-41-
เมื่อตระหนักถึงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้จะได้รับสมรสพระราชทานแล้วก็ตาม
ในยามนี้สิ่งที่มู่หลิ่งเหวินทำได้คือคอยดูแลนางอย่างใกล้ชิด ไม่ให้นางทำตัวสนิทสนมหรือมีโอกาสใกล้ชิดชายอื่นเกินความจำเป็น หากตนไม่สามารถมาดูแลได้ด้วยตนเอง อย่างน้อยต้องมีคนของตนคอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาแทน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายไม่ดีไม่งามจนเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงเริ่มทำตามแผนที่วางไว้ทันที ซึ่งก็เป็นเช้าวันต่อมาเมื่อส่งเสด็จองค์ชายห้าโจวหยางหมิ่นพร้อมด้วยทหารองครักษ์ที่เหลือไปยังหัวเมืองแคว้นโจวแล้ว
"องค์ชายห้าผู้นี้คงตั้งใจไปเยือนสกุลชิงเร็วๆ นี้เป็นแน่" แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับร่างเล็กบอบบางที่เดินอยู่เคียงข้าง
"อะไรทำให้ท่านคิดเช่นนั้นเจ้าคะ"
"เท่าที่พี่จำได้ องค์ชายไม่ตรัสถึงค่าตอบแทนเลยใช่หรือไม่" มู่หลิ่งเหวินหันมามองนางตรงๆ สองมือประสานกันอยู่ด้านหลัง
ยามนี้บ้านเมืองสงบ ทำให้แม่ทัพหนุ่มมีเวลามาตามตื๊อเทียวไล้เทียวขื่อคู่หมั้นได้บ่อย ว่างเมื่อใดเป็นต้องมาให้นางเห็นหน้า พูดคุยหยอกล้อไม่ได้ขาด เพื่อให้ในใจของนางมีแต่เขาจนไม่มีเวลาไปคิดถึงชายอื่น ช่างเป็นบุรุษที่มากด้วยเล่ห์กลสมเป็นแม่ทัพแห่งแคว้นฉียิ่งนัก
"บางทีอาจจะตกลงกับท่านพ่อก่อนหน้าแล้วก็ได้นะเจ้าคะ"
"หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดก่อนแยกจากจึงไม่ตรัสถึงเรื่องนี้เลยเล่า อย่างน้อยๆ ก็ควรมีการเจรจาถึงวันเวลาหรือสถานที่นัดพบเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง"
ใช่...เพราะเขาและนางกำลังจะกลับคฤหาสน์สกุลชิงในอีกสามวัน ในฐานะผู้ว่าจ้างเมื่อภารกิจที่ว่าจ้างสำเร็จลุล่วงด้วยดีก็ควรเอ่ยถึงค่าจ้างบ้าง แต่เท่าที่เขารู้ผู้ว่าจ้างสูงศักดิ์ผู้นี้จงใจเก็บเงียบเรื่องนี้ไว้ เหมือนมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่ หรือจุดประสงค์ที่แอบแฝงของบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้คือนาง
'ฝันไปเถิด นางเป็นของข้า ไม่ว่าหน้าไหนหากคิดจะแย่งชิงนางไปจากข้า ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!'
"เรื่องนี้พักไว้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากเข้าป่าแล้ว ท่านจะไปกับข้าหรือจะรออยู่ที่นี่เจ้าคะ"
รอยยิ้มสดใสไร้กังวลราวกับพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างยามเช้าทำเอาคนมองพ่นลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ กับความคิดน้อยไร้เล่ห์เหลี่ยมเปิดเผยตรงไปตรงมาจนดูออกง่ายของนาง สิ่งเหล่านี้แม้จะทำให้ผู้คนเข้าถึงง่ายและชื่นชอบก็จริง หากมาดีก็แล้วไปเถิด แต่ถ้ามาร้ายเล่าจะทำเช่นใด ช่างน่าเป็นห่วงจริงๆ
