webnovel

0059 จุดเริ่มต้นของโรซายล์

ราชันเร้นลับ 59 : จุดเริ่มต้นของโรซายล์

หลังจากได้ยินคำถาม ออเดรย์มิได้ยกมือรีบตอบเฉกเช่นทุกครั้ง เธอชำเลืองมองทางแฮงแมนด้วยสายตาสงบนิ่งคล้ายกับวิเคราะห์อีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า

อัลเจอร์เกร็งตัวเล็กน้อย และเอ่ยปากพูดขึ้นหลังจากเงียบงันสองสามวินาที

“ผมรวบรวมไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ได้สองหน้า และบันทึกข้อความไว้ในหัวเรียบร้อยแล้ว”

“ดิฉันมีหนึ่งหน้า จำได้แล้วเช่นกัน”

ออเดรย์จ้องมองเดอะฟูลที่มีหมอกหนาบดบัง เธอรีบตะโกนตามแฮงแมนเพราะกลัวจะถูกตัดออกจากบทสนทนา

“ทำได้ไม่เลว”

ไคลน์พยายามระงับอารมณ์ตื่นเต้น มันกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยราวกับมิได้แยแสนัก

อาจเป็นเรื่องดีที่พบไดอารีถึงสามหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นข่าวร้าย เพราะตามธรรมชาติแล้ว การรวบรวมไดอารีช่วงแรกควรง่ายที่สุด แต่ละคนสามารถค้นหาจากใกล้ตัวหรือช่องทางข่าวสารที่ใช้ประจำ ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไปนาน การค้นหาไดอารีก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น

“ให้พวกเรา ‘แสดง’ เลยไหมคะ?”

ออเดรย์ไต่ถามเสียงสุขุม

“อา…”

ไคลน์ผงกศีรษะเบาๆ

มันยังคงรักษาอากัปกิริยามิให้ตื่นเต้นออกนอกหน้า ไม่อย่างนั้น‘ผู้ชม’อาจผิดสังเกต

เมื่อกล่าวจบ แผ่นกระดาษหนังและปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มพลันปรากฏบนโต๊ะด้านหน้าออเดรย์และอัลเจอร์

ทั้งสองจับปากกาและพยายามจินตนาการเนื้อความในไดอารีที่รวบรวมได้ ขณะเดียวกันก็ใส่‘เจตจำนง’ต้องการเปิดเผยความคิดลงไป

เพียงไม่นาน อักษรเริ่มถูกบันทึกลงแผ่นกระดาษหนังทีละบรรทัด บางอักษรคมชัดสมบูรณ์แบบ บางอักษรซับซ้อนขยุกขยิก และบางอักษรเอียงเบี้ยวไปจากปรกติ

ผ่านไปราวหนึ่งนาที อัลเจอร์และออเดรย์ทำการบรรจุความทรงจำของพวกตนลงแผ่นกระดาษเสร็จสิ้น

ไคลน์หยิบกระดาษหนังทั้งสามแผ่นมาถือ

หลังจากกวาดสายตาอ่านอย่างคร่าว มันพบว่าไวยากรณ์ในหลายจุดผิดเพี้ยน รวมถึงการขาดหายไปของตัวอักษรและการเขียนผิดอีกหลายจุด

แต่บนโลกเก่าเคยมีงานวิจัยหลายชิ้นพิสูจน์แล้วว่า มนุษย์สามารถจับใจความประโยคได้แม้อักษรบางส่วนขาดหายไป

แถมไคลน์ยังเป็นนักอ่านนิยายออนไลน์ตัวยง มันคุ้นชินกับคำหยาบที่มักถูกเขียนโดยใช้ดอกจันละไว้

