเขา และตรงไปนั่งลงบนตั่งม้านั่งซึ่งตั้งวางอยู่ทางด้านข้าง จากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและแววตาเศร้าสร้อย
"มันคือสิ่งที่ตาเฒ่าของข้าเก็บเป็นความลับและรักษามันไว้อย่างดีมานาน และนั่นคือเหตุผลที่ข้าขัดคำสั่งของท่านแอบหนีออกจากเรือนหลงหลิง"
ฟ่งหลันหลั่นกล่าวจบ นางก็ได้ล้วงแผ่นกระดาษเล็ก ๆ สีน้ำตาลยื่นให้กับหลงอี้หลิง ซึ่งเขาเดินมาหานางพอดี
"นั่นคือข้อความที่ตาเฒ่าของข้าเขียนทิ้งไว้"
แต่ทว่าความรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดทรมานที่เจ้าตัวพยายามเก็บกดมันไว้ข้างในจิตใจ ไม่อาจจะรอดพ้นสายตาของแม่ทัพหนุ่มไปได้
หลงอี้หลิงเปิดอ่านเนื้อความด้านใน คำถามมากมายพรั่งพรูทวีคูณขึ้นมาในหัวของเขา และแทบจะไม่อยากเชื่อในประสาทการรับทั้งหมดของตัวเองที่มีในขณะนี้
'เป็นไปไม่ได้ นางผู้นั้นตายไปนานแล้ว...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน'
สายตาของแม่ทัพหนุ่มที่กำลังจับจ้องมองสตรีน้อยตรงหน้าบ่งบอกได้ชัดเจนถึงความคิดและความรู้สึกที่เขามีอยู่ในขณะนี้ และสตรีน้อยก็อ่านความคิดของเขาออกเช่นกัน
"ไม่แปลกที่ท่านจะไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าบอกไป ข้าเองก็แทบไม่เชื่อเหมือนกัน..."
นางสวนกล่าวขึ้นและจู่ ๆ ก็เงียบเสียงลงดูนิ่งผิดปกติไป ส่วนแม่ทัพหนุ่มก็ยังคงสังเกตท่าทีและพยายามจำผิดคำโกหกของอีกฝ่ายเพราะยังไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าตัวบอก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดสิ่งใด สตรีน้อยก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง
"...คืนนั้นที่ท่านได้ช่วยถอนพิษให้ พอข้ารู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาในตอนเช้า...ทั้งปฏิกิริยารับรู้ของร่างกายและความทรงจำช่วงก่อนวัยแปดขวบที่หาไปของข้า ทำให้ไม่อาจที่จะปฏิเสธกับสิ่งที่มันติดตรึงอยู่ตรงนี้ ความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสราวกับเข็มนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงเวลานึกถึงใบหน้าของคนผู้นั้น"
ฟ่งหลันหลั่นกล่าวพลาง สองมือน้อยกำหมัดแน่น และยกมือข้างหนึ่งขึ้นและทุบลงบนแผ่นหน้าอกด้านซ้ายของตัวเองอย่างแรงอยู่หลายที ความรู้สึกทุกอย่างที่มีด้านในได้แสดงออกมาผ่านสีหน้าและแววตาจนหมดสิ้น
น้ำตาไหลรินราวสายน้ำ อาบลงพวงแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่รู้ตัว
ณ วินาทีนี้ หลงอี้หลิงไม่อาจรู้ว่าสิ่งที่ฟ่งหลันหลั่นกล่าวมานั้นเป็นเรื่องเท็จจริงแค่ไหนจนกว่าจะพิสูจน์ได้ แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจทนเห็นสตรีตรงหน้าเจ็บปวดเสียใจได้
แม่ทัพหนุ่มผู้ที่เคยมีจิตใจแข็งแกร่งดั่งหินผา ตอนนี้มันถูกพังทลายลงหมดสิ้นแล้ว เสียงถอนหายใจอย่างยอมจำนนต่อสตรีน้อยตรงหน้า จากนั้นเขาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายและโน้มตัวสวมกอดนางไว้แนบแน่น พร้อมกับลูบหัวนางอย่างอ่อนโยน
"ไม่เป็นไรแล้วนะ ข้าอยู่ตรงหน้า ข้าให้สัญญาด้วยชีวิต จากนี้ไปข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าได้อีก"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกกับอ้อมกอดอันอบอุ่นและสัมผัสอันอ่อนโยนของแม่ทัพหนุ่ม ได้ช่วยชโลมจิตใจที่ปวดร้าวของฟ่งหลันหลั่น
นางรู้สึกได้ถึงความจริงใจที่เขามอบให้ จึงสวมกอดตอบรับเขาอย่างแนบแน่นเช่นกัน ถึงกับปล่อยโฮร้องไห้เสียงดังออกมา
ฮือ...ฮือ...เสียงร้องไห้สลับกับเสียงสะอึกสะอื้นราวเด็กน้อยดังระงมเสียงก้องอยู่ในกระโจมหลังนี้
บุปผางามยามแรกแย้มที่เคยชูช่อบานท้าลมฝนอย่างเข้มแข็ง มาบัดนี้กลับเผยความอ่อนแอทั้งหมดที่มีต่อหน้าแม่ทัพหนุ่มรูปงาม
นับวันหลงอี้หลิงยิ่งรักและหวงแหนบุปผางามช่อนี้สุดแสนคณานับ แม้ชีวิตนี้เขาก็ยอมมอบให้นางได้
สายใยความผูกพันที่เชื่อมโยงระหว่างคนทั้งสองนี้ ราวกับมีด้ายแดงผูกไว้มาหลายภพหลายชาติ
....
เซียงไค 盛開