"กลับมาแล้วครับ"
วินส่งเสียงบอกแม่ที่หน้าประตูบ้าน บ้านของเขาอยู่ในโครงการเคหะชุมชน ในซอยมหาโรจน์ เป็นบ้านชั้นเดียว พื้นที่ใช้สอย 41 ตรม.
2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พ่อของเขาเป็นคนกู้ซื้อกับธนาคารเอาไว้ เพื่อให้ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพตั้งแต่วินอายุ 8 ขวบ ถึงแม้จะบ้านหลังนี้จะเล็กแต่เมื่อครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากัน บ้านหลังนี้ก็จะเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่นเสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงแค่หนึ่งปี สิ่งเหล่านั้นเริ่มมลายหายไปพร้อมกับผู้เป็นพ่อที่จากไปอย่างกะทันหัน
เมื่อไม่มีพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว ชีวิตของแม่และลูกชายที่ยังเล็ก จึงเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ หนี้สินที่ต้องชำระจากบัตรเครดิต รวมถึงค่าผ่อนบ้านแต่ละเดือนที่ต้องจ่ายกับธนาคาร ค่ากินค่าอยู่ ค่าใช้จ่ายของครอบครัว ภาระทุกสิ่งทุกอย่างตกมาอยู่กับผู้เป็นแม่ แม่ต้องออกไปทำงานอย่างหนัก เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้
"แม่ทำอะไรน่ะ ไม่ต้องทำเลย เดี๋ยววินทำเองครับ" วินที่เห็นแม่กำลังถูบ้านอยู่ รีบวิ่งไปแย่งไม้ถูพื้นจากมือของแม่มา
"งั้นแม่ไปเตรียมข้าวให้ลูกดีกว่า หิวหรือยังเอ่ย?"
"ครับผม หิวไส้กิ่วแล้ว วันนี้แม่เอากับข้าวอะไรมาบ้าง" ถึงวินจะกินข้าวกับแจ็กมาแล้ว แต่เขาอยากกินอาหารฝีมือแม่อยู่ดี และอยากใช้เวลากับแม่ให้มากที่สุดด้วย
"มีผัดสะตอกุ้ง กับแกงจืดกะหล่ำปลียัดไส้หมูสับ ลูกจะให้ทอดไข่ด้วยไหม?"
"เอาครับ ขอไข่เจียวนะครับ ทอด 3 ฟองเลยนะ แม่จะได้กินด้วย"
ต่อก ต่อก ต่อก ฟู่ ฟู่ แม่เริ่มลงมือทอดไข่เจียวและอุ่นกับข้าว
"วันนี้ลูกดูอารมณ์ดีนะ มีเรื่องอะไรดีๆ รึไง"
"อ๋อ ก็นิดหน่อยครับ" วินยิ้มตอบแม่เบาๆ และถูพื้นบ้านไปด้วย
"หรือว่า… มีแฟนแล้วสินะ"
"...." วินทำหน้าบอกบุญไม่รับใส่แม่ทันที
"เฮ้อ ในที่สุดลูกแม่ก็จะได้ออกไปเที่ยวเล่น เหมือนเด็กทั่วไปสักที วันๆ เอาแต่ทำงาน เวลาว่างก็อ่านหนังสืออย่างเดียว"
"มีที่ไหนเล่า บ้าแล้ว ผมจะมีแฟนไปทำไมล่ะครับ เปลืองเงินจะตาย ไม่เอาด้วยหรอก อุตส่าห์ทำงานเหนื่อยยากแทบแย่ จะให้เอามาเลี้ยงสาวหมดตัวเนี่ย ผมไม่เอาเด็ดขาด" วินส่ายหัวแล้วก้มหน้าถูพื้นต่อ
"โธ่~ ลูกก็ เลี้ยงนิดเลี้ยงหน่อยจะเป็นไรไป"
"แม่ไม่รู้จักวัยรุ่นสมัยนี้ซะแล้ว แค่ไปห้าง ดูหนัง กินข้าว ก็หมดเป็นพันแล้วนะครับ แล้วยิ่งไปเดตละก็ ผู้ชายไม่เป็นคนออกเงินทุกอย่าง มันก็ดูไม่ดีอีก เดี๋ยวก็โดนหาว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษน่ะสิ ครั้นจะให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายออก ผมก็ยิ่งไม่ชอบแบบนั้นเข้าไปใหญ่ สรุปคือ… เอาไว้ผมรวยเมื่อไร ค่อยคิดเรื่องแฟนละกันครับ"
ตอนนี้แม่เอาไข่เจียวมาตั้งที่โต๊ะกินข้าว ตักข้าวใส่จาน จัดสำรับบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กเรียบร้อยแล้ว
"มาๆ กินข้าวกันเถอะ"
วินถูบ้านเสร็จสองรอบ เอาอุปกรณ์ไปเก็บและเดินมาทำท่าจะลงนั่งกับแม่ แม่พูดขึ้นอย่างเร็วว่า
"ไปล้างมือก่อน!"
