-31-
เรือนสายธารของสกุลชิงนั้นอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ติดชายแดนแคว้นโจว ห่างจากหุบเขากินคนราวห้าสิบลี้ มีคอกสำหรับพักสัตว์ก่อนจะนำส่งข้ามชายแดนไปยังแคว้นโจว เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวขนาดสองคนอยู่เรียงติดกันหลายสิบห้อง สองห้องแรกจะกว้างกว่าห้องอื่นสองเท่า สำหรับผู้เป็นเจ้าของคือชิงหยวนกับชิงฮูหยิน และอีกห้องเป็นของชิงหลิน ด้านหลังเป็นห้องพักคนงานบ่าวไพร่และหน่วยพยัคฆ์ดำ โดยแบ่งแยกหญิงชายชัดเจนและเป็นระเบียบ
ราวสามเค่อขบวนม้าที่นำโดยแม่ทัพหนุ่มและชิงหยวนก็มาถึงที่หมายอย่างปลอดภัย มีหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำอยู่ พ่อบ้านประจำเรือนสายธาร และบ่าวหญิงชายรวมแล้วกว่าห้าสิบคนออกมายืนรอต้อนรับด้วยความตื่นเต้น ราวกับพบเจอสิ่งของล้ำค่า เพราะเป็นครั้งแรกที่คุณหนูมาเยือนเรือนสายธาร ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้
"พ่อบ้าน จัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วใช่หรือไม่" ชิงหยวนเอ่ยถามเสียงเข้ม พร้อมกับกระโดดลงจากหลังม้าเป็นคนแรก ตามด้วยแม่ทัพหนุ่มที่เก็บอาการบาดเจ็บไว้อย่างมิดชิด ชิงหลินที่ขอขี่ม้าเอง เฟิ่งอิงที่อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อย เป่าเปากับหมั่นโถวอยู่กับจิ๋นซานจิ๋นซื่อ และคนอื่นๆ
"ขอรับนายท่าน" พ่อบ้านชราร่างผอมเล็กสูงตอบด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อม
"อืม...ดี" เมื่อเห็นนายท่านพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต พ่อบ้านจึงพาหน่วยพยัคฆ์ดำและหน่วยองครักษ์ไปยังเรือนพักเพื่อพักผ่อนและชำระร่างกาย จึงเหลือเพียงชิงหยวน มู่หลิ่งเหวินที่แทบจะยืนทรงตัวไม่ไหว เฟิ่งอิง จิ๋นซาน และจิ๋นซื่อ
ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยก็ทำหน้าที่เป็นพี่ใหญ่พาสองจิ้งจอกน้อยเดินสำรวจรอบๆ ราวกับเคยมาแล้ว ทั้งที่เป็นครั้งแรกของมันที่ได้มาเยือนที่นี่แท้ๆ
"หลินเอ๋อร์ พาพี่เหวินของเจ้าไปพักก่อนเถิด" ชิงหยวนเอ่ยกับบุตรสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
"ทราบแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินตอบบิดาแล้วหันมามองคู่หมั้นที่พยายามยืนให้ตรงด้วยความกังวลใจ ใบหน้าของเขาทั้งซีดเซียวและมีเหงื่อชุ่ม
มู่หลิ่งเหวินได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้แล้วยังต้องเดินทางต่อนานเกือบครึ่งชั่วยามอีก ทำให้อวัยวะภายในบอบช้ำและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส หากเป็นคนธรรมดาคงหมดสติตั้งแต่อยู่บนหลังม้าแล้ว
"พี่เหวิน เหงื่อท่านออกเยอะเหลือเกิน เจ็บมากหรือเจ้าคะ" มือเรียวหยิบผ้าเช็ดหน้าสำรองที่มักจะพกติดตัวไว้ใช้ยามฉุกเฉิน มาเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าหล่อเหลาอย่างเบามือ สายตามองเขาด้วยความเป็นห่วง
