ราชันเร้นลับ 34 : ค่าตอบแทนล่วงหน้า
ณ ห้องใต้ดินลับที่ไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว อัลเจอร์·วิลสันกำลังนั่งหน้าโต๊ะยาวซึ่งมีเครื่องไม้เครื่องมือหลายชนิดวางเรียงราย รวมถึงกระดาษหนังแพะอีกหลายใบ
ด้านหน้ามันคือเทียนไขที่ละลายไปแล้วครึ่งลำ เปลวเพลิงสีเหลืองหม่นส่องวูบวาบจนเงาเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องคลับคล้ายกับกำลังเคลื่อนไหว
เส้นผมสีน้ำเงินเข้มเกือบดำของอัลเจอร์พัวพันยุ่งเหยิงประหนึ่งสาหร่ายทะเล มันสวมชุดคลุมซึ่งมีสัญลักษณ์สายฟ้าสลัก สองมือกุมประสานด้านหน้าโดยหันนิ้วโป้งเข้าหากัน สายตาจ้องมองขวดของเหลวสีดำสนิทที่ตั้งวางบนโต๊ะถัดจากเทียนไขเล็กน้อย
ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!
ซ่า! ซ่า! ซ่า!
เสียงสายลมกระโชกสลับกับเสียงคลื่นทะเลซัดโถมดังออกจากขวดปริศนา หยดหมึกสีดำลอยกึ่งกลางขวด สายหมอกสีเทาเจือจางหมุนวน มองผิวเผินคล้ายกับปากและดวงตาของสิ่งมีชีวิตเร้นลับ
อัลเจอร์เหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง จนกระทั่งเข็มสั้นบ่งบอกชั่วโมงถูกเลื่อนมาแตะเลขสามตรง
มันใช้ปลายนิ้วบีบนวดขมับเล็กน้อย ก่อนที่ภาพการมองเห็นจะกลายเป็นสีดำสนิทและแสงสีต่างๆ ฟุ้งกระจายเข้มข้น
ทันใดนั้น แสงแดดสว่างจ้าคล้ายกับคลื่นสมุทรก่อตัวซัดโถมโอบร่างมันไว้ในพริบตา
…
กรุงเบ็นลันด์ เขตราชินี
ภายในคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลฮอลล์
หลังจากแยกย้ายกับครูเต้นรำ ออเดรย์รีบล็อกประตูก่อนจะเดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเก่าแก่ตัวเดิม
แสงแดดภายนอกห้องกำลังส่องสว่างอย่างเจิดจ้า เป็นปรกติของยามบ่ายสาม บนโต๊ะเครื่องแป้งมีสมุดบันทึกสีน้ำตาลอ่อนซึ่งผลิตจากหนังแกะคุณภาพสูง หน้ากระดาษเปิดค้างเผยให้เห็นความว่างเปล่า ไม่ห่างกันนักมีปากกาหมึกซึมปลอกสีทองวางนอนอยู่ ด้ามจับประดับประดาด้วยทับทิมหลายเม็ด
ออเดรย์ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้มั่นใจว่า เธอจะจดบันทึกได้ทันท่วงทีหลังถูกส่งออกจากชุมนุมไพ่ทาโรต์
“ตื่นเต้นจัง…”
เธอพยายามสูดลมหายใจสุดปอดเพื่อระงับอารมณ์โครมคราม ขณะเดียวกันก็ทำปากจู๋พลางชำเลืองมองเข้าไปในกระจก
ทว่า สิ่งที่เห็นมิใช่ภาพสะท้อนจากกระจกเงา หากแต่เป็นลำแสงมายาสีแดงเข้มซึ่งพุ่งตรงออกจากแผ่นกระจกจนอาบท่วมร่างตนไว้
…
ณ ห้วงมิติสายหมอกซึ่งถูกจำลองเป็นโถงประชุมศักดิ์สิทธิ์ คล้ายคลึงกับสิ่งก่อสร้างของเผ่าคนยักษ์ไม่มีผิดเพี้ยน
