งานเลี้ยงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น วันที่สามของงานเลี้ยง เหล่าขอทานน้อยจากวัดต้าเจาซื่อที่มาเป็นแขกร่วมงานในวันแรก ได้ผันตัวมาเป็นเสี่ยวเอ้อร์ ช่วยงานทุกอย่างด้วยความเต็มใจและขยันขันแข็ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สร้างความประทับใจแก่แขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
หลายคนเมื่อได้รู้ว่า เสี่ยวเอ้อร์ตัวน้อยเป็นใครก็มอบอัฐเล็กๆน้อยๆให้เป็นขวัญกำลังใจ และที่น่าดีใจแทนคือ มีขุนนางผู้หนึ่งรับขอทานน้อยคนหนึ่งไปเป็นบุตรบุญธรรม ช่างเป็นเรื่องดีและเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันที่สาม
จนกระทั่งงานเลี้ยงวันที่เจ็ด.....
ขณะที่แม่ทัพหนุ่มและภรรยารัก ยืนต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ด้านหน้าจวนเช่นหกวันที่ผ่านมาอยู่นั้น ปรากฏรถม้าหรูหราคันหนึ่ง นำโดยสี่ชายฉกรรจ์แต่งกายด้วยชุดสีดำคล้ายทหาร ขี่ม้านำ อีกสี่นายขี่ม้าตามมาข้างหลังรถม้าปิดท้าย ก่อนจะจอดสนิทหน้าจวนแม่ทัพไร้พ่าย
ชั่วอึดใจต่อมา ม่านสีทองก็ถูกหนึ่งในสี่บุรุษเลิกขึ้นให้ผู้ที่นั่งในรถม้า ทุกการกระทำช่างสุภาพนอบน้อมและให้เกียรติ ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ พากันคาดเดาไปต่างๆนานา ว่าต้องเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ หรือไม่ก็เชื่อพระวงศ์เป็นแน่
ชิงหลินขมวดคิ้วมุ่น สองตาจ้องไปที่รถม้าด้วยความสนใจใคร่รู้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ "องค์ชายห้า?"พอรู้ว่าเป็นใครจึงอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
"ไม่พบกันเสียนาน สบายดีรึไม่?"โจวหยางหมิ่นกล่าวทักทายหญิงสาวด้วยรอยด้วยยิ้ม
"ถวายพระพรองค์รัชทายาท กระหม่อมและฮูหยินสบายดี ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ"แม่ทัพหนุ่มก้าวมาข้างหน้ากล่าวแทนภรรยารักน้ำเสียงแข็งกระด้างเล็กน้อย
"อา..ท่านแม่ทัพช่างหูตากว้างไกล นับถือๆ"โจวหยางหมิ่นยังคงแย้มยิ้มยามกล่าว คลี่พัดขึ้นมาโบกอย่างสบายอารมณ์
"ผู้ใดได้เห็นลายปักมังกรสี่เล็บบนฉลองพระองค์ ก็ย่อมทราบทั้งนั้นพะย่ะค่ะ"แม่ทัพหนุ่มกล่าวไม่ใส่ใจแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากผู้ติดตามของอีกฝ่าย
ว่าด้วยลายมังกรบนฉลองพระองค์ของเชื้อพระวงศ์ชาย ลายมังกรห้าเล็บมีไว้เพื่อองค์ฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นเท่านั้น ส่วนมังกรสี่เล็บมีไว้สำหรับไท่จื่อหรือรัชทายาท และสุดท้ายมังกรสามเล็บสำหรับเชื้อพระวงศ์ชายทุกพระองค์
"นั่นสินะ แล้วจะไม่เชิญเราเข้าไปดื่มน้ำชาหน่อยหรือ?"โจวหยางหมิ่นหุบพัดไพล่มือไปข้างหลัง เบี่ยงหน้าแย้มยิ้มเอ่ยถามสตรีที่ยืนนิ่งข้างแม่ทัพหนุ่ม
"...เอ่อ..เชิญเสด็จเพคะ"
โจวหยางหมิ่นยังคงแย้มยิ้มไม่เปลี่ยน สาวพระบาทเข้าไปด้านในด้วยท่วงท่าสง่างาม ตามด้วยเจ้าภาพของงานอย่างแม่ทัพหนุ่มและภรรยารัก ผู้ติดตามทั้งแปดของโจวหยางหมิ่น ก้าวเดินตาม พ่วงท้ายคือสี่องครักษ์ของแม่ทัพหนุ่ม ส่วนกองกำลังหลิ่งหลินหมายเลขหกถึงหมายเลขสิบ กระจายกำลังดูแลความปลอดภัยอยู่รอบนอก คล้อยหลังเหล่าแขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็เริ่มจับกลุ่มซุบซิบ วิพากษ์วิจารณ์ถึงความสัมพันธ์ของรัชทายาทแคว้นโจว กับ จวนแม่ทัพไร้พ่ายแคว้นฉีกันอย่างสนุกปาก