"รีบไปเตรียมตัวเถิด พี่จะไปกับเจ้าด้วย" มู่หลิ่งเหวินสลัดความกังวลออกไป พร้อมกับจูงมือนางไปยังม้าที่เฟิ่งอิงได้เตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว
"คุณหนู ได้โปรดอนุญาตให้พวกเราตามไปหุบเขากินคนด้วยได้หรือไม่ขอรับ" หน่วยพยัคฆ์ดำคนหนึ่งที่ประจำอยู่เรือนสายธารเอ่ยขึ้น ด้านหลังมีหน่วยพยัคฆ์ดำนับสิบที่ล้วนแล้วแต่พลาดการไปหุบเขากินคนทั้งสิ้นรอลุ้นอยู่ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
"เอ๊ะ อยู่ดีๆ ทำไมถึงอยากไปเล่า" นางย้อนถาม ดวงตากลมโตกวาดตามองเหล่าบุรุษร่างใหญ่ในชุดสีดำสนิท ซึ่งเป็นชุดที่ตัดขึ้นเพื่อหน่วยพยัคฆ์ดำโดยเฉพาะด้วยสายตาสงสัย
"เรียนคุณหนูตามตรง ข้าอยากไปเก็บผลหงเหมาตานขอรับ แหะๆ" ชายคนเดิมตอบพร้อมกับใช้มือขวาลูบท้ายทอยตนเองด้วยความขัดเขิน
"ข้าด้วยขอรับ"
"ข้าก็ด้วยขอรับ"
"ส่วนข้าอยากลิ้มลองน้ำหวานจากผลเยจื่ออีกสักครั้งขอรับ"
"ข้าก็อยากกินน้ำหวานจากสวรรค์เช่นกันขอรับ"
"ข้าด้วย"
"ข้าก็ด้วย"
"หยุด! พวกเจ้ากำลังถ่วงเวลาของคุณหนูรู้ตัวหรือไม่" เฟิ่งอิงตำหนิด้วยเสียงค่อนข้างดัง ดวงตาคมเรียวดุจ้องมองอย่างตำหนิ
หน่วยพยัคฆ์ดำที่ขึ้นชื่อเรื่องความองอาจ เยือกเย็น ดุดัน ลงมือรวดเร็ว และไม่กลัวตาย เหตุใดจึงสูญเสียความเยือกเย็นเพราะเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้ หากคนนอกรู้เข้าเขาจะมีหน้ากลับไปสู้หน้านายท่านได้อย่างไร
"ไม่เป็นไรหรอกเฟิ่งอิง หุบเขากินคนอยู่ใกล้แค่นี้เอง" ชิงหลินยกมือห้ามชายหนุ่มที่ยืนเยื้องไปข้างหลังด้านซ้าย โดยมีหน่วยพยัคฆ์ดำที่มาจากเมืองหลวงและร่วมผจญภัยที่น่าตื่นเต้นกับนางตลอดยืนอยู่ข้างหลัง
"หากไปกันหมดแล้วใครจะอยู่เฝ้ายามที่นี่" แม้ที่นี่จะไม่ใช่ที่พักหลักเช่นเรือนพสุธา แต่ก็เก็บสิ่งของล้ำค่าหลายอย่าง ทั้งยังมีสัตว์ป่าตามใบสั่งรอการส่งมอบอีกหลายสิบตัว
"เรื่องนั้น..." พอได้ฟังคำถามของคุณหนู ชายฉกรรจ์หลายคนก็ถึงกับพูดไม่ออก ใบหน้าดุดันหมองลง ก้มหน้าคอตกด้วยความผิดหวัง ผิดกับเหล่าชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังคุณหนูที่ร่าเริงตื่นเต้นยินดีที่จะได้ติดตามคุณหนูผู้รอบรู้เข้าไปในหุบเขากินคน พร้อมกับความหวังที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่คิดว่าหาจากที่ใดไม่ได้อีกแล้วอีกครั้ง
"ในสามวันนี้ให้สลับหมุนเวียนกันไป ใครอยากไปก็ให้มาเข้าแถวตรงนี้" คำเสนอแนะของแม่ทัพหนุ่มตรงกับใจของชิงหลินพอดี
เพียงชั่วพริบตาเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งที่ประจำที่นี่และไม่ใช่นับร้อยคนก็มายืนเข้าแถวสามแถวตอนลึกเป็นที่เรียบร้อยในเวลาอันสั้น
