webnovel

ตอนที่ 9 : ลุงทองใบ

เนื่องจากเมื่อคืนวานนี้กว่าจะจัดการทุกอย่างจนแล้วเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ธีรพลจึงตัดสินใจนอนค้างอยู่ที่บ้านเช่าของสิงห์เป็นการชั่วคราว ก่อนที่ช่วงเช้าตรู่ของอีกวันจะรีบขี่เกวียนกลับบ้าน เพราะเกรงว่าลุงมั่นและป้าแก้วจะเป็นห่วงเนื่องจากไม่ได้บอกกล่าวเอาไว้ล่วงหน้า

"ป้าแก้ว กลับมาแล้วครับ"

ทันทีที่ลงจากเกวียน ธีรพลก็เดินเข้าไปหาป้าแก้วที่กำลังหุงหาอาหารอยู่ตามปกติดั่งที่เคยเป็นตามกิจวัตรประจำวัน ราวกับว่าการหายตัวไปของธีรพลค่อนวันหนึ่งคืนไม่ได้สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจใดๆทั้งสิ้น

"กลับมาแล้วหรือลูก" โดยที่ไม่ไถ่ถามใดๆ ป้าแก้วที่หันกลับมารับหน้า ก็เพียงแค่อมยิ้มและตอบรับกลับไป

"คือเมื่อวาน..."

ขณะที่กำลังจะอธิบาย แต่ยังไม่ทันได้พูดจนครบประโยคดี ลุงมั่นก็พลันเดินเข้ามาจากข้างหลัง ตบหลังธีรพลเสียงดัง แล้วเอ่ยถาม "สนุกไหม?"

"คือเมื่อวาน..."

ขณะที่กำลังเริ่มอธิบายอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดจนครบถ้วน ลุงมั่นก็ชิงยกมือขึ้นทัดทานอีก แล้วหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง ก่อนจะหันไปกล่าวกับป้าแก้ว "ลูกเรามันโตเป็นหนุ่มแล้วนะแม่"

ด้วยความงงงันในเนื้อความที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อ หากคาดเดาไม่ผิดพลาด ธีรพลคิดว่าพ่อแม่บุญธรรมต้องเข้าใจเขาผิดไปคนละทางเสียมากกว่า แต่พอครั้นจะเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องราวแก้ต่าง เงาร่างที่คุ้นเคยก็พลันปรากฏเข้าสู่คลองจักษุ

"ลุงทองใบ!" ธีรพลร้องเรียกด้วยความดีใจ

"โตขึ้นเยอะเลยนะ เจ้าธี"

จากที่ไม่ได้พบเจอกันมากว่าสามสี่ปี เวลาผ่านล่วงเลยไป จากธีรพลในวัยสิบสี่สิบห้า ปัจจุบันเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ตัวสูงชะลูดรูปร่างดูสมส่วนแข็งแรง มีเค้าโครงความละม้ายคล้ายกับเมฆพ่อของเขาอยู่รำไร จนถึงขนาดที่ทองใบเมื่อมองดูเพียงผิวเผินแล้วนั้นก็ยังทำให้รำลึกนึกไปถึงเกลอผู้รู้ใจของเขาในอดีต

หลังจากกินข้าวนั่งคุยสารทุกข์สุขดิบกันจนแล้วเสร็จ ลุงมั่นและป้าแก้วที่รู้ดีว่าทั้งสองมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอีกมาก จึงถือโอกาสปลีกตัวจากไป ทิ้งให้ทั้งสองลุงหลานได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน

"เมื่อคืนไปไหนมาละ เห็นไอ้มั่นมันบอกว่าเจ้าติดสาวอยู่จริงหรือ?"