โถงรับแขกภายในจวนแม่ทัพไร้พ่าย
"ขออภัยที่เรามาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หวังว่าท่านแม่ทัพและมู่กั๋วฟูเหรินจะไม่ถือสา"โจวหยางหมิ่นกล่าวขึ้นก่อนใบหน้าแย้มยิ้มไม่เปลี่ยน ช่างเป็นใบหน้าและคำพูดที่ชวนให้หงุดหงิดเสียจริง แล้วยังเรียกตำแหน่งที่เราพึ่งได้มาหมาดๆอีกด้วย จะมาไม้ไหนกันนะผู้ชายคนนี้? ชิงหลินคิดในใจ
"องค์รัชทายาทกล่าวหนักไปแล้ว ท่านมาเยือนในครานี้ คงมีจุดประสงค์อื่นอีกกระมัง?"แม่ทัพหนุ่มถามเสียงเย็น จ้องตอบผู้สูงศักดิ์กว่าอย่างไม่สะทกสะท้าน
"อา...มู่กั๋วฟูเหริน เงียบจังเลยนะ ไม่สบายหรือ?"โจวหยางหมิ่น เมินคำถามของแม่ทัพหนุ่มหันไปถามหญิงสาวที่นั่งถัดออกไปแทน การกระทำนั้นยั่วโทสะผู้ที่ถูกเมินอย่างจัง
"เอ่อ..หม่อมฉันสบายดีเพคะ"ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าตอบพร้อมกับส่งยิ้มเฝื่อนๆออกไป
"เรามาวันนี้ เพื่อจะมาขอบคุณท่านแม่ทัพและมู่กั๋วฟูเหริน"
"ขอบคุณ? เรื่องอะไรเพคะ?"
"เพราะความช่วยเหลือของท่านแม่ทัพและมู่กั๋วฟูเหริน ในครั้งนั้น ทำให้ตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นของเรา"โจวหยางหมิ่นยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย
"..นั่นเป็นเพราะบุญบารมีล้นฟ้าล้นแผ่นดินของพระองค์ต่างหาก กระหม่อมและฮูหยินเพียงช่วยทำให้พระองค์สมประสงค์เร็วขึ้นก็เท่านั้นพะย่ะค่ะ"
"ท่านนี่จะลงให้เราหน่อยก็ไม่ได้"โจวหยางหมิ่นสรวลออกมาเสียงดัง ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองกับคำพูดตรงไปตรงมาของแม่ทัพหนุ่มแต่อย่างใด
"นอกจากมาเพื่อขอบคุณแล้ว เราอยากเชิญท่านแม่ทัพและมู่กั๋วฟูเหริน ไปเป็นเกียรติในงานแต่งตั้งรัชทายาทอย่างเป็นทางการของเรา ในอีกสามเดือนข้างหน้า"ไม่พูดเปล่ายังหยิบเทียบเชิญสีเหลืองทองหรูหราส่งให้แม่ทัพหนุ่ม
แม่ทัพหนุ่มรับเทียบเชิญมาถือไว้ ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนเครียดขึงและดูกังวลใจ
"ท่านแม่ทัพสบายใจได้ เราทูลขอจากเสด็จลุงฮ่องเต้แล้ว"โจวหยางหมิ่นกล่าวเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีกังวลใจ
การที่บุรุษผู้หนึ่งมีอำนาจสั่งการทหารนับแสน ติดต่อมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีอำนาจต่างแคว้น ย่อมสร้างความหวาดระแวงให้แก่เจ้าผู้ครองทั้งสองแคว้น โจวหยางหมิ่นเข้าใจจุดนี้ดีจึงขอเข้าเฝ้า ฉีเฉินหลงฮ่องเต้ พระสหายรักของโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้พระบิดา ขอประทานอนุญาตให้ท่านแม่ทัพและมู่กั๋วฟูเหริน ไปร่วมงานแต่งตั้งรัชทายาทแคว้นโจวอย่างเป็นทางการ
ยังไม่ทันที่จะกล่าวตอบรับหรือปฏิเสธ สายตาพลันเหลือบไปเห็นองครักษ์ของตนมองเข้ามาคล้ายมีเรื่องจะรายงาน
"กระหม่อมขอตัวสักครู่พะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นโจวหยางหมิ่นพยักหน้าอนุญาตจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ไม่ลืมทิ้งสายตาว่าจะรีบกลับมาให้ภรรยารัก
"มู่กั๋วฟูเหริน..."
