webnovel

ภาคต่อตอนที่ 34 ได้พบท่านยมอีกครั้ง

เฟิ่งอิงและตู้เหมยฮวาย้อนกลับมายังโรงเตี๊ยมหรูกลางย่านการค้า โดยเฟิ่งอิงพร้อมสองผู้ติดตามเข้าไปก่อน เมื่อจองห้องได้แล้วจึงค่อยให้นางตามเข้ามาทีหลัง ด้วยไม่อยากให้เป็นที่สะดุดตามากนัก แต่เพราะเป็นย่านชุมชนตลาดมีผู้คนพลุกพล่านและรถม้าของตู้เหมยฮวาด้านข้างมีสัญลักษณ์ลายนกกระเรียนเหินฟ้า อันเป็นสิ่งบ่งบอกให้รู้ถึงที่มาได้เป็นอย่างดี

ดังนั้น เมื่อตู้เหมยฮวาก้าวลงจากรถม้าจึงเป็นที่สนใจของผู้คนรอบข้างทำให้ทุกย่างก้าวของโฉมสะคราญมีสายตาทั้งในและนอกโรงเตี๊ยมหลายสิบคู่มองตามด้วยความรู้สึกหลาก หลาย ชื่นชม ตื่นตะลึงและสุดท้ายคือสนใจใคร่รู้ แต่ไม่มีผู้ใดหาญกล้าวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งหน้า ได้แต่มองส่งจนร่างอรชรของโฉมสะคราญลับไปจากครรลองสายตา

ภายในห้องๆหนึ่งบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมหรู ปรากฏภาพหนึ่งบุรุษมาดขรึมเย็นชา ทว่าหล่อเหลาคมเข้มน่าค้นหากับอีกหนึ่งงดงามราวกับเทพธิดาจากสวรรค์ ในสายตาของเสี่ยวถิง หากไม่นับเรื่องยศเรื่องตำแหน่งแล้วบุรุษผู้นี้ก็เหมาะกับคุณหนูของเสี่ยวถิงยิ่งนัก

ด้วยคุณหนูของเสี่ยวถิงเป็นสตรีที่แม้ภายนอกเรียบร้อย สมเป็นกุลสตรี แต่กลับดื้อรั้นที่สุดในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องบุรุษผู้จะมาเป็นสามี คุณหนูของนางค่อนข้างพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ ซึ่งบุรุษที่นั่งหน้านิ่งไร้อารมณ์เบื้องหน้าเป็นบุรุษคนแรกที่คุณหนูให้ความสนใจ อีกทั้งยังเป็นฝ่ายรุกก่อน หรือนี่จะเป็นชะตาฟ้าลิขิต? พอคิดถึงตรงนี้ ในหัวพลันปรากฏภาพคุณหนูอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงงดงามเหลือจะกล่าวจนเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว

"แม่นางตู้มีอันใดจะพูดกับข้า เชิญพูดมาได้"เฟิ่งอิงเอ่ยถาม ยอมเสียมารยาทไม่แนะนำตนเองกับเด็กสาวที่เอาแต่นั่งจ้องตนแล้วอมยิ้มจนรู้สึกวางตัวไม่ถูกและอยากหลุดพ้นนาดสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้โดยเร็ว

"คำนั้นน่าจะเป็นข้าที่เป็นฝ่ายถามท่านมิใช่หรือ?"ตู้เหมยฮวาย้อนถามเสียงอ่อนหวาน ดวงตาหงส์สบตาคมเรียวดุไม่คิดจะหลบเอียงอาย

เฟิ่งอิงชะงักวูบ นี่ข้าเลอะเลือนถึงเพียงนี้? เป็นข้าที่หยุดนางเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของน้องเล็ก?ร่างหนาขยับตัวเล็กน้อยกระแอมไออย่างขัดเขิน ดวงตาคมเรียวดุหลุบต่ำลงมองถ้วยชาในมือปิดบังความรู้สึกไว้

"แต่ถ้าให้ข้าเดา คงเป็นเรื่องของหลินเอ๋อร์เจี่ยเจี่ย?"