'เหงื่อออกมากขนาดนี้คงเจ็บมากเลยทีเดียว'
"พี่...ยังไหว...อึก!" ร่างสูงกัดฟันข่มความเจ็บปวดตอบนางด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวเสียงลม จากนั้นก็โอนเอนไปมาทำท่าจะล้มมิล้มแหล่ ชิงหลินตกใจรีบเข้าไปประคองเขา โดยมีจิ๋นซานช่วยประคองอีกข้างหนึ่ง
"พี่เหวิน ทำใจดีๆ ไว้นะเจ้าคะ" ชิงหลินตกใจจนหน้าซีดเผือด แขนเรียวข้างหนึ่งโอบเอวคู่หมั้นไว้แน่น ส่วนอีกข้างก็ยึดจับมือใหญ่ที่พาดคอนางมาอีกด้าน
"อืมมม อา..." คนเจ็บพยายามลืมตาที่หนักอึ้งราวถูกหินทับไว้อย่างยากลำบาก แม้สติสัมปชัญญะจวนเจียนจะขาดสะบั้น แต่เพราะกรุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาแตะจมูกช่วยกระตุ้นให้เขายังครองสติไว้ได้
"เฟิ่งอิง รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า!" ชิงหยวนสั่งเสียงดัง
"ขอรับ" อีกฝ่ายก็ขานรับและทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
"คุณหนู ให้เป็นหน้าที่เราสองคนเถิดขอรับ" จิ๋นซื่อเอ่ยขึ้น ทำท่าจะเข้ามาประคองแม่ทัพหนุ่มแทนนาง
"ไม่เป็นไร เจ้าช่วยไปบอกให้ใครก็ได้เตรียมน้ำอุ่น ผ้าสะอาด และชุดของท่านแม่ทัพให้พร้อมทีเถิด" ชิงหลินปฏิเสธคำขอของจิ๋นซื่อ ขอประคองเขาไปยังห้องพักพร้อมกับจิ๋นซานเอง เล่นเอาคนเจ็บยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ
เมื่อถึงห้องพักทุกอย่างก็ถูกจัดเรียงไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำอุ่น ผ้าขาวสะอาดที่พับเรียงซ้อนกันไว้อย่างเป็นระเบียบ และชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนสีน้ำเงินเข้มอันเป็นสีโปรดของมู่หลิ่งเหวิน
ชิงหลินปล่อยให้จิ๋นซานจิ๋นซื่อรับช่วงต่อ ประคองร่างแม่ทัพหนุ่มให้นอนลงบนเตียงไม้อย่างระมัดระวัง
"ระหว่างที่รอหมอมา จัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ท่านแม่ทัพก่อนเถิด" ชิงหยวนหันมาบอกจิ๋นซานจิ๋นซื่อ คนเจ็บพอได้ยินถ้อยคำของว่าที่พ่อตาก็พลันลืมตาขึ้น ส่งสายตาเว้าวอนให้คู่หมั้นที่ยืนนิ่งอยู่ข้างบิดา
ชิงหลินเข้าใจจึงกล่าวกับบิดา "ท่านพ่อ ขอให้ข้าเป็นผู้ดูแลพี่เหวินเองเถิดเจ้าค่ะ"
"ตกลง พ่ออนุญาต" ชิงหยวนพยักหน้า หลังจากนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เป็นเหตุให้คนเจ็บลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วหลับตาลงเพื่อข่มความเจ็บปวด
"เช่นนั้นพวกเจ้าก็กลับไปพักผ่อนได้" ชิงหยวนหันไปกล่าวกับสององครักษ์หนุ่ม
"แต่ว่า..." จิ๋นซานทำท่าจะคัดค้าน แต่ถูกจิ๋นซื่อส่ายหน้าห้ามไว้เสียก่อน พลางบุ้ยใบ้ให้ดูคู่หมั้นสาวของท่านแม่ทัพที่นั่งลงข้างเตียง ใช้ผ้าขาวชุบน้ำอุ่นบิดจนหมาดแล้วค่อยๆ เช็ดคราบเปรอะเปื้อนอย่างเบามือ ใบหน้าจิ้มลิ้มดูอ่อนโยนยิ่งนัก จิ๋นซานจึงยอมจากไปแต่โดยดี
ชิงหยวนหันมากล่าวกับบุตรี "หลินเอ๋อร์ พ่อจะไปดูความเรียบร้อยเสียหน่อย หากท่านหมอมาก็ให้คนไปตามพ่อด้วย"
