webnovel

0057 เรียบเรียงและหาเหตุผล

ราชันเร้นลับ 57 : เรียบเรียงและหาเหตุผล

หลังจากชะงักครู่หนึ่ง ไคลน์ลงมือเขียนต่อ

“หลักสำคัญในการระงับผลข้างเคียงของโอสถคือการ ‘ย่อยพลัง’ มิใช่ ‘ควบคุมพลัง’ นี่เป็นพื้นฐานที่เข้าใจได้ไม่ยาก”

“หากฝืนควบคุมพลัง พลังที่ได้รับจะเป็นเพียงอุปกรณ์ช่วยเหลือนอกกาย เฉกเช่นสัตว์ป่าดุร้าย ที่ไม่ว่าจะถูกฝึกอย่างดีเพียงใด แต่มันจะเป็นได้แค่ความช่วยเหลือจากภายนอก ซึ่งมีโอกาสแว้งกัดเจ้าของในสักวัน”

“กลับกัน ถ้าหากย่อยพลังอย่างสมบูรณ์จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย พลังดังกล่าวจะเปรียบดังแขนขา อวัยวะ และสามารถใช้ได้ดังใจนึกโดยไม่แว้งกลับทำร้าย”

“มาถึงจุดที่เราตั้งข้อสงสัย เหตุใดการสวมบทบาทถึงเป็นกุญแจสำคัญในการย่อยพลัง?”

“จากประสบการณ์สวมบทบาทเป็นนักทำนายในวันนี้ เราสามารถตั้งสมมติฐานได้สองข้อ ซึ่งจะต้องมีการหาข้อพิสูจน์ในอนาคตกันต่อไป”

“สมมติฐานข้อแรก: โอสถจะเปลี่ยนให้มนุษย์มีพฤติกรรมและลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกับ ‘ชื่อโอสถ’ หมายความว่าร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเราจะถูกเปลี่ยนให้เข้าใกล้ความเป็นนักทำนายมากขั้น ดังนั้น การสวมบทบาทนักทำนายตัวจริงจะช่วยให้เรากลมกลืนกับพลังใหม่ได้รวดเร็ว”

“สมมติฐานข้อที่สอง: วิญญาณที่ตกค้างจาก ‘วัตถุดิบโอสถ’มีระบบคล้ายคลึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หากเราต้องการแฮ็กระบบอย่างสมบูรณ์ การค้นหาบั๊กและช่องโหว่คือสิ่งจำเป็น และชื่อของโอสถเปรียบดังคำบอกใบ้”

“ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้อง ‘ปลอมตัว’ ปรับสภาพจิตใจและวิญญาณให้ ‘คล้ายคลึงระบบ’ ด้วยวิธีการสวมบทบาท วิธีนี้จะ ‘หลอก’ ระบบให้เชื่อว่าเราเป็นพวกเดียวกับมัน และยอมรับให้ผ่านเข้าไปแฮ็กสำเร็จ”

“แต่ไม่ว่าจะสมมติฐานข้อใด สิ่งที่เหมือนกันคือ เราต้องปรับเปลี่ยนร่างกาย จิตใจ และวิญญาณให้มีลักษณะเหมือนกับชื่อโอสถ เพื่อที่จะได้รับพลังของโอสถอย่างเต็มที่ ไปพร้อมกับขจัดผลข้างเคียงแปลกปลอม”

ไคลน์วางปากกาลงและอ่านข้อความที่ตัวเองเขียน ในวินาทีนี้ มันต้องขอบคุณระบบการศึกษาของจักรวรรดิแห่งอาหารบนโลกเก่า

ไม่ว่าจะเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์ แต่ตัวมันได้ถูกปูพื้นฐานการคิดคำนวณอย่างเป็นเหตุเป็นผลมาตั้งแต่เด็ก

และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ตนเก่งฉกาจในฐานะนักรบคีย์บอร์ด หลักตรรกะและการทบทวนคือสิ่งสำคัญในการโต้เถียงให้ชนะบนโลกอินเทอร์เน็ต