เฟิ่งอิงเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาหงส์คู่งามแล้วเป็นชายหนุ่มที่เป็นฝ่ายยอมแพ้เบือนหน้าหนีไปมองภาพแขวนภายในห้องแทน ซึ่งอาการขัดเขินของบุรุษเบื้องหน้าทำโฉมสะคราญใจเต้น และขัดเขินตาม หลุบตาลงต่ำมือเรียวที่วางอยู่บนตักเย็นเฉียบบิดกันไปมาวุ่นวาย ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องทันที

"เอ่อ...คุณหนู"เสี่ยวถิงเรียกตู้เหมยฮวาเมื่อเห็นทั้งสองเอาแต่นั่งเงียบ ชวนให้เสี่ยวถิงอึดอัดใจและอยากพาคุณหนูกลับจวนโดยเร็ว

"ข้านับถือและชื่นชอบหลินเอ๋อร์เจี่ยเจี่ยไม่ได้มีเจตนาอื่น ที่ไปเยือนจวนเสนาบดีมู่เพียงเพราะหวังจะถามข่าวคราวและอยากฟังเรื่องราวที่หลินเอ๋อร์เจี่ยเจี่ย ได้ประสบพบพานบ้างเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง"

ถ้อยคำของเด็กสาวเบื้องหน้า ยังผลให้ดวงตาคมเรียวดุฉายแววผิดหวังออกมา ด้วยหวังว่าจะได้เบาะแสเกี่ยวกับน้องสาวของตนบ้างหลังจากที่พลาดหวังมาแล้วถึงสองครา แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหดหู่ขยับกายเตรียมลุกขึ้น

"ขออภัยที่รบกวน ขอตัวก่อน"ประสานมือค้อมศีรษะให้อย่างมีมารยาท เพราะถึงอย่างไรเด็กสาวผู้นี้ก็เป็นถึงบุตรีคนโปรดของอัครเสนาบดีตู้ฮุ่เปียว ขุนนางใหญ่แห่งแคว้นฉี

"รอเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ"มือเรียวขาวยกขึ้นห้าม ร่างหนาชะงักหันกลับมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์มีเพียงคิ้วเข้มเท่านั้นที่เลิกขึ้นสูงเชิงถาม

"หะหากหลินเอ๋อร์เจี่ยเจี่ยกลับมา โปรดแจ้งให้ข้าทราบ ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนเกินไปรึไม่?"

"ดะได้"ร่างหนาพาลพูดติดอ่างตามเด็กสาวไปด้วย ใบหน้าคมเข้มขึ้นสีลามไปถึงใบหู เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะคำพูดและท่าทางของเด็กสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ผุดลุกขึ้นมองเด็กสาวแวบหนึ่งส่งท้ายแล้วจ้ำอ้าวออกไปราวกับมีธุระเร่งด่วนให้ต้องสะสาง

"คุณหนู เหตุใดจึงพูดเยี่ยงนั้นเจ้าคะ?"เสี่ยวถิงกระซิบถามนายสาว

".กลับเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว"ตู้เหมยฮวาเลี่ยงไม่ตอบคำถาม เงยหน้าแดงเรื่อจากความเขินอายกับคำพูดตนเองที่บอกกับอีกฝ่ายเป็นนัยๆว่า ปรารถนาจะได้พบอีก และดูเหมือนเขาจะเข้าใจความหมายที่ตนต้องการจะสื่อ คิดแล้วใจดวงน้อยก็ยังยังเต้นแรงจนถึงเดี๋ยวนี้

อีกด้านทางฝั่งถ้ำเพลิงฟ้า

ล่วงเข้ายามไฮ่วันที่สามสิบของความเจ็บปวดทรมานจากกฏการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมยามนี้ชิงหลินผู้เสียสละอยู่ในห้วงสลบไสลอยู่บนเตียงกว้าง มีฟานฟานน้อยและหมั่นโถวน้อย ในร่างของเด็กชายและเด็กหญิงหน้าตาน่ารักเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดเช่นทุกคืน

ใช่…ใกล้ชิดยิ่งนัก เพราะเด็กน้อยทั้งสองนอนตะแคงข้างเข้าหาชิงหลินแขนของทั้งสองพาดอยู่บนตัวของนาง ดวงตาทั้งสี่หลับพริ้มบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังหลับสนิท! ด้วยอาการรุนแรงขึ้นทุกวันของนาง จากที่ทนได้หลายชั่วยามก่อนหมดสติ ก็ค่อยลดลงเรื่อยๆตรงข้ามกับช่วงเวลาที่สลบไสลความเจ็บปวดที่กินระยะเวลานานขึ้นจนน่ากลัว

"เฮ้อ!....อีกห้าวันเท่านั้น หวังว่าเจ้าจะยังทนไหว"หงส์เพลิงพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีแดงเพลิงจับอยู่ที่ร่างเล็กด้วยสายตาอ่อนโยนและเห็นใจอย่างสุดซึ้ง