ทองใบที่เปรียบเสมือนดั่งผู้ปกครองที่แท้จริง เมื่อได้รับรู้มาว่าธีรพลเริ่มออกนอกลู่นอกทาง จึงอดไม่ได้ที่จะไถ่ถาม

"ไม่ใช่นะครับลุง" ธีรพลส่ายหน้ารีบปฏิเสธทันควัน ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่ต้นให้ทองใบทราบ

"ฉลาดเฉลียวได้พ่อมาจริงๆ"

เมื่อฟังถึงช่วงท้าย ทองใบที่นั่งฟังอย่างตั้งใจอยู่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจในความฉลาดหลักแหลมคิดหาทางออกอย่างแยบยลของอีกฝ่าย

"จากที่บอกเล่ามา แสดงว่าเจ้าสามารถพลิกแพลงประยุกต์ใช้กระบวนท่า ขุนยักษ์จับลิง ได้อย่างคล่องแคล่วดีแล้ว ยอดเยี่ยมยิ่ง"

ทองใบที่ให้ความสำคัญกับวิชาบู๊เสมอมา เมื่อได้รับฟังเรื่องการต่อสู้จากธีรพล ก็อดไม่ได้ที่จะวิจารณ์ฝีมือลูกศิษย์ที่เขาฝึกมาเองกับมือ

ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูอย่างละเอียด การที่ธีรพลสามารถรับมือคนจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้แล้วนั้น แสดงออกถึงความช่ำชองลึกซึ้งในการตั้งรับได้เป็นอย่างดี แต่ทองใบที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็ชี้ให้เขาเห็นถึงช่องว่างจุดโหว่ในการตีโต้รุกไล่ที่ยังขาดเล่ห์เหลี่ยมแต้มคู จึงทำให้เขาไม่สามารถเข้าควบคุมจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนนำมาซึ่งร่องรอยบาดแผลที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าให้ได้เห็น

"ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่ลุงพยายามเคี่ยวเข็ญพร่ำสอนวิชามวยให้ ก็เพียงเพื่อต้องการให้เจ้าได้มีวิชาไว้ป้องกันตัว แต่มาจนถึงวันนี้เจ้าได้ใช้มันเพื่อปกป้องผู้อื่น แสดงออกถึงธาตุแท้ที่น่ายกย่อง สำหรับเรื่องนี้ลุงรู้สึกภูมิใจในตัวเจ้ามาก" ทองใบกล่าวขึ้น

"เอาละ ในเมื่อคุณสมบัติข้อสำคัญที่สุดในการฝึกมวยของเจ้าเข้าข่าย ครานี้ลุงจะถ่ายทอดวิชาเชิงรุกให้สามกระบวนท่า"

เมื่อได้ยินดังนั้น ธีรพลที่ได้แต่ขุนยักษ์จับลิงและพื้นฐานมาโดยตลอดก็พลันเนื้อเต้นดีใจ เพราะมีแต่ฝึกฝนกลมวยขึ้นสูงจากลุงทองใบเท่านั้น ฝีมือที่หยุดนิ่งมาหลายปีก็จะเริ่มพัฒนาขึ้นอีกครั้ง และคราวหน้าหากถึงยามขับขันจำเป็น ตัวเขาก็จะได้มีความมั่นใจมากขึ้นในการรับมือศัตรู

แต่ก่อนจะที่ทองใบจะเริ่มแสดงสาธิตกระบวนท่าให้ดู ธีรพลก็พลันยับยั้งไว้ชั่วคราว สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้น ตัวเคลื่อนเข้าใกล้อีกฝ่าย แล้วลดเสียงลงจนแทบเปลี่ยนเป็นกระซิบบอกกล่าว "ข้ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งอยากจะปรึกษา"

ทันทีที่นึกขึ้นได้ถึงเปลวไฟปริศนาที่เขาเป็นผู้ปลดปล่อยออก ธีรพลจึงลำดับเหตุการณ์บอกเล่าให้ทองใบฟังอย่างละเอียด แม้ใจหนึ่งก็เกรงว่าหากบอกเล่าไป ลุงทองใบของเขาอาจจะมองเป็นเรื่องที่ชวนขัน แต่ในตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถไว้วางใจได้มากกว่า ดังนั้นจึงมีแต่รอรับฟังความคิดเห็นจากอีกฝ่ายอย่างจดจ่อ

"เหตุใดจึงใช้ออกได้!"