“8 มิถุนายน ขณะกำลังยืนที่หัวเรือ ‘บัลลังก์มืด’ เราทำการกางแขนออกและกล่าวกับ ‘กรีน’ และ ‘เอ็ดเวิร์ด’ ว่า… สมบัติที่ฉันสั่งสมมาทั้งชีวิตจะตกเป็นของพวกนายสองคน แต่พวกนายมีหน้าที่ต้องออกไปค้นหาด้วยตัวเอง! ฉันได้ซ่อนมันไว้ในส่วนลึกสุดของทะเลมหาหมอกแล้ว! แต่เจ้าบื้อสองคนนั้นกลับไม่เข้าใจมุกตลก แถมยังถามด้วยสีหน้าฉงนอีกว่า ‘คุณยังมีสมบัติอื่นอยู่อีกหรือ?’ น่าเบื่อชะมัด เจ้าพวกนี้ทำตัวไม่สมกับเป็น ‘จตุอาชา’ ของฉันเลยสักนิด!”

“11 มิถุนายน เราค้นพบเกาะแห่งใหม่บนเส้นทางเดินเรือไม่ปลอดภัย บนเกาะมีสัตว์วิเศษอาศัยอยู่จำนวนมาก ไม่สิ ขอเรียกว่า ‘สิ่งมีชีวิตวิเศษ’ ก็แล้วกัน แบบนี้เท่กว่าตั้งเยอะ แต่สัตว์วิเศษพวกนี้หน้าตาประหลาดชะมัด เรามั่นใจว่าถ้าชาร์ล·ดาร์วินถูกส่งข้ามโลกมาถึงที่นี่ หมอนั่นไม่มีทางคิดค้นทฤษฎีวิวัฒนาการได้แน่”

“15 พฤษภาคม กรีนมีท่าทีแปลกไป หรือหมอนั่นกำลังถูกพลังบางอย่างครอบงำ?”

จักรพรรดิโรซายล์เริ่มล่องเรือในปีไหนกันนะ? สงสัยต้องค้นประวัติศาสตร์โดยละเอียดจากห้องสมุด ถ้าจำไม่ผิด ทะเลมหาหมอกจะอยู่ทางตะวันตกของสาธารณะรัฐอินทิส

ไคลน์อ่านหน้าแรกจบลงอย่างรวดเร็ว มันรีบหยิบกระดาษแผ่นต่อไปขึ้นมา

มาถึงจุดนี้ ไคลน์ไม่มีเหตุให้ต้องปิดบังว่าตนสามารถอ่านไดอารีล้ำค่าของจักรพรรดิโรซายล์ออก ความพิเศษของตนจะช่วยให้ภาพลักษณ์ของเดอะฟูลยิ่งใหญ่ขึ้น

ออเดรย์และอัลเจอร์ทำเพียงจ้องมองโดยไม่กล่าวสิ่งใด ทั้งสองนั่งรออย่างเงียบงันราวกับไม่ประหลาดใจที่มิสเตอร์ฟูลสามารถอ่านออก

และอันที่จริง พวกมันคิดว่าการรอคอยโดยไม่พูดแทรกคือเดียวที่กระทำได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน

“2 ตุลาคม พวกมันต้องการให้เราแต่งงานกับมิสมาทิลด้าจากตระกูลอาเบลให้ได้! พระเจ้า! เราไม่เคยพบหน้าหล่อนเลยสักครั้ง! ไม่ได้! หัวเด็ดตีนขาดก็ต้องปฏิเสธ! ต่อให้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนและอดอยากไปตลอดชีวิตที่เหลือ แต่เราจะไม่มีวันยอมรับการคลุมถุงชนเด็ดขาด! 5 ตุลาคม มิสมาทิลด้าสวยชะมัด… สวยชนิดวัวตายความล้ม”

“6 ตุลาคม อุปนิสัยและกิริยามารยาทของเธอตรงตามสเปคเราทุกประการ ชักอยากให้งานแต่งมาถึงไวๆ แล้วสิ”

กลืนน้ำตายตัวเองเร็วฉิบ…

ไคลน์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มันพยายามไม่ให้อารมณ์ขันหลุดลอดผ่านสายหมอกออกไป

ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่า โรซายล์·กุสตาฟมิได้บันทึกไดอารีทุกวันในช่วงแรกของชีวิต จะเขียนก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่ต้องการรำพัน จดบันทึก หรือระบายอารมณ์