"..พะเพคะ"เสียงเรียกเบาๆแต่ทำเอาคนถูกเรียกสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วส่งยิ้มออกไปตามมารยาท
"หึๆ..ไม่ทราบว่า จะไปร่วมงานของเปิ่นหวางได้หรือไม่?"โจวหยางหมิ่นแสร้งถามไปอย่างนั้น เพื่อหาเรื่องสนทนากับนาง สตรีที่อยู่ในใจมาตลอดนับปี
ความน่ารักใสซื่อและเป็นธรรมชาติ ไร้การเสแสร้งเช่นสตรีที่ตนมักพบเจอของนางทำให้โจวหยางหมิ่นสนใจ ยิ่งได้รู้จักมากขึ้นความสนใจที่มีต่อนางก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย หากไม่ติดว่ายามนั้นนางมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ตนคงจะรีบแต่งนางเข้าวังของตนเป็นแน่
"....ทรงอภัย หม่อมฉันยังอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย ไม่เหมาะที่จะเดินทางไกลเพคะ"
"หึ.ๆ.เราทราบดี เพียงเย้าเล่นเท่านั้น"
เย้าเล่น?ให้ตายสิว่างมากรึไง? ชิงหลินค่อนขอดในใจ
ซึ่งใบหน้าที่เดี๋ยวคิ้วขมวดแน่น เดี๋ยวแดง เดี๋ยวบึ้งของนางสร้างความขบขันแก่โจวหยางหมิ่น จนต้องยกชาขึ้นจิบเพื่อปิดซ่อนรอยยิ้มอ่อนโยน
ผิดกับเสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ย ที่เหลือบมองการสนทนาของทั้งสองเป็นระยะๆ อย่างอึดอัดและหวาดหวั่นใจ ก็สายตาแพรวพราวของบุรุษสูงศักดิ์ท่านนี้ มันช่างคล้ายสายตาขององค์รัชทายาทฉีเฟยหลง ยามที่มองฮูหยินน้อยยิ่งนัก
"ดูเหมือนมู่กั๋วฟูเหรินจะมีแขกมาเยือน"
"เอ๊ะ..?"ชิงหลินมองตามสายตาของโจวหยางหมิ่น จึงเห็นว่าสามีรักกำลังตรงมาที่นาง พร้อมกับบุรุษวัยกลางคนสองคน "นายอำเภอหม่า? นายอำเภอจินเฉวียน?"เอ่ยชื่อทั้งสองเบาๆใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
"เรายังมีเรื่องต้องสะสางอีกมากรออยู่ ท่านแม่ทัพ..มู่กั๋วฟูเหริน หวังว่าจะได้รับข่าวดีจากท่าน ขอตัวก่อน"โจวหยางหมิ่นกล่าวลาด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม แล้วยกมือห้ามเมื่อเห็นแม่ทัพหนุ่มจะเดินออกมาส่ง แม่ทัพหนุ่มจึงสั่งให้จิ๋นอี้ กับจิ๋นเอ้อ นำทางแทนตนและภรรยารัก
"มู่กั๋วฟูเหริน ยินดีด้วยๆ"หม่าเทียนประสานมือกล่าวอวยพรเสียงดังทันทีที่เข้ามา
"ยินดีด้วยเช่นกัน ยินดีด้วย"จินเฉวียนเองก็ไม่น้อยหน้ารีบกล่าวขึ้นบ้าง
"ขอบคุณใต้เท้าหม่า ขอบคุณใต้เท้าจินมากเจ้าค่ะ ทุกคนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? "