ตลอดเวลาหงส์เพลิงเฝ้าดูนางเงียบๆ นอกจากอาหารและผลไม้เพื่อประทังความหิวแล้ว ก็ไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามปล่อยให้สี่สหายน้อยในร่างเด็กชายหญิงดูแลกันเอาเอง

นับจากวันแรกจนถึงวันนี้ แม้ร่างเล็กจะได้รับความเจ็บปวดสาหัสเพียงใดกลับไม่เคยปริปากบ่นหรือร้องขอความช่วยเหลือคล้ายกับทำใจไว้ก่อนแล้ว ทำให้หงส์เพลิงนับถือในความมีน้ำอดน้ำทนเสียสละเพื่อคนอื่นของนาง ตั้งใจว่าหากนางรอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ไม่ว่าเรื่องใดที่นางร้องขอ หงส์เพลิงยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง!

ฝ่ายชิงหลินที่สลบไสลเพราะความเจ็บปวดครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งตรงที่วิญญาณได้หลุดลอยออกมาจากร่างของชิงหลิน

วิญญาณของช่อลดาล่องลอยไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย รอบตัวมีแต่หมอกควันขาวจนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนทำเธอเริ่มวิตกกังวลขึ้นมา

ที่นี่ที่ไหน?สมองครุ่นคิดสายตากวาดมองรอบๆอย่างพิจารณา ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับแสงสว่างสีเหลืองนวล สองเท้าก้าวตรงไปยังจุดสีเหลืองนั้นจากช้าแล้วเร่งความเร็วขึ้นกลายเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ใบหน้าจืดชืดกลมเป็นซาลาเปาเต็มไปด้วยน้ำตา ดวงตาตี่ๆชั้นเดียวไหวระริกด้วยความตื่นเต้น ดีใจ จ้องภาพตรงหน้าแทบไม่กระพริบตา

"แม่.....แม่...แม่จ๋า...."เสียงนั้นเบาหวิวยิ่งกว่าเสียงลมอีกทั้งยังสั่นเครือ มืออวบอูมเพราะน้ำหนักที่เกินมาตรฐานข้างหนึ่งยื่นไปข้างหน้าไขว่คว้าแต่ต้องผิดหวังเมื่อสัมผัสผ่านร่างซูบผอมของหญิงชราที่นั่งร้องไห้กอดรูปเธอปริ่มว่าใจจะขาด ไหล่ทั้งสองสั่นสะท้านตามแรงสะอื้นไป

แม้จะเป็นเพียงภาพที่ไร้เสียงคล้ายกำลังดูละครใบ้ แต่สำหรับเธอเท่านี้ก็ทำให้เจ็บตรงหัวใจเหลือจะกล่าวแล้ว ไม่ถึงปีที่เธอจากมา แม่ของเธอซูบผอมไปมากเลยทีเดียว อยากกลับไป...เธออยากกลับไป...อยากกลับไปกอดและล่ำลามารดาของเธอสักครั้งคิดได้ดังนั้นจึงโพล่งออกมา "ท่านยม!.....ท่านยม!...ท่านอยู่แถวนี้รึเปล่า!?"เงียบ "ได้โปรดเถิด ขอให้ฉันได้พบแม่อีกสักครั้ง.....ครั้งเดียว...ครั้งเดียวเท่านั้น...ขอร้องล่ะ!" ตะโกนไปร้องไห้ไปอย่างน่าสมเพช จนยมบาลอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาด้วยความรำคาญ

"...หยุดฟูมฟายเสียที ข้ารำคาญ"

"อา..ท่านยม...ท่านยม"

"เฮ้ย!..เสื้อผ้าข้าไม่ใช่ทิชชู่นะ!"ตวาดเสียงดังเมื่อร่างกลมป้อมเข้ามากอดแข้งกอดขา เอาหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาและขี้มูกถูไถโจงกระเบนสีแดงจนเลอะเทอะไปหมด ไม่พอยังสั่งน้ำมูกใส่อีกตังหาก! "นี่แน่ะ!"