สายตาไคลน์เหลือบลงมองส่วนล่างของหน้ากระดาษแผ่นที่สอง มันอ่านออกเสียงประโยคสุดท้ายภายในใจ

“9 ตุลาคม พวกมันเริ่มเรียกเราว่า ‘บุตรแห่งไอน้ำ’ ฟังดูเจ๋งชะมัด”

ไคลน์ค่อนข้างผิดหวังที่เนื้อความสองหน้ากระดาษแรกมีมูลค่าไม่มาก

แต่นั่นก็ไม่ส่งผลให้ตนอารมณ์บึ้งตึง มาถึงแผ่นสุดท้าย ชายหนุ่มพบว่ากระดาษแผ่นนี้มีข้อความเขียนไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

“21 เมษายน โบสถ์เทพแห่งช่างฝีมือได้เสนอเส้นทางผู้วิเศษให้เราเลือกจำนวนสองเส้นทาง หนึ่งคือ‘นักปราชญ์’ เป็นเส้นทางที่โบสถ์ครอบครองโดยสมบูรณ์ และอีกหนึ่งคือผู้ส่องความลับ แต่เส้นทางชนิดนี้ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากโบสถ์ยึดสูตรผลิตโอสถมาจากนิกายมอสส์ที่ล่มสลาย”

“22 เมษายน เราตัดสินใจได้ไม่ยาก ต้องเลือกเป็นนักปราชญ์อยู่แล้ว เพราะมันคือเส้นทางที่สมบูรณ์ยังไงล่ะ”

“หากเราหวังกลับโลกเก่า ด้วยพลังในตอนนี้คงไม่เพียงพอแน่ จำเป็นต้องพึ่งพาพลังจากตัวตนลึกลับภายนอก แต่เราไม่มีทางทราบได้เลยว่า ตัวตนดังกล่าวจะมีเจตนาดีหรือร้ายกันแน่ เป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้”

“ด้วยเหตุนี้ การจะกลับโลกเก่าอย่างปลอดภัยจึงเหลือหนทางเดียว คือการกลายเป็นผู้วิเศษระดับสูง และเส้นทางที่ง่ายที่สุดคือเส้นทางนักปราชญ์ที่โบสถ์มีครบถ้วน!”

“23 เมษายน เรากลายเป็นนักปราชญ์เต็มตัวหลังจากการดื่มโอสถ ไม่น่าเชื่อว่า ความรู้สมัยโลกเก่าหวนกลับมาทั้งหมดในทันที ไม่ว่าจะด้านฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา…”

“ไม่เพียงความทรงจำจะกลับมา แต่เรายังเข้าใจในบทเรียนที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน สามารถนำมาใช้งานและดัดแปลงได้ดั่งใจนึก! นี่เป็น‘อาชีพ’ที่เกิดมาเพื่อนักเดินทางข้ามโลกอย่างเราชัดๆ! กล้าพูดได้เต็มปากว่า หากเอาร่างกายนี้กลับไปสอบเอนทรานซ์ใหม่ตอน ม.6 เราจะได้เข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศแน่นอน แถมยังได้รับทุนเรียนดีในสาขาด้านวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมทั้งหมด”

“26 เมษายน เราชื่นชอบการเป็นนักปราชญ์มาก และมีบางสิ่งที่น่าขบคิด เมื่อเราเริ่มแนะนำตัวเองกับคนอื่นว่าเป็นนักปราชญ์ รวมถึงปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นนักปราชญ์ เสียงกระซิบที่ดังในหัวเริ่มจางหายไป และการควบคุมอารมณ์สามารถทำได้ดีขึ้นมาก”

“หรือนี่จะเป็นการสวมบทบาทที่มิสเตอร์ซาราธหมายถึง? คงเป็นหลักสำคัญของการขจัดผลข้างเคียงโอสถสินะ”

เมื่อได้อ่านไดอารี ไคลน์เริ่มตระหนักว่าตนและจักรพรรดิโรซายล์มีหลายจุดที่แตกต่างกัน