วินชะงัก แล้วรีบเดินไปห้องน้ำและล้างมืออย่างเรียบร้อย เดินออกมาจากห้องน้ำโดยชูมือทั้งสองข้างขึ้นระดับสายตา หันหลังมือไปข้างหน้าเหมือนหมอเตรียมผ่าตัด และเดินมานั่งลงที่โต๊ะญี่ปุ่นอีกครั้ง
"....."
"เมส!" (เสียงหมอขอมีดผ่าตัด)
"ดู๊ดู ลูกชายแม่ ความกวนอารมณ์นี้ลูกได้มาจากใครน้า"
"จะได้มาจากใครล่ะ ก็ได้มาจากพ่อ--"
"...." วินหยุดปากตัวเองไม่ทัน และคิดในใจว่า 'ไม่น่าพูดเลยตู'
"...นั่นสินะ ...พ่อลูกก็ขี้เล่นแบบนี้แหละ..." แม่ตักข้าวเข้าปาก และเคี้ยวโดยไม่สนใจโลก แผ่บรรยากาศเศร้าหมองเย็นชาออกมาเต็มที่ จนวินรู้สึกหนาวสั่นตามไปด้วย เขาจึงกินข้าวบ้าง
"อื้อหื้อ! ผัดสะตอกุ้งอร่อยสุดๆ ฝีมือของแม่นี้ยังกับเชฟมือหนึ่งแน่ะ!"
"นั่นป้าเอียดทำ ไม่ใช่แม่"
"...."
วินรีบตักน้ำซุปแกงจืดกิน ซู้ด~~! "ฮ้าา ชื่นใจยิ่งนัก อร่อยเหมือนเดิมนะครับ แกงจืดถ้วยนี้"
"นั่นก็ป้าเอียดทำ"
"...."