"อา...หลังวิกฤตผ่านพ้นไป ยามนี้สบายดีอย่างยิ่งรวมถึงชาวบ้าน พอทราบว่าข้าจะมาเมืองหลวงเพื่อเยี่ยมเยียนท่าน ก็พากันนำของขวัญและฝากคำขอบคุณฝากข้ามามอบให้ท่านมากมาย"
"ที่อำเภอเฟิ่งกู่เองก็เช่นเดียวกัน พอทราบว่าท่านให้กำเนิดทายาท อีกทั้งยังได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท ก็ฝากของขวัญและคำอวยพรมาให้ท่าน"จินเฉวียนกล่าวขึ้นบ้าง
"ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ ลำบากท่านทั้งสองแล้ว ขอบคุณอีกครั้งเจ้าค่ะ"
แม่ทัพหนุ่มยิ้มไม่กล่าวสิ่งใด ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองร่างเล็กของภรรยารักที่แย้มยิ้มมีความสุข ยามที่ได้ฟังเรื่องราวจากนายอำเภอทั้งสอง ก็พลอยมีความสุขตามนางไปด้วย
สองบุรุษอยู่สนทนากันต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับเพราะยังมีงานที่ต้องสะสาง
---------------
นับจากงานเลี้ยงจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ยังคงเป็นหัวข้อในวงสนทนาไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบรรดาศักดิ์พิเศษ มู่กั๋วฟูเหริน ที่พระราชทานให้แก่ฮูหยินน้อยแห่งจวนแม่ทัพไร้พ่าย เรื่องการมาเยือนของรัชทายาทแคว้นโจว และยังเรื่องขอทานน้อยผู้โชคดี เรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นสิ่งเหนือความคาดหมาย ทำให้จวนแม่ทัพไร้พ่ายที่ผู้คนหวาดเกรง มีฉายาเพิ่มอีกหนึ่งชื่อนั่นคือ...จวนแห่งความโชคดี
คราวแรกที่ได้ฟังนางถึงกับหัวเราะชอบใจ แต่แม่ทัพหนุ่มกลับไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะหลังจากงานเลี้ยงก็มีพวกไม่กลัวตาย มาด้อมมองและขอเข้ามาเยี่ยมคารวะภรรยารักและทายาทแฝดของตนแทบตลอดทั้งวัน จนต้องสั่งปิดจวนอย่างไม่มีกำหนด จวนแม่ทัพจึงได้สงบอีกครั้ง
สามวันต่อมา แม่ทัพหนุ่มรับพระบัญชาจากฉีเฉินหลงฮ่องเต้ นำทหารกว่าพันนายไปจับกุมเจ้าเมืองชานตง หานซือเฉิง มาไต่สวนพิจารณาโทษที่เมืองหลวง ด้วยซ่องสุมกองโจรปล้นสะดมชาวบ้าน เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ทั้งยังละเลยหน้าที่ ขัดขวางฎีการ้องเรียนของนายอำเภอ ทำให้ราษฎรเดือดร้อนทุกข์เข็ญแสนสาหัส นั่นคือสิ่งที่ชิงหลินรู้ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยคงได้รู้เมื่อสามีรักกลับมาแล้ว
"น้องสาว คิดสิ่งใดอยู่หรือ?"
