webnovel

ตอนที่ 5 : เชิงมวย

คราแรกที่ธีรพลเข้ามาสำรวจดู ก็เพียงแค่คิดไปว่าคงเป็นการทะเลาะวิวาทธรรมดาที่มีให้เห็นทั่วไปในทุกวัน ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเขา จึงไม่คิดจะเอามาใส่ใจ แต่พลันพอคิดจะจากไปก็กลับนึกเอะใจพิเคราะห์ลักษณะผู้เคราะห์ร้ายดูดีๆ กลับพบว่าชายคนดังกล่าวก็คือ สิงห์ เกลอรักของเขา

ธีรพลและสิงห์พบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมและคบกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยทั้งสองมีพื้นฐานนิสัยที่คล้ายคลึงกัน จึงเข้ากันได้ดีไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งเสมอมา ในอดีตสมัยเด็กหลังเลิกเรียนทั้งสองก็มักจะออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่จนมืดค่ำ ซึ่งบางครั้งก็ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเด็กกลุ่มอื่น แต่ทั้งสองก็พึ่งพาช่วยเหลือกันจนกลายเป็นเพื่อนตายมาตั้งแต่นั้น

แต่พอในช่วงที่ธีรพลต้องเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมกลาง สิงห์กลับเลือกที่จะออกมาหางานทำแบ่งเบาภาระที่บ้าน และสุดท้ายก็ได้งานเป็นลูกถ่อบนเรือหางแมงป่องที่คอยรับจ้างขนส่งสินค้าบนเส้นทางระหว่างเวียงพิงค์กับพระนคร จนถึงปัจจุบันผ่านมากว่าหกปี เขาก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นคัดท้ายคอยดูแลประจำเรือลำหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้ระหว่างธีรพลและสิงห์นานๆครั้งจะได้พบกันทีหนึ่ง

"ไอ้สิงห์" ธีรพลเอ่ยทักขึ้น

"ไอ้ธี" สิงห์ตอบกลับอย่างประหลาดใจด้วยหน้าตาที่ปูดบวมขึ้นเป็นแห่งๆ

"ไอ้น้อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเอ็ง อย่าได้ยุ่งเกี่ยวด้วยจะดีกว่า" ลูกน้องคนที่อยู่เบื้องขวาพลันเอ่ยขึ้น

"พี่ชาย ใจเย็นๆก่อน มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้ อย่าถึงกับต้องลงไม้ลงมือกันอีกเลย" ธีรพลหันกลับมากล่าวกับหัวหน้ากลุ่มอย่างถ่อมตน

"ข้าก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก แต่เกลอของเอ็งมันวอนเอง ไม่ยอมจ่ายเงินไม่พอ ยังทำเป็นไม่พอใจอยากมีเรื่อง โดนแค่นี้ถือว่าข้าปราณีแล้ว" ด้านหัวหน้ากลุ่มที่ก็ดูเหมือนจะสามารถพูดคุยประนีประนอมกันได้เอ่ยตอบ พร้อมกับขยับเข้าใกล้ธีรพลมาในระยะสี่ก้าว ซึ่งเมื่อสังเกตดูจากด้านข้างคนทั้งสองที่เห็นนี้แทบจะมีส่วนสูงไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด

"ถ้าอย่างนั้น เกลอฉันมันติดเงินพี่อยู่เท่าใด?" ธีรพลเอ่ยถาม

"รวมต้นแล้วก็สามสิบบาท" หลังจากยืนนับนิ้วอยู่สักพัก หัวหน้ากลุ่มอันธพาลก็ได้เอ่ยตอบกลับ ซึ่งก็ทำเอาคนทั้งบริเวณซูดปากด้วยความเหน็บหนาว ไม่คาดคิดว่าปริมาณเงินที่สิงห์ติดจะมากมายเทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายรวมทั้งครัวเรือนราวหนึ่งปี

"สิงห์ เอ็งเอาไปใช้อะไรมากมายปานนั้น" เนื่องจากไม่ได้พบหน้ากันมาหลายเดือน ธีรพลที่ก็เพิ่งทราบเรื่อง จึงประหลาดใจไม่ต่างจากทุกคนรีบเอ่ยถามเกลอเขาในทันใด