ทองใบบ่นพึมพำแสดงสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก อีกทั้งยังไม่เอ่ยตอบไขข้อข้องใจในทันที แต่กลับชักชวนให้ธีรพลตามเขาไปยังที่ลับตาคนอย่างมีเลศนัย

"ก่อนอื่น ลุงขอถามเจ้าก่อนว่า เจ้าจำเหตุการณ์เมื่อสิบห้าปีก่อนได้หรือไม่?" ทันทีที่ถึงสถานที่อันเหมาะสม ทองใบก็พลันเอ่ยถามขึ้น

"จดจำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น"

เนื่องจากด้วยอายุเพียงแค่สี่ขวบ ดังนั้นองค์ประกอบความทรงจำจึงไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ดีพร้อม สิ่งที่พอจะจดจำได้ก็มีเพียงภาพที่สร้างความสะเทือนใจอย่างหนักจนกลายเป็นฝันร้ายตามมาหลอกหลอนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเท่านั้น

"แล้วจดจำการต่อสู้ในค่ำคืนนั้นได้บ้างหรือไม่?" ทองใบถามขึ้นอีกครั้ง แต่ธีรพลก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธอยู่เช่นเดิม

หลังจากพยักหน้างึกงักเรียบเรียงความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทองใบก็พลันเอ่ยกล่าวขึ้น "สิ่งที่เจ้าใช้ออกเรียกว่า พลังงานธาตุ แต่ก่อนจะใช้พลังงานธาตุได้นั้นจำเป็นต้องรู้จักพลังงานชีวิตเสียก่อน"

พลังงานชีวิต คือ พลังภายในที่แปรเปลี่ยนมาจากพลังงานฟ้าดิน ซึ่งโดยปกติจะไหลซึมซับเข้าสู่ร่างกายตามธรรมชาติ และจะถูกกักเก็บไว้ในบ่อกำเนิดพลังทั้งสามจุด ได้แก่ หว่างคิ้ว หัวใจ และท้องน้อย แม้จะแบ่งแยกอย่างชัดเจนออกเป็นบน กลาง และล่าง แต่บ่อกำเนิดพลังทั้งสามก็เชื่อมโยงเข้าหากันผ่านเส้นลมปราณนับร้อยนับพันแผ่ปกคลุมทั่วร่างรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวทั้งภายในและภายนอก

เมื่อใดก็ตามที่พลังงานชีวิตถูกนำออกมาใช้ คนผู้นั้นก็จะสามารถยกระดับสมรรถภาพทางร่างกายให้สูงขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งสามารถรังสรรค์พลังงานธาตุจากภายในออกมาใช้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

สำหรับตัวอย่างง่ายๆเกี่ยวกับการปลดปล่อยพลังงานชีวิตที่สามารถพบเห็นได้ในคนทั่วไป เช่น ในเวลาที่เกิดเพลิงไหม้ขึ้น คนผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยอารามตกใจก็จะสามารถยกโอ่งน้ำทั้งใบขึ้นอย่างลืมตนเพื่อนำน้ำไปดับไฟ ซึ่งแน่นอนว่าหากอยู่ในยามปกติคนผู้นั้นจะไม่สามารถกระทำแบบนี้ได้อย่างเด็ดขาด

แต่สำหรับในกรณีผู้ที่ได้รับการฝึกฝนนำพลังงานชีวิตมาใช้ประโยชน์นั้น คนผู้นั้นจะต้องมีความเข้าใจหลักการขั้นพื้นฐานในการกักเก็บและปลดปล่อยพลังงานชีวิตให้ดีเสียก่อน และเมื่อฝึกฝนจนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว จึงจะสามารถรังสรรค์พลังงานธาตุจากภายในปลดปล่อยออกมาใช้ได้ ซึ่งหากเปรียบเทียบในด้านอานุภาพทำลายล้างการใช้พลังงานชีวิตย่อมร้ายแรงกว่าต่อยตีกันด้วยพละกำลังกล้ามเนื้อหลายเท่าตัว