"แหม สามแถวสำหรับสามวันพอดี อย่างนั้นให้หัวแถวจับไม้สั้นไม้ยาวแล้วกันเพื่อความยุติธรรม" ชิงหลินเย้ายิ้มๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มดูมีความสุขและขบขันกับท่าทางกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา
เมื่อตกลงเป็นที่เรียบร้อย การเดินทางไปหุบเขากินคนจึงได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากเสียเวลาเกือบสองเค่อ ในครั้งนี้ได้นำรถม้าสำหรับบรรทุกพืชพรรณผักผลไม้ตลอดจนต้นกล้าต่างๆ ไปถึงห้าคันรถด้วยกัน
เรื่องสนุกๆ เช่นนี้จะขาดสามสหายน้อยจอมป่วนแก๊งฟานเป่าโถวไปได้อย่างไร เจ้าพยัคฆ์น้อยขี่ม้าไปกับหลินหลิน ส่วนจิ้งจอกน้อยตัวพี่อยู่กับเฟิ่งอิง เพราะตัวน้องขอไปกับแม่ทัพหนุ่ม เพราะมันชื่นชอบแม่ทัพหนุ่มที่ใจดีและอ่อนโยนเหมือนกับหลินหลิน
ตลอดเวลาสามวันของการเข้าไปในหุบเขากินคน แม่ทัพหนุ่มต้องคอยกันท่าเจ้าพวกน่าตายที่คอยวนเวียนอยู่รอบกายคู่หมั้นสาวจนถูกแอบตั้งฉายาใหม่ให้ว่า 'มารร้ายไหน้ำส้ม' เพราะอารมณ์หึงหวงที่มากมายเกินเหตุของแม่ทัพหนุ่มนั่นเอง
ผิดกับชิงหลินที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลย มัวแต่ใส่ใจกับพืชพรรณต่างๆ ที่นำมาจากหุบเขากินคนที่มีมากมายหลายสิบชนิดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นพืชผักสวนครัวเช่น ขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะนาว กะเพรา โหระพา แมงลัก ยี่หร่า หัวหอม กระเทียม และพริก
ส่วนผลไม้ก็มีมะพร้าว เงาะ มังคุด มะขาม ขนุน มะละกอ ฝรั่ง น้อยหน่า และลำไย
สมุนไพรไทยเธอก็สั่งให้นำกลับมาด้วย โดยมีฟ้าทะลายโจร สาบเสือ กราวเครือ ว่านหางจระเข้ รางจืด กานพลู ไพล ชะเอมเทศ และเหงือกปลาหมอ
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดบางอย่างนอกจากจะนำมาประกอบอาหารได้แล้ว ยังมีสรรพคุณทางยามากมายหลายประการ
ชิงหลินสั่งให้คนงานและหน่วยพยัคฆ์ดำช่วยกันแยกประเภทปลูกและปักชำต้นกล้าเหล่านั้นไว้ที่นี่ รวมถึงบอกวิธีดูแลต่างๆ อย่างคร่าวๆ เพราะเวลามีน้อย และนำต้นกล้ากับเมล็ดพันธุ์บางส่วนกลับเมืองหลวงเพื่อนำไปปลูกเพาะพันธุ์ที่เรือนพสุธาและคฤหสน์สกุลชิง
ทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในสามวันตามที่นางได้ขอคู่หมั้นไว้
ยามเฉิน วันต่อมา
มู่หลิ่งเหวินกับคู่หมั้นพร้อมด้วยเหล่าผู้ติดตามอีกหลายสิบชีวิต รวมถึงสามสหายน้อยแก๊งฟานเป่าโถว และรถม้าอีกห้าคัน รถม้าคันหน้าสุดเตรียมไว้เพื่อนางกับสามสหายน้อยจอมป่วน ยามที่นางต้องการพักผ่อนหรือเบื่อการนั่งบนหลังม้า
ส่วนรถม้าสี่คันที่เหลือใช้บรรทุกสัมภาระข้าวปลาอาหารแห้งที่จำเป็นระหว่างทาง และที่ขาดไม่ได้คือสิ่งที่นำมาจากหุบเขากินคน
การเดินทางกลับคฤหาสน์สกุลชิงในครั้งนี้ของชิงหลินใช้เวลาเกินสิบวัน เพราะมีข้าวของสัมภาระเยอะพอสมควร
ขบวนรถม้าที่ค่อนข้างใหญ่โตโดดเด่นสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก และนั่นย่อมหมายถึงความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกปล้นชิงระหว่างทางจากกลุ่มโจรชั่ว