"เจ้าค่ะ" ชิงหลินหันมาตอบยิ้มๆ ชิงหยวนจึงก้าวออกจากห้องไป ปล่อยให้บุตรีอยู่ดูแลคู่หมั้น โดยมีสี่สาวใช้รั้งอยู่ด้านนอกเพื่อรอรับคำสั่ง
"พี่เหวิน ลุกไหวหรือไม่เจ้าคะ" เมื่อเช็ดหน้าเช็ดตาให้เขาจนสะอาดเอี่ยมอ่องแล้วก็ถึงเวลาต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขา ซึ่งนางไม่เคยทำให้บุรุษใดมาก่อนไม่ว่าจะในภพก่อนหรือภพนี้ เลยรู้สึกประหม่าและขัดเขินอย่างบอกไม่ถูก จึงลองถามดูเผื่อเขาทำเองได้
มู่หลิ่งเหวินพอได้ยินคำถามของนางจึงลืมตาขึ้นช้าๆ สบกับดวงตากลมโตที่มองลงมา พยักหน้าให้ครั้งหนึ่งแล้วใช้แขนแกร่งยันตัวจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับล้มไม่เป็นท่า พยายามอยู่หลายครั้งก็ล้มเหลวเสียทุกครั้งไป
"เอาเถิด ข้าจะช่วยท่านเองเจ้าค่ะ" ชิงหลินที่เฝ้าดูอยู่ตลอดอดรนทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากอาสาช่วยเช็ดตัวให้เขา ไม่รู้สักนิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ล้วนแต่เป็นการเสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น แม้จะบาดเจ็บหนักเอาการ แต่เพียงแค่ลุกขึ้นนั่งเหตุใดจะทำไม่ได้กันเล่า
กว่าจะช่วยให้เขาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงสำเร็จก็เล่นเอาร่างเล็กเหงื่อแตก เพราะเขาทำตัวอ่อนยวบราวกับคนหมดสติ ทำให้นางต้องออกแรงมากกว่าปกติหลายเท่า และการสัมผัสใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ยังสร้างความปั่นป่วนใจจนร่างกายร้อนรุ่มราวกับเป็นไข้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขที่ได้ดูแลเขา
ฝ่ายคนเจ็บก็มีอาการไม่ต่างกันนัก ใบหน้าหล่อเหลาซับสีแดงจางๆ ที่ผู้ใดได้เห็นย่อมคิดว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บ มีเพียงเขาเองเท่านั้นที่รู้ดีถึงสาเหตุที่แท้จริง
"นี่เจ้าค่ะ"
ความคิดหยุดลงเมื่อนางยื่นสิ่งหนึ่งมาตรงหน้าเขา มู่หลิ่งเหวินมองผ้าขาวที่บิดหมาดสลับกับมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่แดงระเรื่อ ดวงตากลมโตกลอกไปมาไม่ยอมสบตากับตน ดวงตาคมทรงเสน่ห์หรี่ลงเล็กน้อย
'อา...จะให้ข้าเช็ดตัวเองหรือ หึๆ' คิดพลางทำทีเป็นยื่นมือที่สั่นเทาไปหยิบผ้าจากมือนางมากำไว้หลวมๆ แล้วยกขึ้นจะเช็ดซอกคอตนเอง
"แขนไม่มีแรงหรือเจ้าคะ" ชิงหลินถามเมื่อเห็นมือที่ยกขึ้นแล้วตกลงและเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง "ไม่ต้องแล้ว ข้าจะเช็ดตัวให้ท่านเองก็แล้วกันเจ้าค่ะ" นางกล่าวแล้วฉวยผ้ามาถือไว้แทน เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นสายตาหวานเยิ้มน่าหลงใหลของเขาที่มองมา แค่นี้ก็เล่นเอานางเขินจะแย่แล้ว นี่ยังส่งยิ้มหวานมาให้อีกจนนางทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้าต่ำไม่มองเขาจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน ส่วนมือก็สาละวนเช็ดอยู่ที่เดียว