"เอ่อ..ไม่มีอะไรเพคะ"เสียงหวานหูของหลิวซูเหม่ยดึงสติของคนเหม่อให้กลับมา
"หรือเป็นกังวลเรื่องท่านแม่ทัพ?"หลิวซูเหม่ยถามต่อ
"เฮ้อ...ปิดพี่สาวไม่ได้จริงๆ"ยอมรับแต่โดยดี
"ท่านแม่ทัพเป็นคนดีมีฝีมือ สวรรค์ย่อมคุ้มครอง น้องสาวอย่าได้คิดมากไปเลย"หลิวซูเหม่ยกล่าวปลอบ
"น้องสาวทราบแล้ว ขอบพระทัยเพคะ"ชิงหลินรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนหญิงสาวที่แก่กว่าสองปีคนนี้เป็นพี่สาวจริงๆของนาง
"แล้วนั่นพี่สาวนำสิ่งใดมาด้วยหรือเพคะ?"เอียงตัวมองกรงคลุมด้วยผ้าขาวในมือนางกำนัลคนหนึ่ง ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกเก๋งริมสระบัว
"อ้อ..เป็นสุนัขที่พี่สาวเลี้ยงไว้ อยากให้เจ้าช่วยดูให้หน่อย"หลิวซูเหม่ยตอบ ขณะเดียวกันนางกำนัลก็นำกรงสุนัขมาวางใกล้ๆดึงผ้าคลุมออกเผยให้เห็นสุนัขสีขาวขาวปลอดขนฟูฟ่อง ขนาดเท่าเจ้าหมั่นโถวน้อยของนางนอนขดตัวสั่นน่าสงสารนัก
ฝ่ายสี่สหายน้อยในร่างพยัคฆ์และจิ้งจอกเดินเข้าไปล้อมกรงเจ้าสุนัขน้อยด้วยความสนใจ "..กลัวอันใดของเจ้ากัน?"ฟานฟานน้อยตัวดีร้องถาม มันหงุดหงิดที่เห็นเจ้าสุนัขอ่อนแอสั่นเป็นเจ้าเข้า ยิ่งเห็นเจ้าสุนัขน้อยสะดุ้งเฮือกตกใจเพราะเสียงมัน ก็ยิ่งทำให้เจ้าพยัคฆ์น้อยโมโหทำเสียงฟืดฟาดๆใส่
"น้องเล็ก เจ้ายิ่งทำให้มันกลัวเห็นรึไม่?"ฟงฟงน้อยที่ทนดูอยู่นานร้องเตือนพยัคฆ์น้อยตัวน้อง
"..เฮอะ!..ทำตัวน่ารำคาญนัก"สะบัดก้นเดินไปนั่งตักหลินหลินด้วยความหงุดหงิด
"อะแฮ่ม..ฟานฟานอย่าเสียมารยาท"ชิงหลินตำหนิเจ้าตัวดีทางจิต เจ้าตัวดีจึงได้สงบเสงี่ยมลง
"นี่คือ เสวี่ยสุนัขเลี้ยงของพี่สาว"ชิงหลินเงยหน้ามองหลิวซูเหม่ย แล้วหลุบตามองสุนัขขนยาวเฟื้อยสีขาวนอนขดตัวกลมอยู่ในกรง ลำตัวเล็กจ้อยสั่นเทิ้มตลอดเวลา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความสงสาร
"องค์รัชทายาทมอบให้พี่สาวเมื่อราวสองปีก่อน ครึ่งปีแรกเสวี่ยร่าเริง ซุกซนเฉกเช่นสุนัขทั่วไป จนกระทั่งมันหายตัวไป พี่สาวสั่งให้คนออกตามหาและไปพบมันนอนร้องครวญคราง ขนแหว่งและไหม้เกรียมเป็นหย่อมๆคล้ายถูกไฟจี้ พอเข้าไปใกล้ก็วิ่งหลบไม่ยอมให้จับ กว่าจะทำให้สงบต้องใช้เวลานับเดือนทีเดียว แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังๆจะมีอาการตัวตื่นตกใจจนตัวสั่น และวิ่งเตลิดไปเสียทุกครั้ง จนพี่สาวต้องให้มันอยู่ในกรงอย่างที่น้องสาวเห็น เฮ้อ..."
"ฟังจากที่พี่สาวเล่ามา น้องสาวคิดว่าเสวี่ยน้อยคงถูกใครบางคนทำทารุณกรรมจนจำฝังแน่นในใจไม่อาจลืมเลือนได้โดยง่าย แล้วรู้ตัวคนทำหรือไม่เพคะ?"
"รู้ แต่การจะจับคนมาลงโทษเพราะสัตว์ตัวเล็กๆ พี่สาวอาจถูกมองว่าใช้อำนาจรังแกผู้อื่นได้ อีกอย่างพี่สาวไม่อยากทำให้องค์รัชทายาทระคายหูด้วยเรื่องเล็กน้อย...."
ชิงหลินมองหญิงงามตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน นางช่างงดงามทั้งกายและใจ สมเป็นว่าที่มารดาของแผ่นดินในกาลข้างหน้ายิ่งนัก หาทางช่วยนางหน่อยก็แล้วกัน
"พี่สาวเห็นเจ้าเลี้ยงสี่สหายน้อยได้ดียิ่งนัก จึงได้มาขอความช่วยเหลือ โปรดช่วยเสวี่ยน้อยของพี่สาวด้วยเถิด"หลิวซูเหม่ยขอร้องเสียงหวาน นางรักเสวี่ยน้อยตัวนี้มากอีกทั้งยังเป็นสุนัขที่สวามีมอบให้ เห็นมันไม่สบายนางก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย เคยให้หมอหลวงมาดูอาการหลายครั้งแต่อาการก็ไม่ดีขึ้น
ครั้งที่คุณชายหยางเริ่น ผู้ฝึกสอนพยัคฆ์มาพักที่วังองค์รัชทายาท หลิวซูเหม่ยต้องการให้คุณชายเริ่นช่วยดูอาการเสวี่ยน้อยให้ แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อนทำให้ต้องพับเก็บเรื่องนั้นไป
จนมาได้ฟังเรื่องของฮูหยินน้อยแห่งจวนแม่ทัพจากนางกำนัลและจากสวามีจึงทำให้ หลิวซูเหม่ยสนใจ อยากพบตัวจริงสักครั้งหวังเพียงให้ช่วยเสวี่ยน้อย แต่กว่าจะได้พบก็ล่วงเลยมาเกือบสองปี ในระหว่างนั้น หลิวซูเหม่ยก็ได้รับฟังเรื่องราวของนางอยู่ตลอด จนเกิดเป็นความนับถือและยิ่งพอได้รู้ว่านางเป็นที่รักยิ่งของสามี ซ้ำยังคลอดทายาทแฝด หลิวซูเหม่ยก็ยิ่งเพิ่มความนับถือในตัวนางมากขึ้นไปอีก
พอมาได้พบเจอตัวจริง ได้สนทนาก็ทำให้หลิวซูเหม่ยชื่นชอบถึงขั้นโมเมเรียกนางว่า น้องสาว และให้นางเรียกตนว่า พี่สาว กันเลยทีเดียว และด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างวังตะวันออกกับจวนแม่ทัพไร้พ่าย ทำให้หลิวซูเหม่ยมาเยือนจวนแห่งนี้ได้ ไร้อุปสรรคขัดขวาง
"น้องสาวจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพคะ"
"ขอบใจน้องสาวมาก"
--------------------
เมื่อยืนส่งเสด็จหลิวซูเหม่ยกลับวังตะวันออกไปแล้วชิงหลินก็กลับมานั่งที่เดิม ยกกรงสุนัขขึ้นมาวางบนโต๊ะ ท่ามกลางสี่สหายน้อยที่ยืนเอียงคอมองอยู่
"เสวี่ยน้อย ข้าหลินหลิน นี่ฟานฟาน ฟงฟง เป่าเปาและหมั่นโถว"ทักทายสุนัขพันธุ์ชิสุขนยาวที่อยู่ในกรงทางจิต
การทักทายของนางทำเสวี่ยน้อยสะดุ้งตกใจระคนประหลาดใจ มันเงยหัวที่เต็มไปด้วยขนขึ้น ดวงตาเล็กสีดำมองหญิงสาวตรงหน้า
"หูหนวกรึ? หลินหลินทักทายเจ้าอยู่นะ"
"ฟานฟานอย่าเสียงดังสิ เห็นไหมว่าเจ้าทำให้เสวี่ยน้อยกลัวแค่ไหน?"ปรามเจ้าพยัคฆ์น้อย "ไม่ต้องกลัวนะ ออกมาเถิด"มือเรียวเปิดกรงออกช้าๆสายตาจับอยู่ที่เสวี่ยน้อย และเสวี่ยน้อยเองก็มองการกระทำของนางอยู่ตลอดเช่นกัน เมื่อได้ยินถ้อยคำที่แสนจะอ่อนโยนก็ทำให้เสวี่ยน้อยคลายความหวาดกลัวลุกขึ้นเดินออกมาหานางราวกับต้องมนต์สะกด
"..เด็กดีๆ"อุ้มเสวี่ยน้อยวางบนตักเอ่ยปลอบพร้อมกับลูบตัวที่สั่นเทาของมันไปด้วย ไม่รู้จะเป็นเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆตักนุ่มนิ่มและอบอุ่น หรือความอ่อนโยนที่นางถ่ายทอดมาให้ ทำให้ เสวี่ยน้อยหายสั่นและรู้สึกปลอดภัยจนเผลอหลับไปในเวลาไม่นาน