"ตกลงนี่แม่เป็นแม่ครัวหรือเด็กเสิร์ฟครับ ไม่ทำกับข้าวสักอย่าง อ๊ะ หรือว่าเขาเห็นว่าหน้าตาสวย หุ่นยังกับนางแบบ เลยให้ย้ายตำแหน่งไปเสิร์ฟอาหารใช่ไหมล่า ใช่ปาว หือ อ่ะแน่ะๆๆ" วินพยายามอ้อนแม่สุดฤทธิ์ เพื่อทำให้แม่ยิ้ม
"จะบ้าเรอะ ลูกนี้บ๊องจริง สาวเสิร์ฟก็ต้องเป็นสาวสิ ใครจะให้แม่ครัวแก่ๆ ไปทำล่ะ วันนี้แม่ต้องไปทำเมนูอื่น เลยให้ป้าเอียดเป็นคนทำสองเมนูนี้" แม่ตอบวินแบบยิ้มเล็กน้อย วินเห็นแล้วจึงรู้เลยว่าตัวเองทำสำเสร็จแล้ว
"แม่เห็นลูกแบบนี้ ยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าในสมุดพก คุณครูจะเขียนว่า 'นายอาชวิน มีปัญหาในด้านมนุษย์สัมพันธ์ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด และปฏิเสธการเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นเสมอ' ทำไมอยู่ที่โรงเรียนถึงไม่ทำตัวเหมือนอยู่บ้านล่ะลูก"
"ก็… มัน… น่าเบื่อนี่ครับ เด็กส่วนใหญ่งี่เง่าทั้งนั้น ขี้นินทา ชอบจับกลุ่มและบังคับให้เพื่อนในกลุ่มเห็นด้วยกับตนเอง ผมโดนตัดสินจากสถานะทางสังคมไปเรียบร้อยแล้ว โดยคนที่ไม่แม้แต่จะเคยพูดคุยกับผมสักคำ แต่คิดเอาเองเลยว่าผมเป็นคนแบบไหนยังไง บ้านเราเป็นยังไง คนพวกนั้นผมไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอกครับ เสียเวลาเปล่า" วินอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความน้อยใจ
"เพราะว่า… บ้านเราลำบาก… อย่างนั้นเหรอ" แม่ใช้คำว่า 'ลำบาก' เพราะเคยบอกวินไว้ว่าเกลียดคำว่า 'จน'
"...เอ่อ ...ช่างมันเถอะครับแม่ ที่โรงเรียนผมมีไอ้แจ็กเป็นเพื่อนคนเดียวก็พอแล้ว ปวดหัวกับมันจะตาย"
"วิน… แม่ขอโทษนะ ที่ทำให้ลูกต้องอายเพื่อน ต้องกลายเป็นเด็กมีปัญหาในสายตาคนอื่น" แม่พูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ
วินขยับเข้าไปนั่งใกล้และจับมือแม่ทันที "แม่! คิดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ ไม่จริงเลย ผมไม่เคยอายเลยครับ กลับกันซะอีก ผมภูมิใจในตัวแม่มาก แม่พยายามเลี้ยงผมอย่างดีที่สุดแล้วครับ ทุกวันนี้ผมก็มีความสุขดี ไม่ได้คิดว่าขาดเหลืออะไรเลย จะมีก็แต่ห่วงแม่ที่ทำงานหนักเกินไปเนี่ยแหละ"
วินมองหน้าแม่ สังเกตเห็นว่าแม่แค่น้ำตาซึม ไม่ได้ร้องออกมาแต่ไหล่ของแม่สั่นเล็กน้อยเหมือนพยายามจะอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ต่อหน้าลูก วินรู้เหตุผลที่แม่ทำแบบนี้ดี นั่นก็เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เขารู้จักมา
"เฮ้อ! แม่นี่แย่จริง ดราม่าใส่ลูกอีกแล้ว" แม่กล่าว
"กินข้าวกันเถอะครับ กินกันๆ" วินตักกุ้งวางบนช้อนของแม่
...
พวกเขานั่งกินข้าวจนเสร็จเรียบร้อย และวินจัดการลงมือล้างจานทันที
"งั้นเดี๋ยวแม่ไปทำงานก่อนนะ โอ๊ะๆ ลืมไปว่ายังไม่ได้กินยาหลังอาหาร" แม่รื้อยาออกมาจากกระเป๋า แต่ละเม็ดหลากสีสันเหลือเกิน และเริ่มกินพวกมันทีละเม็ดสองเม็ด
วินที่ล้างจ้านอยู่ หันมาดูและพูดว่า "แม่! เมื่อไรแม่จะเลิกกินยาชุดแบบนี้ซะที มันไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ"
อึก อึก อึก "ก็แม่กินแล้วหายนี่นา แถมถูกด้วย"
"ยาพวกนี้มันแรงมากน่ะสิ แม่ถึงหาย แต่มันไม่ดีต่อตับไตนะครับ ผมว่าแม่ไปหาหมอเถอะ ผมขอร้อง"
"แม่ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปหาหมอแพงจะตาย แถมเสียเวลาอีกต่างหาก แม่ไม่อยากหยุดงาน" แม่เดินเข้ามากอดและหอมแก้มลูกชายหนึ่งฟอด "ขี้บ่นจังเลยนะ ลูกชายสุดหล่อของแม่ แม่ไปละ"
ก่อนที่แม่จะเดินพ้นประตูบ้าน แม่ตะโกนขึ้นมาว่า "วิน คืนนี้อากาศเย็นนะ เดี๋ยวออกไปทำงานอย่าลืมใส่เสื้อหนาๆ ล่ะ แล้วถ้าเลิกทำได้ก็ยิ่งดีนะ แม่ไม่ชอบเลย แม่อยากให้ลูกนอนอยู่บ้านมากกว่า"
"คร้าบๆ" วินตอบพร้อมกับโบกมือบ๊ายบายแม่
...