"อา...เจ้าจะเช็ดแค่ตรงนั้นหรือ" คนเจ็บอดที่จะเย้านางไม่ได้
"เอ่อ..." มือเรียวชะงักวูบ เงยหน้าที่แดงก่ำมองอีกฝ่ายก็เห็นเขาส่งยิ้มหวานมาให้อีก จึงรีบดึงมือกลับแต่ยังช้ากว่ามือหนาที่คว้ามือนางไว้ก่อน ดวงตาทั้งสองประสานกันนิ่งเนิ่นนาน ไม่มีใครหลบตาใคร
"หลินเอ๋อร์ พี่..." กล่าวพลางก้มหน้าลงช้าๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์ยังคงประสานกับดวงตากลมโตสุกใสราวดวงดาวบนท้องฟ้าของนางไม่ยอมคลาดไปแม้เพียงเศษเสี้ยวเวลา
"หลินหลิน พวกเรา...กลับมาแล้ว"
เสียงร้องของเจ้าพยัคฆ์น้อยพร้อมร่างเล็กสีขาวปลอดปุกปุยของสองจิ้งจอกน้อยทำให้ชิงหลินได้สติ นางรีบชักมือกลับแล้วลุกขึ้นไปหาทั้งสามตัวทันที สร้างความหัวเสียให้มู่หลิ่งเหวินไม่น้อย
"ฝากไว้ก่อนเถิดเจ้าสามมารน้อย"
"ไปไหนกันมาหรือ" นางไม่เจาะจงถามใคร
"หัวหน้าพาข้ากับพี่ใหญ่ไปเดินเที่ยว สนุกมากเจ้าค่ะ" เจ้าหมั่นโถวจิ้งจอกน้อยตัวน้องตอบนายใหม่ของมัน
"หัวหน้า?"
"ข้าเอง...หลินหลิน" เจ้าพยัคฆ์น้อยเชิดหัวกลมๆ เล็กๆ บอกนางด้วยท่าทางโอ้อวด ทำให้ชิงหลินมันเขี้ยวขยี้หัวมันแรงๆ เสียหลายทีแล้วเอ่ย
"เจ้านี่นะเป็นหัวหน้า"
"ฟานฟาน...มาก่อน เป็นหัวหน้า...ถูกต้องที่สุด" เจ้าพยัคฆ์น้อยสะบัดหัวแล้วเงยหน้าบอกนางด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตากลมเล็กสีเทาจับจ้องนางนิ่ง
"อืม มีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นก็...ยินดีด้วยหัวหน้าแก๊ง!" ชิงหลินยิ้มพร้อมกับปรบมือให้เจ้าพยัคฆ์น้อย
"แก๊ง...คืออันใด" เจ้าพยัคฆ์น้อยเอียงหัวถามนางตาใส เช่นเดียวกับเป่าเปาและหมั่นโถว สองจิ้งจอกน้อยมองหน้ากันแล้วเงยหัวมองนายใหม่ด้วยความสนใจใคร่รู้ความหมายของคำแปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
"หมายถึงกลุ่มคนที่ตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า อย่างเช่นแก๊งอันธพาลไงล่ะ" นางอธิบายอย่างใจเย็น
"ฟานฟาน...เข้าใจแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยผงกหัวด้วยความเข้าใจในสิ่งที่หลินหลินบอก
"หัวหน้าตั้งชื่อแก๊งกันเถิดขอรับ" เจ้าเป่าเปาน้อยเสนอความเห็น
"ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่" เจ้าหมั่นโถวน้อยสนับสนุนความเห็นของพี่ชาย
"อืม ตรงกับใจข้า แล้วจะตั้งชื่อแก๊งว่าอันใดดีล่ะ" เจ้าพยัคฆ์น้อยพยายามวางตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่ง 'หัวหน้าแก๊ง' แม้แต่คำพูดที่มักติดๆ ขัดๆ เช่นแต่ก่อนก็ไม่หลงเหลือให้ได้ยิน มันภูมิใจและพอใจมากกับความพยายามอย่างหนักในช่วงสองสามชั่วยามที่ผ่านมา
ฝ่ายชิงหลินมองหนึ่งพยัคฆ์น้อยกับสองจิ้งจอกน้อยสุมหัวกันอย่างเคร่งเครียดเป็นการเป็นงาน ก็อดเอ็นดูไม่ได้จนหลงลืมคนเจ็บไปเสียสนิท
"หลิน...เอ๋อร์…" เสียงเรียกลอดไรฟันของคนเจ็บที่นั่งพิงหัวเตียง ทำให้ชิงหลินสะดุ้งโหยง รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกราวกับยืนอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ
'แย่แล้ว!...ลืมไปเลย' นางคิดพลางค่อยๆ หันไปหาเจ้าของเสียงพร้อมกับส่งยิ้มเฝื่อนๆ ไปให้
"ฮึ!" คนเจ็บแค่นเสียงออกมาอย่างน้อยใจระคนหงุดหงิด เมื่อเห็นนางให้ความสำคัญแก่เจ้าสามมารน้อยจนหลงลืมคู่หมั้นที่บาดเจ็บไปเสียได้ มันน่าจับมาฟาดทั้งเจ้าสามมารน้อยจอมขัดขวางทั้งเจ้าของที่ไม่รู้จักแยกแยะว่าใครสำคัญกว่า
ชิงหลินเดินกลับมานั่งข้างเตียงคนเจ็บด้วยความหวาดหวั่นใจ ปล่อยให้เจ้าพยัคฆ์น้อยกับสองจิ้งจอกน้อยนั่งล้อมวงปรึกษาหารือถึงชื่อแก๊งของตัวเอง เพราะลำพังรับมือกับคนเจ็บที่กำลังงอนก็ตึงมือแล้ว คิดพลางเหลือบตามองคนเจ็บจึงเห็นเขาเบือนหน้าไปทางอื่น สองมือกอดอกหลวมๆ ก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา
'เฮ้อ! โตจนป่านนี้แล้วยังจะมางอนเหมือนเด็กๆ อีก'
คนเจ็บปรายตามองนางด้วยหางตา ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ คิ้วเข้มพลันขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นรอยเขี้ยวที่ลำคอขาวผ่องของนาง จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "หลินเอ๋อร์ คอเจ้า..."
"อ๋อ รอยเขี้ยวของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางเจ้าค่ะ" มือเรียวยกขึ้นลูบลำคอพร้อมกับตอบเสียงเรียบ ใบหน้าจิ้มลิ้มไร้รอยกังวลใดๆ ผิดกับอีกคนที่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสับสน
'นางถูกปีศาจจิ้งจอกเก้าหางกัด? แล้วนางจะเป็นเช่นไร จะมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ หากนางเป็นอันตรายขึ้นมาข้าจะช่วยนางได้อย่างไร' ยิ่งคิดใบหน้าหล่อเหลางดงามก็ยิ่งดำมืดลงเรื่อยๆ
"เจ็บมากหรือเจ้าคะ" หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดี
"พี่ทนได้" คนเจ็บชะงักวูบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าน้อยใจนางอยู่ น้ำเสียงยามที่ตอบจึงเจือความน้อยใจอยู่มาก แต่ชิงหลินแสร้งทำเป็นเมิน ก่อนจะหยิบผ้าบิดหมาดแล้วเอ่ย
"เช่นนั้น รีบเช็ดตัวดีกว่าเจ้าค่ะ ท่านจะได้พักผ่อน"
ร่างเล็กเริ่มเช็ดตัวให้เขาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีผิดกับครั้งแรกจนอดสงสัยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ และตลอดเวลาที่เช็ดตัวให้เขามีหลายครั้งที่ลมหายใจของเขาเป่ารดใบหน้าและต้นคอ สร้างความปั่นป่วนและร้อนรุ่มแปลกๆ จนอยากจะล้มเลิกแล้วให้คนอื่นมาทำแทน แต่ก็ไม่อยากถูกเขาต่อว่าว่าไม่รักษาคำพูด
เมื่อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเรียบร้อย ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เฟิ่งอิงพาหมอมาถึงพอดี โดยมีชิงหยวนเดินนำหมออาวุโสเข้ามาในห้อง
หมออาวุโสรีบเข้ามาตรวจจับชีพจรของท่านแม่ทัพอยู่พักใหญ่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีดีนัก ชิงหยวนที่ยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมด้วยบุตรีเห็นดังนั้นก็เป็นกังวลขึ้นมา ก่อนจะขยับตัวเอ่ยถาม "เป็นเช่นไรบ้าง"