"โอ๊ย!..เช็ดนิดเช็ดหน่อยแค่นี้ ไม่เห็นต้องเขกหัวกันซะแรงเลย?"วิญญาณช่อลดาลูบศีรษะบริเวณที่ถูกมือหนักเขกป้อยๆ

"นิดหน่อยรึ! เลอะขนาดนี้ เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่านิดหน่อย?"ท่านยมชี้นิ้วไปยังรอยคราบที่เธอทำไว้เบะปากอย่างรังเกียจ

"ขอโทษค่ะ"ช่อลดาเงยหน้าหัวเราะแหะๆยื่นมือหวังเช็ดคราบออกให้แต่ก็วืด เพราะร่างใหญ่ถอยหลังหนีซะอย่างนั้น

"หยุด!...ไม่ต้องเลย พูดมาดีกว่าว่าเจ้าเรียกหาข้าทำไม?"

"ฉันอยากจะขอโอกาสล่ำลาแม่สักครั้งค่ะ ท่านจะช่วยให้ฉันสมหวังได้ไหมคะ?"

"....ก็ได้..แต่มีข้อแม้..."

"ข้อแม้อะไรคะ?"

"การไปในครั้งนี้จะไปในรูปความฝัน และอยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น หากภายในหนึ่งชั่วโมงเจ้ายังไม่กลับมา วิญญาณของเจ้าจะติดอยู่ที่นี่และกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนรวมถึงเด็กที่อยู่ในท้องของเจ้าด้วย เจ้ายังอยากจะไปอีกหรือไม่?"

จบคำช่อลดาถึงกับชะงักนิ่งไปครู่ใหญ่ หากกลับมาไม่ทันจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน? ลูกในท้องก็จะไม่ได้เกิด? จะไม่ได้พบหน้าทุกคนที่อยู่โลกนี้อีก?หญิงสาวหน้านิ่วคิดไม่ตก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ "ฉันจะไปค่ะ"

"รับนี่ไป"ท่านยมหรี่ตามองหญิงสาวเบื้องหน้าครู่หนึ่งก่อนจะโยนนาฬิกาทรายให้

"กลับมาที่นี่ก่อนที่ทรายในนาฬิกานั่นจะหมดเข้าใจรึไม่?"

"เข้าใจแล้วค่ะ"

------------------ 15 มกราคม ปี 2016 เวลา 22.00 น.

"ดา...ลูกอยู่แถวนี้หรือเปล่าลูก? แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน ทำไมถึงไม่มาให้แม่เห็นบ้าง?"ช่อผกานอนกอดรูปบุตรสาวไว้แนบอกแน่น นอกจากใบหน้าที่เหี่ยวย่นตามวัยที่ร่วงโรยแล้ว ยังมีร่องรอยความหมองเศร้าฉายชัดอยู่บนใบหน้าและผล็อยหลับไปทั้งคราบน้ำตา

ช่อผกา เป็นหญิงม่ายวัยห้าสิบเศษ มีบุตรสาวคนเดียวคือ ช่อลดา เธอกับลูกสาวอาศัยอยู่กันเพียงลำพังแม่ลูก เธอรักและเป็นห่วงลูกสาวคนนี้มากเพราะลูกสาวของเธอไม่ค่อยมีเพื่อน จุดเริ่มต้นอาจจะเป็นเพราะโดนเพื่อนล้อเรื่องรูปร่างหน้าตา

แต่ความเป็นห่วงของผู้เป็นแม่สูญเปล่า เพราะลูกสาวไม่ได้รู้สึกเศร้าซึม เสียอกเสียใจหรือคิดว่าเป็นปมด้อยแต่อย่างใด ซ้ำยังหัวเราะเสียงดัง บอกว่าไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ ใครอยากว่าอยากล้อก็ช่างเขาปะไร ทีแรกเธอคิดว่าลูกคงพูดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่นานวันเข้าก็เชื่อสนิทใจ

ความกังวลและความเป็นห่วงเรื่องนี้คลายไป แต่กลับต้องมาหนักใจอีกเรื่องแทน คือเรื่องที่ลูกสาวตัวดีชอบเก็บสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่บาดเจ็บถูกทิ้ง โดยเฉพาะสุนัขและแมว กลับมาบ้านจนตอนนี้ที่บ้านสวนมีสัตว์นานาชนิดมากกว่าห้าสิบตัวแล้ว

---------------

แม่....แม่จ่า.....เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคยและคิดถึงดังขึ้นเรื่อยๆทำให้ร่างซูบผอมของช่อผกาพลิกขยับตัวไปมา ดวงตาโศกลืมขึ้นช้าๆครั้นพอปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดแล้ว สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างกลมป้อมของลูกสาวนั่งยิ้มให้อยู่ที่ขอบเตียง

