webnovel

ทิวทัศน์ของมอนเตวิเดโอ Banda Oriental

ความทรงจำต้องการพื้นที่ของการตีความ

"ยิ่งลงไปลึกมากเท่าไหร่ ยิ่งบินสูงได้เท่านั้น"

เป็นการบรรจบกันระหว่างอดีตกับปัจจุบัน

กาพย์กลอนแห่งความทรงจำ เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิต หมักหมมกับบาดแผล ความทรงจำเป็นเคมีที่ดูดรวมความรู้สึก บริบท คลื่นเสียง รูปภาพ ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลสีเทา ก่อนที่ปลายสายตาจะเป็นสีขุ่นสั่น และเป็นผืนดินติดอยู่กับเสียงคำรามจากแกนโลก กลายเป็นก้นบึ้งแห่งความลวงในเวลานี้เวลาจุดหยุดเดิน คืนนี้ไร้ความทรงจำ มวลอากาศชะงักงัน อากาศเหือดหาย พัฒน์หยิบยาขึ้นมากิน ยาจะทำให้ไม่อ่อนไหวกับความสวยงามของโลกใบนี้หรือเรื่องโหดร้ายของโลกใบนี้ เขาต่างมองเห็นความงามที่จริงของโลกใบนี้ผ่านเวลาทุกคืนเขาฝันเหมือนเดิมและหลังจากนั้นฝันร้ายก็เริ่มต้นตอนตื่นขึ้นมารับภาพ

ที่แคลเทค มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในอาคารวิศวกรรมหลัก พัฒน์กำลังเดินกับลินในทางเดินตรงไปห้องที่พัฒน์ยังไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร

"ผมไม่ได้นอนบนเตียงในคืนที่ผ่านมา พี่ก็รู้ผมหลับไม่ได้ผมไม่สามารถหยุดสมองผมได้" พัฒน์พูดอย่างหวั่นใจ

"อย่ามาแหยพัฒน์" ลินเตือน

พวกเรากำลังเปิดไปสวนหลังบ้านของเทคโนโลยีของมนุษย์ 'แคลเทคกับมีเดียแล็บ'คือที่แบบนั้นมีแต่หัวกะทิในสนามเด็กเล่นของปัญญา

หลังประตูบานนั้น พัฒน์ได้เจอใบหน้าคุ้นหน้า ศาสตาจารย์วินเซนต์เป็นหนึ่งในคนที่เคารพและเคยมาสอนคิปป์ทีม พัฒน์เคยอ่านหนังสือที่ศาสตราจารย์เขียนตอนเรียนอยู่เอ็มไอที ศาสตราจารย์วินเซนต์นั่งอยู่ปลายห้องประชุม ในนี้เต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์นั่งล้อมรอบโต๊ะวงลีขนาดใหญ่ ฝาผนังห้องเป็นไม้ มีรูปภาพผู้ค้นพบทางชีวภาพ สมัยใหม่ และนักชีวเคมีที่ได้รับรางวัลที่นี่ ไล่เรียงเป็นบุคคลที่แก้สมการที่พึ่งถูกแก้ได้เมื่อสี่ปีที่แล้ว แต่คนที่นั่งอยู่ในห้องทั้งหมดคือคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในรูป พวกเขามีอายุและอยู่ในการทำงานโปรเจคอื่น

"สวัสดีพัฒน์"

"ศาสตราจารย์วินเซนต์" พัฒน์พูดทักทาย คนที่มีความรู้ตรงหน้าคือคนที่มอบทุนให้พัฒน์ตอนเด็กแต่ที่บ้านตอนนั้นอารยาเป็นคนปฏิเสธ

หลังจากคำทักทายพัฒน์ถูกพาเข้าประเด็น ด้วยการชวนเดินเล่นในโซนวิจัยของวินเซนต์ไปพร้อมกับพัฒน์

"สาธารณชนไม่ยินดีให้มีงบการพัฒนาของมนุษย์ เมื่อเรายังดิ้นรนหาอาหารกิน โรคระบาด ไวรัสจะกลายเป็นโรคประจำภูมิภาคกับแบคทีเรียในปีนี้ ตอนนี้เราเหลือแค่ยารักษาโรค"