หมออาวุโสลูบเคราตัวเองพลางเอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด "อา...ยากยิ่งๆ"
'นี่มันพลังอันใดกัน ทำให้ลมปราณปั่นป่วนได้มากมายถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่สร้างความเสียหายแก่อวัยวะภายใด เลือดคั่งที่น่าจะเกิดจากการถูกอัดกระแทกด้วยพลังมหาศาลก็ไม่ปรากฏให้เห็น ช่างประหลาดยิ่งนัก'
"ความหมายของท่านหมอคือ..." ชิงหยวนปรายตามองคนเจ็บแล้วหันมาถามหมออาวุโส
"ขอบอกตามตรง ข้าไม่เคยพบหรือรักษาอาการเช่นนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าจะเริ่มรักษาจากตรงไหนก่อนดี ท่านคงต้องเชิญหมอท่านอื่นมารักษาแล้ว ขออภัยที่ช่วยอันใดไม่ได้ ข้าขอตัวก่อน" เขากล่าวพร้อมกับค้อมศีรษะให้แม่ทัพหนุ่ม แล้วหันมาค้อมศีรษะให้ชิงหยวน ชิงหยวนจึงรีบค้อมศีรษะกลับตามมารยาท
"ท่านลุง ข้าไม่เป็นไรขอรับ" มู่หลิ่งเหวินกล่าวหลังจากที่หมอาวุโสกลับไปแล้ว
"ยามนี้อย่าเพิ่งพูดอันใดเลย พักก่อนเถิดหลานชาย" ชิงหยวนบอกด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าปกติ หารู้ไม่ว่าคนฟังรับรู้ได้ถึงกระแสเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อยของอีกฝ่าย
"ลุงจะสั่งให้คนของหน่วยพยัคฆ์ดำเสาะหาหมอเก่งๆ มารักษาเจ้าให้จงได้" ชิงหยวนรับปากอย่างหนักแน่น
"ทำให้ท่านลุงต้องลำบาก ข้าละอายใจยิ่งนักขอรับ"
"ลำบากอันใดกัน เจ้าก็เปรียบเสมือนคนในครอบครัว ไม่ต้องคิดให้วุ่นวายไป นอนพักเสียก่อนเถิด" ชิงหยวนบีบไหล่หนาเพื่อปลอบใจ
"หลินเอ๋อร์ ดูแลพี่เหวินของเจ้าด้วย" ครานี้ผู้เป็นบิดาหันมาบอกบุตรีที่เอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมขยับหรือแม้แต่เอ่ยคำ ไม่รู้ว่านางคิดอันใดอยู่
"ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินตอบพลางชำเลืองมองคู่หมั้นก็เห็นเขามองอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาอีกแล้ว นางไม่รอช้ารีบเข้าไปนั่งข้างเตียง หยิบผ้าเช็ดหน้าจุ่มน้ำอุ่นแล้วบิดหมาดๆ มาซับเหงื่อให้เขา ยอมรับว่าเครียดมากจนเผลอกัดริมปาก น้ำตาก็ทำท่าจะไหลออกมาเสียให้ได้ เมื่อคิดว่าเขาอาจจะตายจากไปโดยที่นางทำอะไรไม่ได้ เหมือนคราวพ่อของนางในภพเก่า
"หลินเอ๋อร์ เป็นอันใดไป กลัวพี่ตายหรือ" แม่ทัพหนุ่มเย้าพร้อมกับจับมือเรียวขาวนุ่มนิ่มข้างที่ซับเหงื่อให้ วางลงบนอกซ้ายของตนแล้ววางมือทับ ก่อนจะบีบมือเรียวขาวเบาๆ เพื่อต้องการสื่อว่าตนยังมีชีวิตอยู่
ชิงหยวนถอยฉากออกมาพร้อมกับโบกมือไล่ทุกคนให้ออกไป บัดนี้จึงเหลือเพียงคู่รักกับอีกสามชีวิตที่ยกเลิกการประชุมชั่วคราว หันมาจัดการกับอาหารอันโอชะจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงรวมกลุ่มประชุมกันต่อ
"ยังจะมีใจมาพูดล้อเล่นอีกนะเจ้าคะ" นางดุเขาเสียงสั่น ไม่ชอบใจที่เขาเอาความเป็นความตายมาล้อเล่น