นี่แหละครับแม่สุดที่รักของผม แม่ของผมชื่อ 'กาญ' อายุ 45 ปี ทำงานเป็นแม่ครัวในร้านอาหารเปิด 24 ชม. ในปั้มน้ำมันใหญ่ปากซอยมหาโรจน์แห่งนี้ ตั้งแต่พ่อไม่อยู่กับเรา จากที่แม่เป็นแม่บ้านคอยเลี้ยงดูผม และทำงานศิลปะที่ตนรัก แม่ก็ต้องผันตัวเอง ละทิ้งความฝัน และก้าวเข้าสู่การทำงานในฐานะลูกจ้างแบบสุดตัว ผมใช้คำว่า 'สุดตัว' เพราะแม่ทำงานหนักมาก หนึ่งวันของแม่เริ่มแบบนี้ครับ ตื่นตั้งแต่ตีสาม ไปตลาดซื้อวัตถุดิบด้วยตนเอง กลับมาทำกับข้าวที่ร้าน 8-10 เมนู แม่จะต้องเตรียมอาหารให้พร้อมสามช่วงเวลาด้วยกันคือ เช้าเจ็ดโมงหนึ่งชุด บ่ายสองหนึ่งชุด สองทุ่มอีกหนึ่งชุด และทั้งหมดที่ว่ามาในครัวของร้านมีพนักงานแค่สองคนนั้นก็คือ แม่กับป้าเอียดนั่นเอง ส่วนหน้าร้านมีพนักงานหญิงสามคน กับชายอีกสามคน ที่จะทำหน้าที่แคชเชียร์ เสิร์ฟ เก็บโต๊ะ ทำความสะอาด และส่งอาหารเดลิเวอรี่
ด้วยขนาดร้านที่ใหญ่โต โอ่โถง เมื่อเทียบกับพนักงานที่มีอยู่แล้ว ผมบอกได้เลยว่าทุกคนในร้านยุ่งกันชนิดสายตัวแทบขาด แต่กระนั้นแล้วแม่ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้เวลาอยู่กับผม เช่นเวลากินข้าว พวกเราจะกินด้วยกันทุกครั้งเท่าที่ทำได้ และผมรู้ว่าแม่ยุ่งแค่ไหนกับเรื่องงาน ถึงแม้ตอนนั้นผมจะอายุแค่ 9 ขวบ และรู้สึกเคว้งคว้าง ที่อยู่ๆ ก็ไม่มีพ่อ ไม่ได้เจอพ่ออีกแล้ว ผมก็อดทนที่จะไม่ร้องไห้ต่อหน้าแม่ ไม่งอแง ไม่ทำตัวอ่อนแอให้แม่ต้องเป็นห่วง เพราะผมไม่อยากเป็นภาระของแม่ไปมากกว่าเดิม วันไหนหากไม่ได้ไปโรงเรียน ส่วนใหญ่ผมจะอ่านหนังสือ และเล่นคนเดียวอยู่ที่บ้านเสมอ จะไปหาแม่ที่ร้านบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อกินข้าว หรือช่วยเด็ดพริก เด็ดกะเพรา ช่วยงานแม่เท่าที่เด็กจะทำไหว เมื่อเสร็จแล้วก็กลับบ้านเพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกวนแม่มากเกินไป ผมคิดว่าตัวเองรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้ดีทีเดียวในฐานะที่เป็นเด็กอายุ 9 ขวบ
แต่จนแล้วจนรอด เหตุการณ์ที่ย้ำเตือนว่าผมก็ยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ก็เกิดขึ้น ผมยังจำวันนั้นได้ดี เรื่องมันเกิดขึ้นขณะที่ผมกำลังเล่นตุ๊กตุ่นต่อสู้กันอยู่อย่างเมามันสนุกสนานที่บ้านเพียงลำพัง
...