"ข้าเอาไปใช้เป็นค่าผ่าตัดและรักษาแม่ แต่ที่ข้ายืมไปนั้นเพียงยี่สิบบาทเท่านั้น นี่ยังไม่ล่วงเลยสองเดือนดี พวกมันกลับคิดดอกข้าเพิ่มสิบบาท ไม่เรียกว่าขูดเลือดให้เรียกว่าอะไรกัน" สิงห์อธิบายต่อธีรพลก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

"สิงห์ เอ็งใจเย็นๆก่อน เดี๋ยวข้าคุยให้"

ธีรพลขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างเร็วจี๋ก่อนจะเอ่ยทัดทานเกลออย่าทำให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้ แล้วหันมากล่าวกับหัวหน้าอันธพาลอีกครั้ง "พี่ชาย ข้ามีเงินติดตัวอยู่ห้าบาท อย่างไรรับเงินนี้ไปก่อนได้หรือไม่? ส่วนที่เหลือเดี๋ยวพวกเราจะทยอยจ่ายในภายหลัง"

"ไอ้สิงห์ ถือว่าเอ็งมีเกลอดีคุ้มหัว ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเอ็งไป"

ชายหัวหน้ากลุ่มอันธพาลหลังจากคิดอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าตอบตกลง ก่อนจะโบกมือให้ลูกน้องทั้งสองปล่อยตัวสิงห์ในทันใด

แต่ในขณะที่ธีรพลกำลังควักเงินออกมานั้น ชายหัวหน้ากลุ่มอันธพาลก็บังเอิญเหลือบเข้าไปเห็นถุงเงินถุงใหญ่ที่ได้จากการขายผ้าของป้าแก้วที่นอนอยู่ที่ก้นถุงย่าม ด้วยความละโมบที่ต้องการจะได้เงินส่วนแบ่งจากยอดหนี้ที่เก็บมาตามที่ตกลงกับเฮียจวงไว้ แม้จะตอบรับข้อตกลงไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายยกมือชี้สั่งปรักปรำธีรพลว่า "ไอ้น้อง เอ็งโกหกข้า เอ็งมีเงินถุงใหญ่อยู่ในย่าม นำมันออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้"

"ไม่ได้ นี่ไม่ใช่เงินส่วนตัวของข้า ใครก็ห้ามเอาไป"

เมื่ออีกฝ่ายเล่นสกปรกไม่เป็นไปตามกฎที่วางไว้ ธีรพลก็พลันชักเงินเก็บกลับเข้าใส่ย่ามอย่างมิดชิด ตัวถอยห่างออกหนึ่งก้าว เกร็งกำลังระวังเหตุเปลี่ยนแปลง

"เอ็งสองตัว เอาย่ามใบนั้นมาให้ข้า" ชายหัวหน้าอันธพาลชี้สั่งการเร็วรี่

"ครับ ลูกพี่" เสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียงจากสองลูกน้องพลันดังขึ้น พร้อมกับร่างที่พุ่งเข้าหาธีรพลจากทางด้านหลัง

ชายทางด้านซ้ายเคลื่อนถึงตัวธีรพลก่อน เขายกมือขวาพุ่งกราดเข้าใส่หมายชิงถุงย่ามกันอย่างซึ่งๆหน้า ส่วนชายทางด้านขวาที่ล้าหลังเล็กน้อย แต่เท้าซ้ายที่เตะออกเล็งชายโครงกลับพุ่งถึงก่อน เพราะต้องการให้ธีรพลห่วงพะวงกลับมารับลูกเตะจนเปิดทางให้ฝ่ายตนได้ฉกฉวยสิ่งของมาโดยง่าย

แต่แทนที่จะลนลาน ธีรพลกลับปลดถุงย่ามเหวี่ยงสวนเข้าอกสิงห์ที่นั่งพักอยู่อีกฝั่ง ร่างแทนที่จะถอยหนีกลับสืบเท้าย่อตัวเข้าหาลูกเตะ ใช้ท่อนแขนเบื้องล่างขวายันรับท่าเท้าไว้อย่างมั่นคง

เปรี้ยง!