เสาสีแดงเข้มสองต้นพุ่งขึ้นจากเบาะเก้าอี้สองตัวเดิมที่แฮงแมนและจัสติสเคยนั่ง เสาลำแสงกระแทกใส่โดมเพดานอย่างเกรี้ยวกราดประหนึ่งน้ำพุโลหิต ก่อนจะซาลงและค่อยๆ ‘สลัก’ รูปลักษณ์ของสองบุคคล
ออเดรย์ผู้มาพร้อมเส้นผมสีทองอ่อน รูปร่างสูงโปร่ง ผอมเพรียวและสง่างาม สิ่งแรกที่หล่อนกระทำคือชำเลืองมองเก้าอี้หัวโต๊ะ เธอพบบุคคลหนึ่งซึ่งมีหมอกเทารายล้อมเข้มข้นกำลังนั่งด้วยมาดสง่า มือข้างขวาวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนข้างซ้ายกำลังลูบคางราวกับครุ่นคิด
“สวัสดียามบ่ายค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”
ออเดรย์ทักทายด้วยสีหน้าร่าเริง
ถัดมาเป็นการชำเลืองมองบุคคลที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามและทักทายด้วยโทนเสียงแบบเดียวกัน
“สวัสดียามบ่ายค่ะ มิสเตอร์แฮงแมน~”
ช่างเป็นสตรีผู้ใสซื่อ… เธอมั่นใจได้อย่างไรว่าเราคือคนดี? เหตุใดถึงไม่มีความหวาดกลัวหรือกังวลในจิตใจเลย?
เป็นบุตรสาวขุนนางใหญ่ที่ถูกเลี้ยงดูมาเยี่ยงไข่ในหินหรืออย่างไร?
ไคลน์อมยิ้ม แต่มาดภายนอกยังคงสุขุมขึงขัง
“สวัสดียามบ่าย มิสจัสติส”
ขณะกล่าว มันเบือนหน้าไปทางซ้ายเล็กน้อยพร้อมกับใช้ปลายนิ้วแตะหว่างคิ้วสองครั้ง
ภาพการมองเห็นผันเปลี่ยนในพริบตา ปรากฏสีออร่าของร่างกายแฮงแมนและจัสติสอย่างแจ่มชัด
ทุกสรรพสิ่งรอบมิติสายหมอกล้วนดำมืดเช่นเดิม ไม่พบสัญญาณชีพใดในห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
สายตาหันชำเลืองมองออร่าจัสติส สีออร่ารอบตัวเธอเหมือนกับที่ลุงนีลล์เคยอธิบายไว้ทุกประการ แต่ละจุดแบ่งแยกชัดเจนด้วยสีแดง ม่วง ฟ้า และอื่นๆ จนรวมกันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง บอกได้คำเดียวว่า เด็กสาวผู้นี้ถูกเลี้ยงดูอย่างดีและมีระดับสุขภาพไร้ที่ติ
ถัดมาเป็นสีของอารมณ์… แดงและเหลือง ซึ่งหมายถึงความตื่นเต้น กระตือรือร้น และความยินดี เมื่อได้ข้อสรุป ไคลน์หันไปสำรวจแฮงแมนบ้าง
คล้ายคลึงกับจัสติส… ไม่มีออร่าใดผิดแผกจากมนุษย์สุขภาพดีทั่วไป ส่วนอารมณ์นั้นมีสีฟ้าสลับส้ม
สุขุม ครุ่นคิด ระมัดระวัง และพึงพอใจ?
นี่คือครั้งแรกที่มันหัดอ่านสีออร่า ไคลน์จึงยังไม่มั่นใจในข้อสรุปนัก
แต่ขณะกำลังจะเบือนความสนใจกลับ มันเริ่มสัมผัสถึงบางสิ่งประหลาดได้จากแฮงแมน
ออร่าในชั้นลึกสุดของบุคคลผู้นี้แทบจะกลมกลืนกันเป็นสีเดียว
ไคลน์ลองเพ่งสมาธิให้หนักขึ้น มันพิจารณาแฮงแมนอย่างละเอียดจนพบว่า ในส่วนลึกที่ถัดจากกายอากาศลงไป ออร่าของแฮงแมนปรากฏสีฟ้าครามดุจดังน้ำทะเล แต่มิได้สงบนิ่ง กำลังเกรี้ยวกราดประหนึ่งลมพายุ
หรือจะเป็น… วิญญาณดารา? หรือควรเรียกว่าภาพเสมือนวิญญาณดาราดี?