“หลังจากบรรพบุรุษลองผิดลองถูกมานาน การสวมบทบาทอาจเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดแล้ว เราคงต้องรอพิสูจน์ผลลัพธ์ด้วยตัวเองในอนาคต”

ไคลน์สรุปกับตัวเอง ก่อนจะเขียนคำถามถัดไปลงกระดาษ

“เหตุใด ‘นักทำนาย’ ที่ชำนาญศาสตร์เร้นลับหลายชนิดถึงอ่อนแอด้านการต่อสู้? ไม่ใช่ว่ายิ่งชำนาญศาสตร์เร้นลับ ก็จะยิ่งดวลตัวต่อตัวได้แข็งแกร่งหรอกหรือ? โดยเฉพาะพลังทำนายหาจุดอ่อนศัตรู”

“สาเหตุน่าจะเป็นเพราะว่า…”

“สมมติฐานแรก อาจเหมือนกับนิยายที่เราเคยอ่านสมัยอยู่โลกเก่า ตัวเอกถูกส่งไปยังโลกแห่งเกมที่มี ‘อาชีพ’ แตกต่างกันไป แต่ละอาชีพจะมีข้อดีข้อเสียหักล้างเพื่อให้เกมสมดุล แต่เมื่อลองนึกดูให้ดี โลกของเราไม่เหมือนเกมสักเท่าไร การสมมติให้ผู้วิเศษเหมือนกับ ‘อาชีพ’อาจไม่ถูกต้อง แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว”

“สมมติฐานที่สอง พื้นฐานของโลกใบนี้คือความสมดุล และพระผู้สร้างได้กำหนดให้โลกต้องดำเนินไปอย่างสมดุลเท่าเทียม”

“สมมติฐานที่สาม โอสถลำดับต่ำทุกเส้นทางจะถูกจำกัดพลังไว้ อาจเป็นผลมาจากการลองผิดลองถูกของบรรพบุรุษ”

“พลังโอสถที่มากเกินไปจะทำให้ผู้วิเศษคลุ้มคลั่งได้ง่าย พลังที่น้อยเกินไปจะไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยงชีวิตเป็นผู้วิเศษ”

“ลงเอยด้วย ผู้วิเศษแต่ละเส้นทางจะชำนาญด้านใดด้านหนึ่งอย่างสุดโต่ง แต่จะอ่อนแอด้านที่เหลืออย่างมิอาจหลีกเลี่ยง”

“สมมติฐานที่สี่ ทุกสิ่งในโลกถือกำเนิดจากเศษเสี้ยวพระผู้สร้าง หมายความว่า ทุกองค์ประกอบจะชดเชยสิ่งที่ขาดหาย และไม่ก้าวก่ายในความถนัดของกันและกัน พลังแต่ละเส้นทางจึงเชี่ยวชาญได้เพียงหนึ่งศาสตร์”

“เราเอนเอียงไปทางสมมติฐานที่สามและสี่มากกว่า แต่อย่างหลังยากต่อการพิสูจน์ จึงใช้ได้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น”

“เมื่อตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ทิ้งไป จะเหลือเพียงสาเหตุที่สามซึ่งน่าเชื่อถือที่สุด เราจะใช้มันเป็นหลักในการดำเนินชีวิต”

มาถึงจุดนี้ ไคลน์เขียนบันทึกของตัวเองเต็มสองหน้ากระดาษแล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตรงกันข้าม มันเขียนลงมือเขียนคำถามถัดไปต่อ

“จากประสบการณ์ในวันนี้ พิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาของเราเข้าข่ายพิธีกรรมเวทมนตร์โบราณ โดยทั่วไปแล้ว พิธีกรรมเวทมนตร์จะแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน เริ่มจากขั้นตอนแรก การเซ่นสังเวยสิ่งของที่ ‘ตัวตนลึกลับ’ ชื่นชอบ ถัดมาคือขั้นตอนที่สอง การท่องคาถาเพื่อเอ่ยนามและเรียกขานตัวตนลึกลับดังกล่าว”

“สุดท้ายคือขั้นที่สาม พิธีกรรมที่เป็นตัวระบุว่าเราปรารถนาในสิ่งใด”