ตัวอย่างเช่นการเดินทางกลับโลกเก่า

ไคลน์เลี่ยงที่จะเป็นผู้วิเศษระดับสูงเพราะเกิดอาการคลุ้มคลั่งได้ง่าย มันตัดสินใจใช้พิธีกรรมเวทมนตร์และพึ่งพาพลังตัวตนลึกลับในการกลับโลกเก่า แต่จะกระทำด้วยวิธีปลอดภัยที่สุด ดังนั้นการศึกษาศาสตร์เร้นลับให้ลึกซึ้งคือสิ่งจำเป็น

กลับกัน จักรพรรดิโรซายล์ไม่คิดพึ่งพาพลังจากภายนอกโดยเด็ดขาด มันมุ่งเป้าไปที่การเป็นผู้วิเศษระดับสูงและใช้พลังของตัวเองเพื่อส่งตัวเองกลับโลกเก่า ถึงแม้ต้องเสี่ยงกับอาการคลุ้มคลั่งก็ตาม

พูดตามตรง มันอิจฉาคนที่กล้าได้กล้าเสียเช่นนี้ บางที อาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มักอิจฉาในสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง

แต่แน่นอน ตัวมันก็ต้องหาทางพัฒนาความแข็งแกร่งควบคู่กันไป จะละทิ้งทางใดทางหนึ่งไม่ได้

ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ

คำอธิบายเกี่ยวกับการสวมบทบาทช่วยให้ไคลน์มั่นใจว่าทฤษฎีของตนถูกต้อง

มันวางกระดาษหนังทั้งสามแผ่นลงและมองไปทางจัสติสกับแฮงแมนด้วยรอยยิ้ม

“ต้องขอโทษด้วย อ่านเพลินไปหน่อย”

ออเดรย์พยายามระงับความอิจฉา หล่อนทำเพียงฉีกยิ้มกว้าง

“ดิฉันเข้าใจค่ะ และหวังว่าจะมีสักวันที่สามารถแลกเปลี่ยนเนื้อหาไดอารีกับท่านได้”

“ราคาไม่ถูกนะ”

ไคลน์ยังคงอมยิ้ม ก่อนจะชำเลืองสายตามองไปทางฝั่งแฮงแมนที่เงียบงัน

ออเดรย์นำมือสองข้างมาประสานไว้บนตักก่อนจะกล่าว

“มิสเตอร์ฟูล มิสเตอร์แฮงแมน ดิฉันมีบางเรื่องต้องการไต่ถาม หากพวกคุณต้องการสิ่งแปลกเปลี่ยน กรุณาบอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”

“ไม่มีปัญหา”

อัลเจอร์ตอบเต็มใจ

ไคลน์พยักหน้าและเอนหลังพิงพนัก

ออเดรย์ครุ่นคิดนานหลายวินาที

“คำถามข้อแรกคือ การสวมบทบาทหมายถึงสิ่งใดกันแน่? ดิฉันตระหนักว่าผลข้างเคียงของโอสถลดลงอย่างรวดเร็วในหลายวันที่ผ่านมา หรือจะเป็นเพราะดิฉันสวมบทบาทเป็นผู้ชมมาตลอด?”

อัลเจอร์ไม่กล่าว มันเพียงหันมองเดอะฟูลที่หัวโต๊ะคล้ายกับรอฟังคำตอบปากจากผู้เชี่ยวชาญ

มือข้างที่ไคลน์มักใช้เคาะโต๊ะ มันนำนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถูกกันสักพักก่อนจะมอบคำตอบ

“ขออธิบายด้วยการเปรียบเปรยเพื่อให้เห็นภาพ…”

“สมมติให้พลังของโอสถคือปราสาทหลังใหญ่ที่ถูกอารักขาเข้มงวด ผลข้างเคียงด้านลบของโอสถคือเจ้าของปราสาทหลังดังกล่าว และตัวเราเป็นเพียงคนนอกหนึ่งเดียวซึ่งไม่มีใครช่วยเหลือ เป้าหมายคือการยึดครองปราสาทหลังนั้นมาเป็นของตัวเอง”