ศอกซ้ายของธีรพลถ่องเข้าที่บริเวณสะบ้าหัวเข่าอย่างถนัดถนี่

"ขุนยักษ์จับลิง"

ท่าไม้ตายประจำตัวธีรพล ที่ลุงทองใบสอนติดตัวเขาไว้ตั้งแต่ยังเด็ก ถึงจะเป็นเพียงแม่ไม้มวยเชิงรับ มีไว้เพื่อป้องกันตัวสร้างพื้นที่ช่องว่างก็ตาม แต่เพราะการฝึกฝนที่เข้าขั้นช่ำชองถ่องแท้ ธีรพลจึงสามารถแสดงอานุภาพขั้นสุด กระแทกชายคนดังกล่าวตัวหมุนคว้าง ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดล้มตัวลงไป

ตามติดกันนั้น มือของชายทางฝั่งซ้ายเมื่อไม่มีเป้าหมายก็พลันชะงักค้างไว้ แต่ก่อนที่จะดึงตัวกลับเข้าโจมตีธีรพล มืออันแข็งแกร่งคู่หนึ่งก็พลันคว้าหมับเข้าที่ข้อพับแขนอย่างถนัดถนี่

โครม!

แรงกระชากอย่างฉับพลันฉุดดึงร่างชายคนดังกล่าวจนหน้าคว่ำคะมำครูดไถกับพื้นไปครึ่งแถบ

ชายหัวหน้ากลุ่มที่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเก่งกล้าสามารถถึงขั้นล้มลูกน้องทั้งสองของเขาด้วยการเข้าปะทะเพียงหนเดียว ตัวเขาจึงเร่งปรี่เข้าหาด้วยชั้นเชิงที่ไม่ธรรมดาราวกับร่ายรำ แสดงออกถึงการมีวิชาฝีมือติดตัวที่ไม่อาจมองข้ามดูแคลนแต่อย่างใด

"มวยเงี้ยว เด็กนี่มันเก่งกาจไม่เบา ทำให้ไอ้ใหญ่ต้องใช้ออกได้" เสียงฮือฮาจากฝูงชนที่รู้จักท่าประจำตัวของหัวหน้าอันธพาลประจำถิ่นกลุ่มนี้เป็นอย่างดีพลันดังขึ้นทันทีที่พบเห็น

ร่างของชายหัวหน้ากลุ่มที่ถูกเรียกหาว่าใหญ่ พลันเคลื่อนซ้ายย้ายขวาย่อบ้างยืดบ้าง แขนควงเป็นลวดลายวนเหนือรอบกายท่อนบน

ครั้นพอถึงในระยะสามก้าวท่าเตะพลันถูกปลดปล่อยออก แต่แทนที่จะเตะมาที่เบื้องหน้า ขาขวากลับหมุนวนกวาดไปทางด้านหลังเป็นเส้นโค้งอย่างสวยงาม ปลายเท้ายกขึ้นแล้วฟาดลงจากตำแหน่งสูงสุดราวกับไก่จิกศัตรู หมายฟาดเข้าที่ศีรษะธีรพลให้ดับดิ้นในบัดดล

วืด!

ด้วยระแวดระวังอยู่ก่อนหน้า ธีรพลที่มีสายตาอันแหลมคมเมื่อพบเห็นท่าพิฆาตดังกล่าวก็ชิงเคลื่อนถอยหลังเอาตัวออกห่างเล็กน้อย ปล่อยให้ท่าเท้าลอยผ่านใบหน้าไปอย่างหวุดหวิด

แต่ก่อนจะทำสิ่งใดต่อ กำปั้นซ้ายของอีกฝั่งที่ไร้ซึ่งวี่แววใช้ออกก็พลันคุกคามเข้ามาในรัศมีหนึ่งศอก ซึ่งด้วยความรวดเร็วในการใช้ท่าหมัดนี้นับว่าว่องไวกว่าท่าเท้าหลายเท่าตัว

ด้วยความฉุกละหุก ธีรพลจึงใช้ออกด้วยท่าไม้ตายประจำตัวอีกครั้ง ร่างพลันเบี่ยงสะอึกไปทางขวาเคลื่อนเข้าหาแขนซ้ายของอีกฝั่ง ก่อนจะยกแขนทั้งสองขึ้นป้องใบหน้ารับแขนที่แฝงพลังที่ทำให้สลบเหมือดได้นี้

เปรี้ยง!

โดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดที่แล่นมาตามแขนทั้งสอง ธีรพลพลันเกร็งกล้ามเนื้อท้องใช้หัวไหล่ซ้ายพุ่งอัดเข้ากระแทกอกอีกฝั่งอย่างไร้กระบวนท่า

ร่างทั้งสองจึงได้ล้มคว่ำคะมำหงายไปตามกัน แต่ธีรพลซึ่งดีกว่าเล็กน้อย หลังจากล้มลงก็หมุนกลิ้งอยู่เพียงรอบเดียว จากนั้นก็สามารถยันพื้นลุกขึ้นยืนได้ในทันใด

ด้วยความที่ไม่เคยพลาดท่าเสียทีให้ผู้ใดมาก่อน ใหญ่ที่รู้สึกเสื่อมเสียหน้าเป็นที่สุด รีบยั้งร่างไว้อย่างทุลักทุเล ลุกขึ้นด้วยอาการเดือดดาลเป็นการใหญ่ ชี้หน้าธีรพลด่าสบถมาแต่ไกล พร้อมกับเดินเข้าหาหมายแก้มือใหม่อีกครา

ปี๊ด! ปี๊ด! ปี๊ด!

เสียงนกหวีดแหลมเล็กพลันดังขึ้นทำให้ทุกคนชะงักค้าง พร้อมๆกับเสียงที่ส่งมา ร่างของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จำนวนสองสามนายก็วิ่งจับหมวกชี้ไม้ชี้มือ สั่งให้ทุกผู้ทุกคนหยุดการกระทำใดๆไว้

"พี่ใหญ่ ไปก่อนเถิด" ลูกน้องคนหนึ่งที่เพิ่งคืบคลานลุกขึ้นได้พลันวิ่งมาคว้าแขนลูกพี่ ให้ยับยั้งอารมณ์ความโกรธลงชั่วคราวก่อน

"ไป!"

ใหญ่ที่ยังคงฉุนเฉียวไม่คลาย ตัดใจสั่งลูกน้องทั้งสองให้ล่าถอย ทดเรื่องราวบาดหมางนี้ไว้ในใจ ถ้าได้พบหน้ากันครั้งใหม่จะต้องสะสางเรื่องราวให้รู้ผลเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ด้านธีรพลที่เสมือนได้ชัยชนะกึ่งหนึ่ง แม้จะไม่หมดจดงดงาม แต่ก็ถือได้ว่าไม่ขาดทุนแต่อย่างใด หลังจากสะบัดแขนที่ชาหนึบจากการรับลูกเตะ ก็รีบชิงเคลื่อนไหวเข้ารับสิงห์ที่อยู่ไม่ไกล หลีกหนีกลืนตัวเข้าหาฝูงชนที่แตกหือออกรอบข้าง หลบเลี่ยงปัญหายุ่งยากตามตัวที่จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งทันทีที่ตำรวจมาถึงจุดเกิดเหตุ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายก็หายลับเข้ากลีบเมฆไปเรียบร้อยแล้ว

"ไอ้ธี ขอบน้ำใจเอ็งมาก" สิงห์เอ่ยขึ้นในขณะที่ทั้งสองกำลังลัดเลาะไปยังบ้านเช่าซึ่งอยู่ทางฝั่งทิศใต้ของกำแพงเวียง[1]

"ไม่เป็นไร เกลออย่างไรก็ต้องช่วยกัน" ธีรพลยิ้มเอ่ย

"ว่าก็ว่าเถอะ เหตุใดเอ็งจึงไม่มาหาข้า ยามต้องเอาเงินไปรักษาแม่" ธีรพลเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"เอ็งก็รู้จำนวนเงินมันมากโข ข้าจะบากหน้าไปทำให้เอ็งเดือดร้อนได้อย่างไรกัน" สิงห์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจพลันนึกถึงวันวานในช่วงที่ไร้ซึ่งหนทางหาเงินก้อนโตมาผ่าตัดแม่โดยวิธีหมอตะวันตก