“หากใช้ทฤษฎีนี้เป็นบรรทัดฐาน พิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาของเราค่อนข้างแปลกประหลาด… เพราะมันไม่มีส่วนที่สาม! ของเซ่นคืออาหารสี่ทิศที่วางมุมห้อง ส่วนคาถาคือการกล่าวถึงเทพฟ้าดินทั้งสี่…”

“แต่หลังจากนั้น ตัวเราไม่ได้ประกอบพิธีกรรมใดต่อ ทำเพียงหลับตาและรอผลลัพธ์ มิได้ระบุว่าต้องการสิ่งใดตอบแทน ไม่แม้แต่จะกล่าวอ้อนวอนให้ดวงชะตาดีขึ้น”

“หรือก็คือ… ตัวตนลึกลับไม่มีทางทราบว่าเราต้องการสิ่งใด มันสามารถทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม…”

นี่เราปล่อยให้อีกฝ่ายตัดสินใจแทนมาตลอดเลยหรือ?

“บ้าจริง! คนเขียนหนังสือ‘พิธีกรรมโบราณสมัยราชวงศ์ฉินและฮั่น’คิดอะไรอยู่กันแน่?”

“เรามันโง่ที่ดันไปหลงทำตาม…”

ไคลน์หยุดเขียนทันที มันพยายามสูดลมหายใจยาวเข้าปอดสองครั้งเพื่อสงบสติ

เมื่ออารมณ์เข้าที่เข้าทาง มันเริ่มเขียนต่อ

“เราควรปรับแต่งพิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาให้สมบูรณ์ เช่นการเอ่ยว่า ตัวเราปรารถนาที่จะกลับไปยังโลกเก่าและได้พบเพื่อนฝูงอีกครั้ง”

“คำถามถัดมาก็คือ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหตุใดตัวตนลึกลับดึงเราขึ้นไปบนมิติสายหมอก? มีความนัยพิเศษซ่อนอยู่หรือไม่?”

“และถ้าปรับแต่งพิธีกรรมโดยปรารถนากลับไปยัง ‘โลกเก่า’ ตัวตนลึกลับจะเข้าใจหรือ ว่าโลกเก่านั้นหมายถึงสถานที่ใด? ต่อให้เข้าใจ แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่เรายังหาคำอธิบายไม่ได้… หากตัวตนลึกลับดังกล่าวสามารถทำตามใจชอบ แล้วเหตุใดถึงต้องส่งตัวเราไปยังมิติสายหมอกทั้งสามครั้งโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง? แถมปล่อยให้เราอัญเชิญจัสติสกับแฮงแมนร่วมชุมนุมโดยไม่รบกวน เจตนาของตัวตนลึกลับคืออะไรกันแน่?”

“ถ้าการพิธีกรรมครั้งที่สี่ในบ่ายวันพรุ่งนี้ส่งผลแบบเดิม หมายความว่า ตัวตนลึกลับกำลังปรารถนาให้เรากระทำบางสิ่งบนมิติสายหมอก….”

“การเพิ่มขั้นตอนที่สามเข้าไปเพื่อแจ้งเจตจำนงอาจไม่เป็นผล ไม่สิ บางทีตัวตนลึกลับอาจโมโหจนทำให้ทุกสิ่งแย่ลง”

“แต่น่าแปลก ทำไมพิธีกรรมจากโลกเก่าถึงส่งผลกับโลกใหม่ด้วย? ทั้งที่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงคาถาแม้แต่น้อย…”

“หมายความว่า เราสามารถใช้พิธีกรรมนี้บนโลกใดก็ได้ แต่จะให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างนั้นหรือ…”

“แล้วจะแจ้งความปรารถนากลับโลกเก่าด้วยวิธีใดได้บ้าง?”