“การยึดครองทำได้ด้วยสองวิธี หนึ่งก็คือ ใช้กำลังบุกเข้าไป แต่วิธีนี้ไม่รับประกันความสำเร็จ และเราอาจได้รับบาดเจ็บระหว่างลงมือ ต่อให้ครองปราสาทสำเร็จ แต่ร่างกายอาจบาดเจ็บยับเยิน จึงค่อนข้างแน่นอนว่า วิธีนี้ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ยึดครองปราสาท”

“หนทางที่สองคือ การใช้บัตรเชิญเพื่อเข้าไปในปราสาทอย่างถูกต้อง เมื่อเข้าถึงแกนกลางสำเร็จ การลงมือจำกัดศัตรูที่มีเพียงหนึ่งเดียวย่อมง่ายกว่า”

“แต่ปัญหาคือ แขกที่สามารถเข้าไปด้านในจะต้องมีใบหน้าและลักษณะนิสัยตรงตามที่เขียนไว้ในบัตรเชิญเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องปลอมตัวเป็นแขกให้แนบเนียน องค์รักภายนอกจะได้ปล่อยให้ผ่านเข้าไป”

“พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างหรือยัง?”

อัลเจอร์เอ่ยปากถามทันทีที่ไคลน์พูดจบ

“หมายความว่า คำบอกใบ้บนบัตรเชิญคือชื่อของโอสถสินะครับ?”

“ถูกต้อง”

ไคลน์ยืนยันหนักแน่น

ออเดรย์นั่งอึ้งไปชั่วขณะ เธอเข้าใจความหมายของ‘สวมบทบาท’อย่างกระจ่างชัดจากคำอธิบายเมื่อครู่

หล่อนตะลึงจนหลุดจากภาวะผู้ชมที่รักษาอยู่นาน

“เป็นการอธิบายที่เห็นภาพชัดมาก! ด…ดิฉันคิดว่า ฉายาเดอะฟูลเหมาะสมกับตัวท่านแล้ว ทั้งวิธีการอธิบายอย่างชาญฉลาดและความลึกลับ…”

“ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการสวมบทบาทจะสำคัญขนาดนี้ โชคดีที่ทำตัวเป็นผู้ชมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา”

เธอชะงักครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ

“เป็นคำอธิบายที่มีค่ากับดิฉันมาก คงไม่สบายใจสักเท่าไรหากต้องรับมันไว้ฟรี มิสเตอร์ฟูลคะ ท่านต้องการสิ่งใดตอบแทนอย่างนั้นหรือ? แต่ดิฉันยังไม่ลืมว่าตัวเองยังคงติดหนี้ไดอารีจักรพรรดิโรซายล์กับท่านอยู่หนึ่งหน้า”

“เอาเป็นหน้าไดอารีเพิ่ม หรือไม่ก็…”

ไคลน์ชะงัก

ใจจริง มันต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางนักทำนายมากกว่านี้ แต่การถามถึงโอสถระดับต่ำจะทำให้ภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของเดอะฟูลเสื่อมเสีย ความคิดดังกล่าวคงต้องพับเก็บไว้ก่อน ค่อยหลอกถามทางอ้อมในวันหลัง

ตนเพิ่งเป็นผู้วิเศษได้ไม่กี่วัน ยังห่างไกลจากการ‘ย่อยพลังสมบูรณ์’อยู่มาก…

มันข่มใจและกล่าวต่อด้วยเสียงเรียบเฉย

“ข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลอันทีโกนัสทั้งหมด ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน… ถึงเราจะมีข้อมูลเกี่ยวกับมันค่อนข้างมากแล้วก็ตาม”

อัลเจอร์ก้มหน้าเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะเงยหน้ามองไปทางหัวโต๊ะและกล่าว

“มิสเตอร์ฟูล… เกี่ยวกับตระกูลอันทีโกนัส ผมเชื่อว่า ผมสามารถจ่ายหนี้เก่าที่ติดค้างกับท่านได้ด้วยข้อมูลของพวกมัน”

........................

下一章