------------
เจ็ดวันหลังจากเสวี่ยน้อยมาพักเยียวยาจิตใจที่จวนแม่ทัพไร้พ่าย อาการที่มันเป็นอยู่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง กลับมาเป็นเสวี่ยน้อยที่ร่าเริง ซุกซนเหมือนเดิม เมื่อให้ทหารไปแจ้งข่าวนี้แก่หลิวซูเหม่ย นางก็รีบเดินทางมายังจวนแม่ทัพไร้พ่ายทันที
"เพียงแค่เจ็ดวัน น้องสาวทำได้อย่างไร?"หลิวซูเหม่ยเอ่ยถามทันทีที่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว บนตักมีเจ้าเสวี่ยน้อยร่าเริงส่ายหางดุกดิกไปมา
"น้องสาวใช้วิธี หนามยอกเอาหนามบ่งเพคะ"
"หือ?...หนามยอกเอาหนามบ่ง?...พี่สาวไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน หมายความว่าอย่างไร? น้องสาวจงอธิบาย"
"หมายถึง ตอบโต้หรือแก้ด้วยวิธีการทำนองเดียวกันเพคะ"เห็นอีกฝ่ายสนใจจึงว่า "น้องสาวเดาว่า เสวี่ยน้อยคงโดนใครบางคนขู่ตะคอกด้วยเสียงที่น่ากลัวพร้อมกับถูกทำร้ายร่างกายโดยการใช้ไฟจี้ลนขนไปด้วย"ช่อลดาจำต้องมุสา ความจริงเธอรู้ความจริงทั้งหมดจากเจ้าเสวี่ยน้อยที่ยอมเปิดใจให้ในวันที่สองของการมาอยู่ที่นี่
"อย่าบอกนะว่า...."ตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจ
"เพคะ น้องสาวใช้วิธีนั้นมารักษา"แล้วชิงหลินก็เล่าให้หลิวซูเหม่ยฟังอย่างละเอียด
เจ้าเสวี่ยน้อยยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้เพราะความซนของมัน ที่ไปวิ่งไล่เจ้าแมวน่าหมั่นไส้ตัวหนึ่งเข้าจนถูกสตรีใจร้ายผู้หนึ่งจับตัวไปทรมาน ทั้งขู่ตะคอกทั้งใช้ธูปจี้ตัว มันไม่เคยเจอเหตุการณ์น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนจึงจำฝังใจทำอย่างไรก็ไม่สามารถลืมได้
หลังจากเล่าเรื่องนี้ให้หลินหลินฟังจบ มันดีใจมากที่หลินหลินบอกว่าจะช่วย แต่พอได้เห็นขั้นตอนการรักษา เจ้าเสวี่ยน้อยถึงกับอึ้งและรู้สึกเกลียดชังนางขึ้นมาจนอยากจะหนีไป แต่เพราะมีคำพูดและสายตาดูแคลนจากหัวหน้า คำพูดให้กำลังจากท่านฟงฟง ท่านเป่าเปา และ.น้องหมั่นโถว ทำให้มันฮึดสู้และเอาชนะความกลัวนั้นมาได้
เมื่อวานพอรู้ความจริงจากน้องหมั่นโถวว่า หลินหลินทำทุกอย่าง ยอมถูกมันเกลียด ยอมถูกมันต่อว่า ยอมถูกมันส่งเสียงขู่แยกเขี้ยวใส่มาหลายวันก็เพื่อมัน ทำให้เสวี่ยน้อยรู้สึกผิดมากแต่ก็ทำได้แค่พูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น
"อืม..ดูเหมือนเสวี่ยน้อยจะหายดีแล้วใช่หรือไม่?"
"เพคะ เมื่อวานน้องสาวได้ลองทดสอบดูหลายครั้งแล้ว เสวี่ยน้อยไม่มีอาการตื่นกลัวเกินเหตุเหมือนที่ผ่านมาหลงเหลือให้เห็นเลยเพคะ"
"อา...ดีเหลือเกิน....ขอบใจน้องสาวมาก ขอบใจจริงๆ"
"น้องสาวคนนี้ยินดีทำเพื่อพี่สาวเพคะ"
หลิวซูเหม่ยอยู่สนทนากับชิงหลินอีกครู่ใหญ่ก่อนจะเสด็จกลับวังตะวันออกพร้อมเสวี่ยน้อย ด้วยใบหน้าแย้มยิ้มมีความสุข
------------------