"อะจ๊าก! เฟี้ยว! ฟ้าว! รับท่าไม้ตายของข้าไป! ย้าก! ชนะแล้ว! เย้…! นี่ดูสิครับ...!"
ผมที่เงยหน้าเปื้อนยิ้มขึ้นมา ได้หยุดชะงักและรู้สึกตัวว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ เรานี่นา... ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวในบ้านที่เงียบเชียบ เงียบขนาดได้ยินเสียงของน็อตจากหน้าต่างดังเอี๊ยดอ๊าดอย่างแผ่วเบา ได้ยินเสียงใบไม้สั่นไหวเพราะแรงลม ได้ยินเสียงรถยนต์จากปากซอยที่ดังอยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงทีวีจากบ้านใกล้ๆ ที่ดังอย่างจับใจความไม่ได้ ใช่ครับ ถึงผมจะยังเป็นเด็ก แต่ผมรู้ดีว่าโลกข้างนอกนั้นกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน และนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ จากข้างใน ความรู้สึกนี้มันบีบอัดแน่นถาโถมเข้ามายังหัวใจของผม แผ่ซ่านขึ้นมาถึงใบหน้า รู้สึกอึนๆ ที่ดวงตาอย่างบอกไม่ถูก จนหยดน้ำตาของผมร่วงเผาะออกมาเองโดยที่ไม่รู้ตัว เสมือนร่างกายบีบบังคับให้เด็กน้อยเก้าขวบคนหนึ่งต้องรู้จักกับคำว่า 'เหงา' เป็นครั้งแรกในชีวิต...
"ฮึก!"
"อือ อือ~!... อือๆๆ" ผมนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เพียงลำพัง
"แง แง แง~!"
"แง! แง~!" ผมร้องไห้ดังขึ้น ดังขึ้นทุกที
"อือ! ฮึก!" ผมพยายามเช็ดน้ำตาตัวเองให้หมดไป แต่น้ำตามันก็ไหลออกมาไม่หยุด
"แง แง~!... พ่อ… พ่อ~ครับ… พ่ออยู่ไหน… ผมคิดถึงพ่อ~!"
"พ่อ!! ฮึก! แง~! อ๊าาาาา!!"
ขณะที่ผมกำลังนั่งร้องไห้เสียใจอย่างหมดอาลัยตายยากอยู่นั้น ผมเหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งแอบยืนร้องไห้กระซิกๆ อยู่ที่ประตูบ้านผม จากนั้นเขาเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ ด้วยน้ำตาที่ไหลพรากกว่าเดิม เขาพยายามเอามือทั้งสองข้างปาดน้ำตาออก แต่เขาก็ไม่สามารถทำมันได้ เขาทิ้งตัวลงมากอดผมเอาไว้แน่นและพวกเราก็ร้องไห้ไปด้วยกัน
"แง แง แง~! อือ อือ~! แง~!"
ผมจำได้ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกชายร้านก๋วยเตี๋ยวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม พวกเราไม่เคยคุยกัน ไม่เคยเล่นด้วยกันมาก่อน แต่ช่วงเวลาที่เค้าเข้ามากอดผมเอาไว้นั้น หัวใจของผมที่บางเบาและหนาวเหน็บจากความรู้สึกโดดเดี่ยว มันค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมาทีละนิด
และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาก็กลายเป็นเพื่อนแท้เพียงคนเดียวของผม...