ถ้ามีวิญญาณดาราก็หมายความว่า…
แฮงแมนเป็นผู้วิเศษ! แถมยังเป็นออร่าที่ทรงพลังยิ่งกว่าลุงนีลล์!
หลังจากวิเคราะห์ภายในใจอย่างเงียบงัน มันส่ายศีรษะเล็กน้อย
‘ไม่จำเป็นเสมอไป อาจเกี่ยวกับเรื่องที่มิติสายหมอกแห่งนี้คือสถานที่พิเศษ สีของออร่าจึงไม่ตรงกับความจริง’
หลังจากหันไปชำเลืองมองจัสติสอีกครั้ง ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าออร่าสีฟ้าครามของแฮงแมนคือสัญลักษณ์ของผู้วิเศษ
ขณะเดียวกัน อัลเจอร์กล่าวทักทายตามมารยาทเสร็จสิ้น
ออเดรย์ฉีกยิ้มขณะเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าคาดหวัง
“มิสเตอร์แฮงแมน คุณได้รับกล่องโลหิตฉลามวิญญาณแล้วหรือยัง?”
ก่อนจะตอบ อัลเจอร์หันไปมองไคลน์เล็กน้อย มันพบว่ามิสเตอร์ฟูลกำลังใช้ปลายนิ้วสัมผัสหว่างคิ้วคล้ายกับครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น
“ต้องขอบคุณมากจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ ไม่คิดว่าคุณจะหาพบเร็วขนาดนี้ เพราะโลหิตฉลามวิญญาณจัดว่าเป็นวัตถุดิบพิเศษซึ่งค่อนข้างหายาก”
อัลเจอร์ตอบอย่างซื่อตรง
ออเดรย์ยิ้ม
“ฉันดีใจที่คุณชอบ”
ในฐานะบุคคลที่ผู้หลงใหลศาสตร์เร้นลับตั้งแต่เด็ก ออเดรย์จึงเน้นเข้าสังคมกับทายาทชนชั้นสูงที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน พวกมันมักแลกเปลี่ยนข้อมูล หนังสือ หรือของวิเศษกันบ่อยครั้ง แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถช่วยให้ออเดรย์กลายเป็นผู้วิเศษได้จริง
อาจใช่ที่องค์ชายบางคนบอกใบ้ว่า มันสามารถช่วยให้เธอกลายเป็นผู้วิเศษได้ แต่ต้องแลกกับการมาเป็นภรรยารอง
ส่วนที่มาของโลหิตฉลามวิญญาณ ออเดรย์แอบขโมยมาจากคลังสมบัติตระกูล ซึ่งบ้านของเธอมีโหลบรรจุโลหิตฉลามวิญญาณ ‘ขนาดใหญ่มาก’ ชนิดที่ต่อให้หายไปร้อยมิลลิกรัมก็ไม่มีทางรับรู้ ออเดรย์จึงแอบขโมยมาเล็กน้อยโดยไม่รู้สึกผิด เธอเชื่อว่า ต่อให้ครอบครัวเอะใจว่าโลหิตฉลามวิญญาณถูกขโมย แต่คงไม่มีใครเสียเวลาสืบสวนเอาความ
อัลเจอร์ชำเลืองมองเดอะฟูลที่มีหมอกเทารายล้อม ก่อนจะหันกลับไปหาจัสติสด้วยสีหน้ายินดี
“จากข้อตกลงของเรา ผมจะบอกสูตรผลิตโอสถ ‘ผู้ชม’ ตามสัญญา”
“เดี๋ยวนะคะ ขอเตรียมหัวสมองก่อน… ตกลง เริ่มได้!”