"ยัยดา?....ยัยดาลูกแม่..."ช่อผกาผุดลุกพรวดพราดเข้าสวมกอดลูกสาวไว้เสียแน่น หัวใจที่แห้งแล้งเจ็บปวดเพราะความเศร้าโศกอาลัยรักกับการจากไปของลูกสาว ตอนนี้ราวกับถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น ทำให้หัวใจของผู้เป็นแม่ชุ่มฉ่ำมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

"แม่....ดาคิดถึงแม่จังเลยค่ะ...แม่เป็นอย่างไรบ้าง? ขอโทษนะคะที่ทิ้งแม่ไว้คนเดียว"ช่อลดากอดตอบร่างซูบผอม มืออวบอูมลูบหลังของมารดาแล้วใจของลูกสาวเช่นเธอก็อดที่จะเจ็บปวดไม่ได้ นี่แม่เธอผอมลงขนาดนี้เชียวหรือ?

"แม่คิดถึงดาเหลือเกินลูก...ทำไมถึงไม่มาหาแม่หรือมาเข้าฝันแม่บ้าง? รู้ไม๊ว่าแม่คิดถึงหนูมากแค่ไหน?"ช่อผกาผละออกมา สองมือผอมเกร็งประคองใบหน้าอวบอูมของลูกสาว ใบหน้าตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาแต่เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ

"ขอโทษค่ะแม่ แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วงดาแล้วนะคะ ดาสบายดี แม่สิคะทำไมถึงผ่ายผอมขนาดนี้?"ช่อลดาไม่ได้บอกเรื่องที่เธอย้อนอดีตให้มารดาฟัง เพราะเกรงว่าเวลาจะไม่พอ

"จะให้แม่กินอิ่มนอนหลับสบายได้อย่างไร? ลูกสาวจากไปทั้งคนนะ เราก็มีกันอยู่สองคนเท่านี้ พอไม่มีดาแม่ก็....."

"แม่....ดาขอโทษที่ยังไม่ทันได้ทดแทนค่าน้ำนมก็มาด่วนจากไปเสียก่อน หากชาติหน้ามีจริงดาขอเกิดเป็นลูกแม่อีกนะคะ"ช่อลดาจำไม่ได้ว่าเธอพูดขอโทษมารดาไปกี่ครั้งแล้ว แต่ใน ตอนนี้มีแต่คำนี้อยู่ในหัวเต็มไปหมด สองแม่ลูกอยู่คุยถามสารทุกข์สุขดิบกันอีกพักใหญ่ก่อนช่อลดาจะจากไป

"ดา!...ดาลูกแม่!...."ช่อผกาผวาเฮือกลุกนั่ง ตะโกนออกมาดังลั่น จนรูปที่กอดไว้บนอกหล่นลงพื้นเสียงดังเพล้ง! กระจกกรอบรูปแตกกระจาย ช่อผกาซบหน้าลงกับมือผอมเกร็งของตนสะอื้นไห้ออกมาเบาๆเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด

"ขอโทษค่ะแม่ ดาขอโทษ ขอโทษจริง...ฮือๆๆ"วิญญาณของช่อลดาพูดไปร้องไห้ไป เธอยืนมองร่างของมารดาอย่างอาลัยอาวรณ์ โดยลืมดูนาฬิกาทรายที่ใกล้จะหมดลงไปทุกที

"ท่านแม่! ท่านแม่! รีบกลับเถิดขอรับ! เวลาใกล้จะหมดแล้ว!"เสียงเด็กชายคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู

"เอ๊ะ!...เสียงเด็กที่ไหน?"ช่อลดามองหาเสียงนั้นอย่างสงสัย

"ท่านแม่! ท่านต้องรีบแล้ว! ชักช้าจะมิทันการนะเจ้าคะ!"คราวนี้เป็นเสียงเด็กผู้หญิง น้ำเสียงที่เร่งเร้านั้นเธอจึงมองดูนาฬิกาทรายที่อยู่ในมือดวงตาเบิกเบิกกว้างด้วยความตกใจ

"แย่แล้ว!....ใกล้จะหมดเวลาแล้ว...อา...อุโมงค์จ๋า...รอก่อนอย่าพึ่งปิด...ขอร้องล่ะ.."ช่อลดาวิ่งพลางตะโกนราวกับคนบ้า เมื่ออุโมงค์ที่เชื่อมต่อสองภพกำลังบีบเล็กลงๆ ขอร้องล่ะ...ขอให้ทันทีเถอะ.....

การสร้างสรรค์งานเป็นเรื่องยาก ส่งกําลังใจให้กันด้วยน้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts
下一章