มู่หลิ่งเหวินจึงได้กำชับสี่องครักษ์ของตนและเฟิ่งอิงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางนี้เป็นพิเศษ โดยปิดบังไม่ให้คู่หมั้นได้รับรู้ถึงอันตรายที่อาจรออยู่ข้างหน้า ด้วยไม่ต้องการให้นางหวาดกลัวและหมดสนุกกับการเดินทางกลับคฤหาสน์ในครานี้
ยามอู่วันที่สิบสองของการเดินทาง ขบวนม้าที่นำโดยแม่ทัพหนุ่มก็ได้มาถึงเรือนพสุธา ซึ่งอยู่ห่างจากคฤหาสน์สกุลชิงในเมืองหลวงเพียงหนึ่งชั่วยามสำหรับรถม้า ชิงหลินขอให้แวะเอาของที่นำมาด้วยบางส่วนไว้ที่เรือนพสุธา กะว่าวันสองวันนี้จะกลับมาจัดการ แล้วจึงเดินทางต่อ
คฤหาสน์สกุลชิง
"นายท่าน ฮูหยิน คุณหนู...คุณหนู..." พ่อบ้านฝูวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาชิงหยวนและชิงฮูหยินที่กำลังชะเง้อคอรออยู่ในโถงกลางของเรือนหลัก
"ลูกข้า ลูกข้ามาถึงแล้วใช่หรือไม่ รีบตอบมาเร็วเข้า!" ชิงหยวนผุดลุกขึ้นถามอย่างร้อนรนระคนตื่นเต้น ใบหน้าคร้ามแดดที่กังวลมาหลายวันคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
"ขะ...ขอรับนายท่าน คุณหนูเดินทางมาถึงแล้ว" พ่อบ้านฝูตอบพร้อมกับพยักหน้าขึ้นลงหลายครั้งเพื่อยืนยันคำพูดของตน
"หลินเอ๋อร์ลูกแม่" ชิงฮูหยินถลาออกไปยังทิศทางที่พ่อบ้านฝูเข้ามา ลืมเรื่องกิริยามารยาทอันดีงามไปเสียสิ้น
"ฮูหยิน! มัวยืนทำอันใดกันอยู่ รีบตามนางไปเร็วเข้า!" ชิงหยวนชี้นิ้วสั่งแม่นมฝูและสองสาวใช้ที่ยังยืนตะลึงอยู่กับที่ด้วยความปลาบปลื้มดีใจ
"จะ...เจ้าค่ะ" แม่นมฝูได้สติจึงรีบตามไปทันที
"เฮ้อ! ขอบคุณสวรรค์ที่พานางกลับมาอย่างปลอดภัย ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ" ชิงหยวนคุกเข่าคำนับสามครั้ง ก่อนจะเดินออกไปสมทบกับฮูหยินของตน
ทางฝ่ายขบวนของแม่ทัพหนุ่มและคู่หมั้นสาว เมื่อผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้วก็เป็นที่สนใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นในทันที พร้อมทั้งหลีกทางให้ขบวนผ่านไปได้สะดวก
"นั่น...แม่ทัพมู่นี่ แล้วที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆ ก็คุณหนูสกุลชิง คู่หมั้นของท่านแม่ทัพ"
"เจ้าก็รู้จักหรือ"
"แน่นอน ชื่อเสียงเล่าลือไปทั่ว ฝ่ายชายเป็นถึงแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ของแคว้น ส่วนนางก็เป็นถึงบุตรีเพียงคนเดียวของคหบดีชิงหยวนผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สินเงินทอง ซ้ำยังมีคุณธรรมใจดีมีเมตตาคอยช่วยเหลือชาวบ้านผู้ตกทุกข์ได้ยาก จนได้รับป้ายพระราชทานจากฝ่าบาท"
"เรื่องนั้นข้าก็รู้ และข้ายังรู้มาอีกว่าฝ่าบาทพระราชทานสมรสแก่ทั้งคู่ด้วย"
"ฮ้า! เป็นเรื่องจริงหรือ"
"จริงแท้แน่นอน...ช่างเป็นสตรีที่โชคดียิ่งนัก"
"โชคดี?"