และหากจะกลับมาวิเคราะห์ในกรณีของธีรพล ที่สามารถปลดปล่อยเปลวไฟออกมาได้ทั้งๆที่ไม่ได้รับการฝึกฝนนั้น ในความเป็นจริงโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าใครก็ตามจะมาขบคิดหาคำอธิบายต้นสายปลายเหตุ ก็ไม่อาจมีผู้ใดสามารถค้นพบได้นอกเสียจากตัวธีรพลจะรับรู้ด้วยตนเอง

"เมื่อเจ้าเริ่มเข้าใจแล้ว เดี๋ยวลุงจะแสดงการใช้พลังงานชีวิตให้ดูว่าเป็นอย่างไร" ทองใบที่ต้องปวดหัวใช้เวลาอธิบายศาสตร์ที่ธีรพลไม่เคยรับรู้มาก่อนในชีวิตอยู่นานสองนาน ครั้นพอจะเปลี่ยนมาแสดงออกท่าออกทางที่คุ้นเคยก็พลันเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมาทันตา

"ไหนลองปล่อยหมัดเต็มแรงเข้าลำต้นไม้นี่ให้ลุงดู!"

ทองใบกวักมือเรียกธีรพลให้เดินไปยังหน้าต้นไม้ขนาดหนึ่งคนโอบต้นหนึ่ง

เพราะอยากจะรู้ถึงขีดความสามารถตนว่าถึงระดับขั้นใดแล้ว ธีรพลจึงตั้งอกตั้งใจกับการทดสอบนี้เป็นพิเศษ ตัวเขาจำลองเหตุการณ์ในครั้งที่ประมือกับไอ้ใหญ่พยายามนึกถึงทุกขั้นทุกตอนอย่างละเอียด ก่อนจะรวมรั้งพลังปลดปล่อยกำปั้นต่อยออกอย่างเต็มแรง

"โอ๊ย!"

หมัดที่ปล่อยออกมาไม่แม้แต่จะระคายผิวไม้ต้นนั้นแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแต่เสียงเลือดเนื้อที่ปะทะเข้ากับไม้แข็งเกร็งและเสียงร้องหวยหวนด้วยความเจ็บปวดจากธีรพล พร้อมกับมือข้างนั้นที่ปูดบวมแดงขึ้นทันตา

ทองใบส่ายหัวขำขันเบาๆ ถึงตอนนี้เขาค่อนข้างมั่นใจในความคิดแรกของตนที่คาดว่า ธีรพลน่าจะตาฝาดไปเองเสียมากกว่า ที่บอกว่าเห็นเปลวไฟออกมาจากปลายหมัด แต่อย่างไรเสียเมื่อได้รับรู้การมีอยู่ของพลังงานชีวิตแล้ว เขาในฐานะพ่อคนที่สองเมื่อสามารถสั่งสอนได้ ย่อมต้องส่งเสริมให้ธีรพลได้เติบโตขึ้นในทางสายนี้

"ถอยห่างไปก่อน!"

ทันทีที่บอกจะเริ่มแสดง ทองใบจากที่ยังยิ้มแย้มก็เปลี่ยนเคร่งครึมขึ้นมาทันตา ไอเย็นจากภายในกายพลันแผ่กำจายออกอย่างทะลักทลาย ทำให้อุณหภูมิโดยรอบถูกกดจนลดฮวบลง แรงกดดันอันไร้สภาพถาโถมลงอย่างหนาหนัก จนทำให้ธีรพลที่ถึงแม้จะอยู่ห่างออกมาหลายวายังรู้สึกลมหายใจอึดอัดขัดข้อง

ครั้นพอไอ้เย็นและพลังงานโดยรอบถูกสูบเข้าสู่แขนข้างนั้นจนหมดสิ้น พลังงานธาตุก็พลันรวมรั้งขึ้นที่ท่อนแขนและเข้าครอบคลุมกำปั้นทั้งข้างจนแข็งแกร่งราวเหล็กกล้า พร้อมกับเงาร่างของมหิงสาตัวสูงร่วมวาพุ่งกระแทกเข้าที่กลางลำต้น

เปรี้ยง!