“และถ้ามองว่า ตัวตนลึกลับที่โลกเก่ากับโลกใหม่เป็นคนละบุคคลกัน คำถามหลายข้อก็จะลงล็อกพอดี…”

“แต่ขณะเดียวกันก็หมายความว่า ตัวตนลึกลับบนโลกปัจจุบันที่เราอาศัยอยู่ จงใจดึงตัวเราขึ้นไปบนมิติสายหมอกด้วยเหตุผลบางประการ และจะมิอาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตานี้ได้อีกพักใหญ่”

“มาถึงคำถามที่สำคัญที่สุด ตัวตนลึกลับของโลกใบนี้ที่เราเอ่ยถึง เขาหรือเธอเป็นใครกันแน่? แล้วเหตุใดถึงไม่เผยตัวตนเลยสักนิด?”

“หรือจะคอยเฝ้าจับตามองในส่วนลึกของมิติสายหมอกแห่งนั้นตลอดเวลา?”

“หืม… หรือจะเป็นตัวตนที่กำลังหลับใหล และคอยตอบรับพิธีกรรมโดยอัตโนมัติหากมีใครปฏิบัติตามเงื่อนไข? แต่เนื่องจากหลับใหลอยู่ จึงไม่ยื่นมือแทรกแซงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนมิติสายหมอก? ถ้าอย่างนั้น เราสามารถทดลองใช้ขั้นตอนที่ต่างออกไปเพื่อหยั่งผลตอบรับ หากผ่านไปอย่างราบรื่น เราจะพบวิธีเดินทางกลับโลกเก่าได้ในสักวัน แต่ปัญหาคือ ถ้าตัวตนลึกลับมิได้หลับใหลอย่างที่คิด ตัวเราจะเผชิญความฉิบหายในชั่วพริบตา แบบนั้นไม่อันตรายไปหน่อยหรือ? การทดสอบครั้งแรกต้องกระทำอย่างระมัดระวังที่สุด พยายามไม่ให้ตัวตนลึกลับโมโห…”

“ปวดหัวชะมัด อยากมีข้อมูลมากกว่านี้”

ไคลน์ถอนหายใจยาวหลังจากสรุป

มาถึงส่วนสุดท้าย มันเขียนถึงรายละเอียดปลึกย่อยที่เหลือ

“มีเสียงกระซิบประหลาดดังขึ้นบ่อยครั้ง มันพูดว่าอะไรกันแน่… ‘โฮนาซิส’ แล้วก็… เฟรเกียหรือฟราเกีย? โฮนาซิสคือเทือกเขาที่กั้นแบ่งอาณาจักรโลเอ็นและสาธารณะรัฐอินทิสออกจากกัน ยอดเขาสูงที่สุดมีระดับสูงกว่าน้ำทะเลราวหนึ่งกิโลเมตร เนื้อความในสมุดบันทึกอันทีโกนัสระบุไว้ว่า ‘แคว้นรัตติกาล’เคยมีตัวตนในยุคสมัยที่สี่มาก่อน แคว้นรัตติกาลจะเกี่ยวข้องกับโบสถ์เทพธิดารัตติกาลหรือไม่? มีความสัมพันธ์กันอย่างไร? มิตรหรือศัตรู? และสาเหตุที่ตระกูลอันทีโกนัสถูกโบสถ์เทพธิดารัตติกาลลบออกจากประวัติศาสตร์ จะเกี่ยวข้องกับแคว้นรัตติกาลที่ว่าหรือไม่?”

“หรือเสียงที่เราได้ยินจะเป็นพลังจากสมุดบันทึกอันทีโกนัส? เสียงคร่ำครวญของหนึ่งในสมาชิกตระกูลอันทีโกนัสเมื่อพันปีก่อนอย่างนั้นหรือ? แล้วเฟรเกีย… ฟราเกีย? หมายถึงอะไร? เป็นคำถามที่น่าสนใจ… หากประเมินจากความลึกลับของสมุดบันทึกและการครอบครองของวิเศษต้องห้ามรหัส 2-049 มีความเป็นไปได้สูงว่า ตระกูลอันทีโกนัสจะมีอิทธิพลอย่างมากในสมัยอดีต อาจเป็นตระกูลผู้วิเศษใหญ่ลำดับต้นๆ ของทวีปเหนือ ชักสงสัยแล้วว่า พวกมันถือครองโอสถเส้นทางใดไว้? เส้นทางสมบูรณ์หรือไม่?”