"แม่ทัพมู่มาจากตระกูลขุนนาง แต่นางเป็นเพียงบุตรีพ่อค้าไร้ยศไร้ตำแหน่ง ดังนั้นตามหลักแล้วนางจะเป็นได้เพียงเมียรองหรืออนุของแม่ทัพมู่เท่านั้น ตำแหน่งฮูหยินใหญ่น่ะหรือ…ลืมไปได้เลย"
"อา...มันก็จริงของเจ้า แต่เพราะนางได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาท ดังนั้นสกุลมู่ย่อมต้องให้เกียรติยกย่องนางและมอบตำแหน่งฮูหยินใหญ่แห่งจวนแม่ทัพให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ"
"ถูกต้อง"
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ตลอดเส้นทางกลับคฤหาน์สกุลชิง ทำให้ชิงหลินไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก ทั้งยังรู้สึกอึดอัดที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาและหัวข้อสนทนาของชาวบ้าน นางจึงกระทุ้งสีข้างม้าให้วิ่งเร็วขึ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากการซุบซิบนินทาและวิพากษ์วิจารณ์ระยะเผาขนเช่นนี้โดยเร็ว
"หลินเอ๋อร์ ช้าๆ หน่อย มันอันตราย" มู่หลิ่งเหวินรีบควบม้าตามนางไป เป็นเหตุให้เหล่าผู้ติดตามต้องเร่งควบม้าตามไปด้วย
ส่วนสามสหายน้อยแก๊งฟานเป่าโถวที่หลินหลินสั่งให้อยู่ในรถม้านับแต่ผ่านประตูเมืองเข้ามา ก็ต้องพากันหาที่ยึดเกาะอย่างเร่งด่วน เพราะจู่ๆ รถม้าก็เพิ่มความเร็วจนพวกมันแทบจะหงายท้อง
ด้านหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์สกุลชิง
ชิงหยวนและฮูหยินพร้อมด้วยบ่าวไพร่ต่างก็มายืนรอชิงหลินอย่างใจจดใจจ่อ เพียงไม่นานบุตรีอันที่รักของทั้งสองก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
"ท่านพ่อท่านแม่ ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินกระโดดลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะโผกอดผู้เป็นมารดาด้วยความคิดถึง ตามมาติดๆ คือแม่ทัพหนุ่ม เฟิ่งอิง สี่องครักษ์จิ้นอี้จิ้นเอ้อจิ๋นซานจิ๋นซื่อ หน่วยพยัคฆ์ดำ และหน่วยองครักษ์สกุลมู่
"หลินเอ๋อร์ของแม่ แม่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน" ชิงฮูหยินกอดบุตรีด้วยน้ำตานองหน้า ทำเอาบ่าวไพร่กว่ายี่สิบคนน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ บางรายถึงกับร่ำไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ซึ่งก็คือแม่นมฝูและสองสาวใช้เสี่ยวอี้กับเสี่ยวสุ่ยนั่นเอง
"เอาละๆ ไปคุยกันข้างในเถิด" ชิงหยวนเอ่ยกับฮูหยินของตน พร้อมกับหันไปพยักหน้าให้แม่ทัพหนุ่ม
"คารวะท่านลุงท่านป้า" ได้โอกาสมู่หลิ่งเหวินจึงประสานมือทำความเคารพชิงหยวนและชิงฮูหยิน
"คนกันเองจะต้องมากพิธีไปไย ไปๆ เข้าไปคุยกันข้างในเถิด" ชิงหยวนตบบ่าแกร่งเบาๆ อย่างสนิทสนม ก่อนจะหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้เฟิ่งอิงที่ยืนอยู่ข้างหลังแม่ทัพหนุ่ม
เฟิ่งอิงค้อมศีรษะลงรับคำสั่งแล้วหันไปโบกมือให้สัญญาณแก่หน่วยพยัคฆ์ดำ ให้แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนก่อนรอเรียกตัวอีกที
โถงกลางของเรือนดาวดึงส์
มู่หลิ่งเหวินนั่งข้างๆ ชิงหยวน ส่วนชิงหลินนั่งข้างมารดา สองแม่ลูกจับมือกันไว้ตลอดเวลา
"หลินเอ๋อร์ เรื่องสมรสพระราชทานเจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่" ชิงฮูหยินถามบุตรี มือขวาลูบแก้มนางไปด้วย
"ทราบแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินอดเหลือบมองคู่หมั้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ได้ แต่พอได้เห็นรอยยิ้มหวานส่งมาให้พร้อมสายตาวิบวับ ก็ทำให้นางต้องรีบหลบตาด้วยความเขินอาย
"แต่เวลากระชั้นชิดเหลือเกิน จะเตรียมการทันหรือ" ชิงฮูหยินกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจด้วยความหนักใจ
ว่ากันตามจริงแล้วการจะจัดงานมงคลโดยเฉพาะงานแต่งงาน ต้องใช้เวลาในการเตรียมการสามเดือนเป็นอย่างน้อย ซึ่งถือว่ากระชั้นชิดที่สุดแล้ว ยิ่งงานใหญ่เท่าใดเวลาในการเตรียมการก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
แต่นี่...มีเวลาไม่นับวันนี้ก็เหลือเพียงเดือนกว่าเท่านั้น แล้วจะทำอย่างไรดี นางได้แต่ครุ่นคิดอย่างกลุ้มใจ
"ท่านป้า หากสองตระกูลร่วมแรงร่วมใจกัน ข้าคิดว่าต้องทันแน่นอนขอรับ" มู่หลิ่งเหวินตอบอย่างมั่นใจ ทำให้นางคลายความกังวลลง
"อืม คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว" ชิงฮูหยินยอมรับความช่วยเหลือแต่โดยดี
"โอ๊ะ! ตายแล้ว!" เสียงร้องของหญิงสาวผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มทำเอาทั้งสามคนตกใจจนต้องหันมามองทันที