พร้อมๆกับเสียงดังสนั่นราวระเบิดกัมปนาท ต้นไม้ขนาดหนึ่งคนโอบก็พลันแตกหัก เศษไม้ปลิวกระจายเวียนว่อนออกทันทีที่หมัดข้างนั้นกระทบถูก

โครม!

ตามติดกันนั้นเอง ไม้ต้นดังกล่าวที่ถูกทำให้หักกลางก็พลันล้มโค่นลงราวกับถูกมือยักษ์จับกดให้พังทลาย

ด้านธีรพลที่ไม่เคยพบเห็นพลังทำลายล้างที่สะท้านสะเทือนเช่นนี้มาก่อน ก็ยังคงตื่นตะลึงตาค้างจ้องมองภาพที่เบื้องหน้าอยู่ไม่วางตา แม้การแสดงจะจบลงสิ้นลงแล้ว แต่ภาพอันน่าอัศจรรย์นี้ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวสมองจนไม่อาจนำตัวเองออกจากภวังค์ได้

"เห็นอะไรหรือไม่?" ทองใบเอ่ยเสียงปลุกธีรพลจากห้วงความคิด

"เห็น เห็น ต้นไม้หักกลาง" ธีรพลที่ยังไม่ทันได้เรียกสติกลับมา จึงเอ่ยตอบไปอย่างตะกุกตะกัก

"ลุงหมายถึง เจ้าเห็นอะไรในการปล่อยหมัดนี้บ้าง?" ทองใบถามย้ำอีกครั้ง

"เห็นหมัดของลุงเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งเหมือนกับแท่งเหล็ก และเห็นควายป่าตัวใหญ่พุ่งกระแทกต้นไม้" ธีรพลที่เริ่มไม่มั่นใจในสายตาตัวเอง กลัวว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นภาพหลอน จึงเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบาและเชื่องช้าลงขณะที่ตอบในช่วงท้าย

"ถูกต้อง สิ่งที่เจ้าเห็นในตอนท้ายคืออัตลักษณ์พลังสถิต ขั้นพลังงานที่เหนือกว่ารูปแบบพลังงานชีวิต ส่วนจะได้มาอย่างไรนั้น เจ้ายังไม่ต้องสนใจในเวลานี้ ลุงขอให้เจ้ารู้แต่เพียงว่าหากเห็นคู่มือที่มีพลังงานในรูปแบบนี้ เจ้าจะต้องหลบหนีไปให้ไกลห่าง" ทองใบอธิบาย

"ครับ" ธีรพลพยักหน้าตอบรับ เชื่อมั่นในความหวังดีของอีกฝ่ายอย่างหมดใจ

"ก่อนจะไปไกลกว่านี้ ลุงจะเริ่มสอนพื้นฐานให้เจ้าเสียก่อน" ทองใบเอ่ย

"ขั้นตอนการฝึกปรือมีด้วยกันทั้งหมดห้าขั้น ว่างเปล่า ก่อเกิด รั้งรวม ควบคุม รังสรรค์ เจ้าต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ขั้นต้น" ทองใบเอ่ยขึ้นพร้อมกับสั่งให้ธีรพลนั่งลงในท่าขัดสมาธิ

เมื่อได้รับคำชี้แนะจากทองใบ ธีรพลจึงได้เริ่มฝึกฝนการทำสมาธิเข้าสู่ขั้นแรกของกระบวนการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนเรื่องการฝึกกระบวนท่าได้แต่ระงับไว้ก่อนชั่วคราว

下一章