ออเดรย์สูดลมหายใจเข้าลึกพลางจ้องอัลเจอร์ด้วยแววตาไม่สั่นคลอน
“โอสถลำดับต่ำนั้นปรุงได้ง่ายมาก เพียงใส่ส่วนผสมให้ตรงตามสูตรก็พอ ให้จำไว้ว่า สามารถใส่ในปริมาณน้อยกว่าที่ระบุได้ แต่ห้ามใส่มากกว่าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญญาใหญ่ตามมา คุณคงเคยได้ยินเรื่องที่ผู้วิเศษคลุ้มคลั่งใช่ไหม? ผมคงไม่ต้องทวนซ้ำกระมัง”
อัลเจอร์แจงเรื่องสำคัญที่สุดของการปรุงโอสถก่อน
ออเดรย์พยักหน้าหนักแน่น
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ขณะเดียวกัน เด็กสาวชำเลืองมองเดอะฟูล เผื่อว่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่จะมีสิ่งใดชี้แนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับ ทว่า เดอะฟูลยังคงเงียบงันและแน่นิ่งประหนึ่งรูปปั้น
อัลเจอร์พักเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“ผมบอกว่าใส่น้อยกว่าได้ก็จริง แต่ไม่ควรน้อยกว่าปริมาณที่ระบุมากเกินไป… หากไม่มีผู้ช่วย ขอแนะนำให้คุณศึกษาศาสตร์แปรธาตุเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อน”
“มีครูสอนพิเศษส่วนตัวอยู่แล้วค่ะ”
ออเดรย์ตอบอย่างมั่นใจ
หลังจากแนะนำข้อมูลสำคัญไปหมดแล้ว อัลเจอร์ไล่เรียงรายละเอียดของสูตรอย่างคล่องแคล่ว
“ผู้ชม… โอสถลำดับเก้า น้ำบริสุทธิ์แปดสิบมิลลิลิตร สารสกัดหญ้าฝรั่นเหมันต์ห้าหยด ผงดอกโบตั๋นฟันวัวสิบสามกรัม ดอกไม้เอลฟ์เจ็ดกลีบ ตาปลามานเฮอร์โตเต็มวัยหนึ่งข้าง และโลหิตปลาดำเขาแพะสามสิบห้ามิลลิลิตร วัตถุดิบสองชนิดสุดท้ายที่กล่าวไปเป็นส่วนผสมหลักหายากจากสัตว์วิเศษในทะเล คุณต้องระวังเรื่องปริมาณให้ดี”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ออเดรย์ทวนซ้ำ
“น้ำบริสุทธิ์แปดสิบมิลลิลิตร สารสกัดหญ้าฝรั่นเหมันต์ห้าหยด ผงดอกโบตั๋น…”
“ฟันวัว”
อัลเจอร์ช่วย
ด้วยเหตุนี้ ออเดรย์เริ่มจดจำสูตรผลิตโอสถได้ขึ้นใจ ทว่า เด็กสาวยังคงกลัวลืมและทบทวนซ้ำเช่นนั้นอีกหลายรอบ
“คุณผู้จัดการเข้าฌานไหม?”
เมื่อเห็นจัสติสผงกศีรษะ อัลเจอร์อธิบายต่อ
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณศึกษาการเข้าฌานถึงระดับไหน แต่จะทวนให้ในจุดที่สำคัญ…”
“หลังจากดื่มโอสถแล้ว จงรีบเข้าฌานทันที เพื่อให้ร่างกายเคยชินสัมผัสวิญญาณและพลังชนิดใหม่… การเข้าฌานต้องฝึกฝนเป็นประจำทุกวันเพื่อช่วงชิงพลังโอสถมาเป็นของตัวเองโดยเร็ว พยายามรีดเค้น ‘ความหมาย’ ของโอสถให้ชัดเจนที่สุด สัมผัสถึงความเร้นลับของมันให้มากที่สุด ร่างกายจะได้ปรับสภาพกับพลังใหม่ได้เร็วขึ้น”
“ด้วยวิธีดังกล่าว คุณสามารถลดโอกาสคลุ้มคลั่งไปได้หลายส่วน และ ‘ความหมาย’ ของโอสถมิได้ซ่อนที่ไหนไกล แต่จะแฝงอยู่ในชื่อโอสถชนิดนั้นๆ … เช่น ‘ผู้ชม’ เป็นต้น”
ไคลน์แอบฟังบทสนทนามาตลอดโดยไม่มีเจตนาจะขัดขวาง สิ่งเดียวที่มันต้องการคือขโมยความลับของโลกใบนี้ให้ได้มากที่สุด