"ระบบสาธารณสุขเราดีกว่าเมื่อก่อนนะ" พัฒน์เถียง

"เหมือนชนเผ่าย่อยในแอมะซอน และการโรงงานยาในแม็กซิโก การรักษา… ไม่สามารถนำการระบาดได้"

"เราจะหาทางออก ศจ. เรามีทางออกเสมอ" พัฒน์ตอบ

"แก้ไขและปรับปรุงเป็นเรื่องปกติของอารยธรรม โชคชะตาที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยง ยีนเป็นของเรา"

"มันไม่ใช่แค่สิ่งของ มันคือชีวิต"

วินเซนต์มองตาพัฒน์ เขารู้ว่าเลือกทำสิ่งต่าง ๆ เพราะอยากยืดระยะเวลาของความหวัง ก่อนเดินหันหลังไปทางอื่นของแล็บ "ชั้นบรรยากาศโลก 80 เปอร์เซ็นต์เป็นไนโตรเจน เราไม่ใช้ไนโตรเจนหายใจ แต่เมื่อจุลชีพ โรคระบาดมันลุกลามออกซิเจนจะร่อยหรอผู้คนจะขาดอาหารและอากาศ และคนรุ่นลูกคุณ คือกลุ่มสุดท้ายที่ต้องดิ้นรน"

พัฒน์ฟังและเดินผ่านไปยังโครงการที่แล็บนี้กำลังทำอยู่ นอกจากการวิจัยจุลชีพและนาโนฟิสิกส์

"โอเค คุณบอกมาเลย คุณมีแผนอะไรช่วยโลก"

"เราไม่ได้จะช่วยโลก เราจะออกจากการเป็นมนุษย์"

"ควอนตัมโฟม" วินเซนต์พูดและพัฒน์ก็รับรู้ การข้ามสายพันธุ์ดีเอ็นเอมีมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ในแต่ละช่วงเวลาก่อนที่โฮโมส่งต่อมาจนกระทั่งเป็นโฮโมเซเปียนส์ ทั้งไวรัสทำให้เกิดกรดนิวคลีอิกในร่างกาย เราต้องทำลายขีดจำกัดตลอด และผลักขอบเขตของบทสนทนาสมการที่จะทำให้สิ่งมีชีวภาพที่อยู่ในขอบเขตเวลาของเหตุและผลไม่สามารถใช้ภาษาทางเวลาแบบเส้นตรงเสียด้วยซ้ำ วินเซนต์พูดต่อ "ชิ้นส่วนสุดท้ายในการเข้าใจโครงสร้างนิวเครียส อะตอม นี่คือโปรเจคสุดท้ายของเรา"

"คุณจะส่งคนไปเป็นสิ่งมีชีวิตสี่มิติเพื่อหาความหวังเหรอ"

"ภารกิจโฮโมดีอุส" วินเซนต์พูดอย่างใจเย็น

"ชื่อท่าจะไม่รอด เราสามารถทำแบบนี้กับทุกคนได้เลยเหรอ" พัฒน์ถาม

"เราไม่ได้ออกแบบมนุษย์ทุกคน เราออกแบบผู้เหลือรอด พระเจ้าฟื้นจากความตาย" วินเซนต์พูด

"แน่นอน แต่เขาต้องตายก่อนฟื้น ไม่มีแรงโน้มถ่วงในการค้นคว้าโฟตอน การอยู่ในเบรนที่เราสามารถอยู่ได้ พื้นที่แหล่งที่มนุษย์สามารถอยู่ได้มีข้อจำกัดมากเกินไป ดาวเคราะห์ใกล้สุดห่างออกไปกว่า 1,000 ปี มนุษย์อายุสั้นเกินไป มันยิ่งกว่าไร้ความหวังคุณส่งพวกเขาไปที่ไหน"

"พัฒน์ ผมพูดไม่ได้ จนกว่าคุณจะแก้ปัญหาเรื่องของคุณ…"

พัฒน์ถูกกั้นความอยากรู้วินเซนต์ ยื่นแฟ้ม "มีนักนาโนฟิสิกส์ใช้อัลกอริทึมของคุณทำแอนแทร็กซ์"