"แล้วจากนี้เอ็งจะทำอย่างไรต่อไป เงินมากมายขนาดนี้ ทำงานทั้งปีก็ใช่ว่าจะหามาคืนได้ครบ" ธีรพลกอดคอเกลอรักเอ่ยถามขึ้นด้วยความห่วงใย

"ข้าก็ยังไม่รู้จะทำอันใดต่อไป การค้าขนส่งทางเรือลงพระนครก็ย่ำแย่ยิ่ง เพราะตั้งแต่มีทางรถไฟ คนก็แห่ไปใช้งานทางนั้นกันมากขึ้น ตอนนี้ข้าหมดสิ้นหนทางจริงๆ" สิงห์อธิบายเอ่ยปรับทุกข์อย่างอ่อนใจ

เพราะนับตั้งแต่มีทางรถไฟสายเหนือเป็นต้นมา ประชาชนทั่วไปก็เริ่มนิยมเปลี่ยนวิถีการเดินทางและการขนส่ง จากใช้แรงงานคนทางเรือมาเป็นเครื่องจักรไอน้ำผ่านทางรถไฟมากขึ้นเรื่อยๆ และแม้จะมีราคาสูงกว่ามากก็ตาม แต่ก็กลับสะดวกและรวดเร็วกว่ามากเป็นเงาตามตัวขึ้นไปเช่นกัน

"ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะรักษาสัจจะวาจาที่ให้ไว้ แต่เงินจำนวนนี้หนักหนาเกินตัวข้าไปมากจริงๆ คราแรกข้าเพียงนึกคิด ถึงแต่จะรักษาชีวิตแม่ไว้ให้ได้เพียงอย่างเดียว จึงยอมทำทุกวิถีทาง เวลานี้เมื่อได้ชีวิตแม่คืนมา กลับมาต้องเป็นหนี้สินมากล้นพ้นตัว ต่อไปหากยังอยู่ในเวียงพิงค์ก็คงต้องถูกตามรังควานไม่ได้หยุดหย่อน สุดท้ายหากไม่มีทางเลือก ข้าคงต้องจำใจจากบ้านเกิดเมืองนอนพาแม่หนีไปลงหลักปักฐานที่อื่น" ยามอยู่ต่อหน้าเกลอผู้รู้ใจ สิงห์ที่น้อยใจในโชคชะตาก็อดใจไม่ไหว พลันพรั่งพรูพรรณนาความรู้สึกในใจออกมาอย่างรันทด

"เรื่องจะทำอย่างไรต่อไป ไว้วันพรุ่งค่อยหาทางแก้ไข วันนี้ข้าว่าเอ็งไปทำแผลพอกยาเสียก่อนเถิด เอานี่...เป็นเงินของข้าเอง เอ็งเอาไปไว้ใช้ก่อน" ธีรพลที่รู้สึกสงสารเกลอจนจับใจ จึงเอ่ยกล่าวปลอบใจอยู่พักใหญ่ ก่อนจะควักเงินจำนวนห้าบาทที่เคยจะให้กับใหญ่จอมอันธพาลเป็นค่าดอกเบี้ยยัดเข้ามือสิงห์ไป ซึ่งทีแรกสิงห์ก็พยายามบอกปัดปฏิเสธ แต่ธีรพลก็ยังยืนยันที่จะให้เขาเก็บไว้

จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนัดแนะวิธีการติดต่อกันและจากนั้นธีรพลก็จึงรีบขอตัวกล่าวอำลา เพราะตัวเองเผลอลืมนัดที่มีไว้กับนวลไปเสียสนิท

คำอธิบาย

[1] กำแพงเวียง คือ กำแพงเมืองชั้นในของเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ในอาณาจักรล้านนา ซึ่งสร้างขั้นในรัชสมัยพญามังราย มีการขุดคูเมืองล้อมรอบกำแพงสูงเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละ 1.63 กม.

下一章