แต่เมื่อได้ยินอัลเจอร์กล่าวถึงโอสถเช่นนั้น ไคลน์พลันครุ่นคิดถึงบางสิ่ง
ออเดรย์ฟังแฮงแมนอธิบายอย่างตั้งใจ ขณะที่เธอกำลังจะถามถึงรายละเอียดเชิงลึกของโอสถ เสียงเคาะโต๊ะพลันแว่วข้างหู
แฮงแมนและจัสติสรีบหันมองเดอะฟูลเป็นตาเดียว บุคคลปริศนาหัวโต๊ะกำลังใช้ปลายนิ้วเคาะเรียกอย่างนุ่มนวล ถัดมาเป็นเสียงอธิบายอันสุขุมลุ่มลึก
“กุญแจสำคัญของโอสถมิใช่การ ‘ชิงพลัง’ แต่เป็นการ ‘ย่อยพลัง’”
“หลักสำคัญมิใช่การค้นหาหรือรีดเค้นความหมาย แต่เป็นการ ‘สวมบทบาท’”
“ชื่อของโอสถมิใช่สัญลักษณ์หรือความหมาย แต่เป็นกุญแจสำหรับ ‘สวมบทบาท’”
ออเดรย์ค่อนข้างสับสนในสิ่งที่ได้ยิน เธอไม่เข้าใจว่ามิสเตอร์ฟูลกำลังกล่าวถึงสิ่งใด สายตาเด็กสาวพลันชำเลืองมองแฮงแมนตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้น หล่อนมีอันต้องผงะ
สาเหตุเพราะแฮงแมนกำลังยืนแข็งทื่อด้วยสีหน้าสุดตกตะลึง ท่าทีคล้ายคลึงยามมนุษย์ปรกติได้ยินเสียงฟ้าผ่าในระยะประชิด
“การย่อยพลัง การสวมบทบาท… การย่อย สวมบทบาท กุญแจสำคัญ…”
อัลเจอร์ทวนคำพูดเดอะฟูลซ้ำไปมาอีกสักพักใหญ่ด้วยเสียงค่อย คล้ายกับมันเริ่มเข้าใจหลักการของบางสิ่ง หรือไม่ก็ถูกสาปให้เสียสติไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งโดยไม่มีใครรบกวน อัลเจอร์หันมากล่าวกับไคลน์ด้วยเสียงแหบพร่าเจือความสั่นระริก
“ขอบคุณมากครับมิสเตอร์ฟูล คำบอกใบ้ของคุณสำคัญกับชีวิตผมมาก เป็นการชี้แนะครั้งใหญ่ที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ถึงจะยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในปัจจุบัน แต่ผมสัมผัสได้ว่า เมื่อครู่เป็นบทเรียนที่สำคัญและยิ่งใหญ่มาก”
ไคลน์ยังคงรักษามาดสุขุมเช่นเคย มันกล่าวกับอัลเจอร์ด้วยรอยยิ้ม
“ถือว่านั่นเป็นค่าตอบแทนล่วงหน้า”
อันที่จริง สมองไคลน์กลวงโบ๋เกี่ยวกับสิ่งที่ตนกล่าวออกไปเมื่อครู่ เพียงแค่คัดลอกถ้อยคำมาจากไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์เท่านั้น แต่อย่างน้อยไคลน์ก็มั่นใจว่า รุ่นพี่จักรพรรดิโรซายล์ต้องเป็นผู้วิเศษลำดับสูงซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าแฮงแมน
ค่าตอบแทนล่วงหน้า…
หลังจากเห็นอากัปกิริยาแฮงแมน ออเดรย์ทราบทันทีว่าข้อมูลเมื่อครู่มีมูลค่ามหาศาล
“มิสเตอร์ฟูลคะ คุณต้องการให้พวกเราทำสิ่งใดอย่างนั้นหรือ?”
อัลเจอร์ที่นั่งตรงข้ามรีบถามอย่างร้อนรน
“คุณจะมอบหมายงานแบบใดให้ผู้ต่ำต้อยเช่นพวกเรากระทำอย่างนั้นหรือครับ?”
ไคลน์เอนกายพิงผนังเบาะก่อนชำเลืองไปมาระหว่างคนทั้งสอง สุ้มเสียงของมันทั้งอ่อนโยนและกังวานไปทั่วห้องประชุม
“จงรวบรวมไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์มาให้เรา ไม่เกี่ยงว่าจะเล็กน้อยเพียงใด แค่หนึ่งหน้าก็มีความหมาย”
........................