ใบหน้าเขาขมวดคิ้ว กังวลกับผลกระทบที่แย่ของตัวเอง "แต่ผมไม่เคยทำเรื่องพวกนี้" พัฒน์ปฏิเสธ

"มันเลยระยะเวลาการระเบิดของการติดเชื้อแล้ว คุณต้องทำให้เขารับสารภาพ ไม่อย่างงั้นคุณอาจจะติดคุกแทน"

พัฒน์ต้องยอมรับแม้แต่เรื่องที่เขาไม่ได้ทำ นักวิทยาศาสตร์คนนั้นถูกจับแล้วอยู่ในคุกที่ปักกิ่ง

สามชั่วโมงถัดมา บนเครื่องบินเหนือยุโรป

ระหว่างที่พัฒน์เอียงหน้าออกไปนอกหน้าต่าง เขาคิดเรื่องตัวอักษรที่นักวิวัฒนาการสายวิวัฒนาการเคยบันทึกไว้มักเปรียบเปรยสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายว่าเป็นดั่งต้นไม้ 'ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตจำพวกเดียวกัน บางทีก็เหมือนต้นไม้ใหญ่… หน่ออ่อนสีเขียวเหล่านั้นคือเผ่าพันธุ์ที่เรามีอยู่… กิ่งใหญ่แตกแขนงเป็นก้านย่อย ๆ ต่อเนื่องเป็นลำดับ ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นเพียงหน่อน้อย ยามที่ไม้ต้นนี้เพิ่งแรกแย้มงอกงาม' มนุษย์ในปัจจุบันแตกหน่อมาจากคนรุ่นก่อนหน้า ในวันนี้ย่อมมีบรรพบุรุษร่วมกันตามจุดต่าง ๆ ในอดีตเคยแยกสายจากกัน พวกเขาย่อมไม่อาจจะย้อนกลับมาบรรจบกันได้อีก เฉกเช่นกิ่งก้านของต้นไม้ แต่แล้วอุปมาอุปไมยเรื่องต้นไม้ก็ไม่สามารถใช้เปรียบเทียบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ในปัจจุบัน ในระบบกลุ่มประชากรสมัยใหม่ได้เลย เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องที่พัฒน์คิดในหนึ่งนาทีบนนกเหล็กกำลังปะทะกับก้อนเมฆ

"มันบ้าคลั่งใช่ไหม เสียงในหัวเธอ" ลินเอ่ยถาม

พัฒน์เอียงหัวนิดหน่อยพร้อมตอบด้วยการพยักหน้ายอมรับ พัฒน์เบื่อที่จะอยู่ในขอบเขตภาษามนุษย์ถึงแม้เลขจะเป็นภาษากลางเหมือนกัน

ลินคิดแวบเดียวประมวลพัฒน์ "จดโน๊ตช่วยได้นะ" ลินแนะนำ นั้นเป็นวิธีที่พัฒน์เคยได้ยิน

"ขอบคุณ ผมพึ่งรู้ว่ามันช่วยว่าให้ผมพูดยังไงกับใครได้"

"บางทีมันอาจจะเป็นหนังสือ" ลินรู้ว่าความคิดในหัวพัฒน์แล่นชนกันไปมา ลินหยุดคิดครู่เดียวและมองตาพัฒน์ก่อนจะแนะนำพัฒน์อย่างเห็นใจอีกครั้ง "ไว้เขียนเสร็จแกให้ฉันอ่านได้นะ"

พัฒน์พยักหน้าตอบ ลินยิ้มหัวเราะในลำคอกับสิ่งที่พัฒน์ส่งกลับมาพูดคุย เธอใช้มือซ้ายตบไหล่พัฒน์เบา ๆ "พวกเราแค่โตขึ้น" ลินยังคงเป็นผู้ให้กำลังใจต่อการถักทอของตัวพัฒน์เสมอ ลินใกล้เคียงกับคนในครอบครัวที่สุดทั้งเรื่องที่ลินเคยเจอ มีแค่พัฒน์รับรู้ พัฒน์ยิ้มรับคำชมและหันหน้ากลับหน้าต่างข้างนอกเมืองแสงไฟสีเหลืองอยู่ไกล ๆ พวกเขาใกล้ถึงสนามบินนานาชาติปักกิ่ง

下一章