“การที่เราพบว่าสมุดบันทึกอันทีโกนัสตกอยู่ในมือรีเอล·บีเบอร์ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าตกใจก็จริง แต่ก็ปราศจากสัญญาณการถูกชักจูงโดยใครบางคน”

“ชักน่าสงสัยว่า ชะตาชีวิตของเราถูกผูกติดกับสมุดบันทึกเล่มนั้นจริงหรือ?”

ข้อสงสัยทั้งหมดของไคลน์ถูกเขียนลงบนแผ่นกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่า ทุกคำถามจะถูกวิเคราะห์สาเหตุและหาคำตอบอย่างละเอียด

ภาษาจีนกลางถูกขีดเขียนลงบนกระดาษสี่แผ่นเต็ม ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

ฉึบ

ไคลน์สลับหยิบหน้าแรกขึ้นมาอ่านทวนใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ บางครั้งใช้ปากกาขีดเน้นในส่วนสำคัญ บางครั้งก็เขียนเพิ่มเข้าไปและอ่านทวนซ้ำทั้งประโยค

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จันทร์แดงฉานด้านนอกถูกเมฆมืดปกคลุมจนลับตาชั่วขณะ

ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกบนโต๊ะขึ้นมาและเปิดฝาสำรวจเวลาครู่หนึ่ง ก่อนจะวางลง

ถัดมาเป็นการดึงลิ้นชักออกและก้มหยิบกล่องไม้ขีดไฟ ไคลน์จุดไม้ขีดหนึ่งก้านพร้อมกับนำเปลวเพลิงไปลนขอบปึกกระดาษทั้งสี่แผ่น

เพลิงส้มลุกลามทั่วแผ่นกระดาษรวดเร็ว

ไคลน์ขยับมือข้างที่ถือกระดาษไปวางเหนือถังขยะใกล้ตัว

ขี้เถ้าค่อยๆ ร่วงหล่นลงถัง

จนกระทั่งเหลือเพียงมุมกระดาษส่วนสุดท้าย มันบรรจงคลายปลายนิ้วที่คีบอยู่ ปล่อยให้เศษกระดาษที่เหลือหล่นลงถังขยะโดยสมบูรณ์

ในเมื่อไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ถูกเขียนด้วยภาษาจีนกลาง หากลุงนีลล์หรือหัวหน้าดันน์ทราบว่ามันมีเอกสารที่เขียนในภาษาเดียวกันเก็บไว้กับตัว ไคลน์คงมิอาจหาคำตอบใดไปอธิบายได้

และในโลกที่ผู้วิเศษสามารถเข้าฝันคนอื่นได้ตามใจชอบ คงไม่ดีแน่หากตนเขียนความลับของตัวเองเป็นภาษาโลเอ็น ฟุซัค หรือเฮอร์มิส

ดังนั้น การเขียนด้วยอักษรจีนกลางก็เพื่อเข้ารหัสความลับไว้ และต่อให้มีใครแอบอ่านความฝัน ไคลน์ก็สามารถอธิบายได้ว่า ตนพยายามถอดรหัสไดอารีจักรพรรดิโรซายล์อย่างหนักจนเก็บเอาไปฝันถึง

ดังนั้น เมื่อสรุปเสร็จสิ้นก็ต้องทำลายหลักฐานทิ้งโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยสำหรับสืบสาวมาถึงตัว

การทบทวนความรู้และหาข้อสรุปของโลกปัจจุบัน ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเอาตัวรอด มันจะหมั่นกระทำเช่นนี้ต่อเนื่องทุกสัปดาห์เพื่อไม่ให้รายละเอียดเล็กน้อยตกหล่น

เมื่อกระดาษสี่แผ่นกลายเป็นซากถี้เถ้าโดยสมบูรณ์ ไคลน์หยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาเขียนหัวเรื่อง

“เรียนอาจารย์ที่เคารพ…”

มันต้องการใช้ความรู้ความสามารถของศาสตราจารย์เคว็นติน·โคเฮ็นในการสืบหาร่องรอยของเทือกเขาโฮนาซิส

........................

下一章