"อา...หรือว่าที่เจ้าโกรธเพียงเพราะกลัวว่าจะเป็นม่าย คู่หมั้นตาย" ร่างสูงเย้านางต่อ เพราะไม่อยากเห็นนางเศร้าเสียใจ ความปรารถนาของเขาคือได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของนาง ไม่ใช่ใบหน้าอมทุกข์เช่นในยามนี้
"ถ้าท่านยังพูดจาล้อเล่นเช่นนี้อีก ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว" ชิงหลินคาดโทษเขาด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
"อา...พี่ขอโทษ พี่เพียงอยากเห็นเจ้ายิ้ม ไม่ใช่ทำหน้าเศร้าอมทุกข์เช่นนี้" เอ่ยขอโทษเสียงหวาน มือหนาลูบไล้ใบหน้าจิ้มลิ้มของนางแผ่วเบาด้วยความทะนุถนอม
"นอนพักสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ"
คนเจ็บยิ้มอย่างมีความสุข หลับตาลงช้าๆ มือหนากุมมือเล็กไว้ไม่ยอมปล่อย ด้วยเกรงว่าหากปล่อยมืออาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก
เจ้าพยัคฆ์น้อยเดินเข้ามายืนใกล้ๆ มีสองจิ้งจอกน้อยอยู่ข้างหลัง มันร้องถามเมื่อเห็นนางเอาแต่นั่งถอนใจด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ "หลินหลินเป็นอะไร ไม่สบายหรือ"
พวกมันปรึกษากันอยู่นานจึงได้ชื่อแก๊งที่ถูกใจ 'แก๊งฟานเป่าโถว' ก็คือชื่อแก๊งของพวกมัน ด้วยการนำเอาชื่อของแต่ละคนมารวมกัน โดยไม่สนใจถึงความหมายแต่อย่างใด
"เปล่า ข้าแค่เป็นห่วงเขา" นางก้มลงมองทั้งสามพร้อมกับส่งยิ้มเศร้าให้
"นายหญิง ชายผู้นี้รักษาแบบธรรมดาไม่ได้ขอรับ" เป่าเปาน้อยร้องบอกนายใหม่ของมัน
"นายหญิง? เรียกข้าว่าหลินหลินแบบเดียวกับฟานฟานก็ได้ ข้าไม่ว่าหรอก" ชิงหลินยิ้มหวานแล้วเอ่ย "แล้วที่ว่ารักษาแบบธรรมดาไม่ได้...หมายความว่าอย่างไร"
"ชายผู้นี้ถูกท่านแม่ทำร้าย มีไอของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางห่อหุ้มอยู่ มีเพียงท่านแม่กับนาย...เอ่อ...หลินหลินเท่านั้นที่สามารถรักษาให้หายได้ขอรับ" เป่าเปาน้อยชี้แจง
"เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ เจ้าบอกว่าข้าสามารถรักษาเขาได้หรือ"
"ถูกต้องขอรับ" เป่าเปาน้อยตอบ
"ข้าไม่เข้าใจ ทำไมข้าถึงรักษาเขาได้ล่ะ"
"เพราะหลินหลินถูกท่านแม่กัด ทำให้เลือดของหลินหลินมีไอปีศาจของท่านแม่ไหลเวียนอยู่ด้วยขอรับ" เป่าเปาน้อยตอบข้อสงสัย
"อา...ข้าควรดีใจหรือเสียใจดีเล่า"
"หลินหลิน ไม่ต้องกังวล ไม่มีอันตรายหรอกขอรับ" เป่าเปาน้อยร้องบอกเมื่อเห็นนายใหม่ของมันทำท่ากลุ้มใจ
"เรื่องนี้พักไว้ก่อน ยามนี้ช่วยบอกวิธีรักษามาก่อนเถิด"
ดูจากอาการแล้วจะมัวชักช้าเสียเวลาเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องรีบช่วยเขาก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
"ผสมเลือดสามหยดของหลินหลินกับดอกบัวหิมะสดหรือแห้งก็ได้หนึ่งดอก แล้วเคี่ยวนานหนึ่งชั่วยาม ดื่มสามเวลาก่อนอาหารเจ็ดวันก็หายขอรับ"
"ต้องใช้เลือดข้าอีกแล้วหรือ"
'อะไรกันนักกันหนา เอะอะก็ต้องใช้เลือด นี่เลือดข้าเป็นยารักษาสารพัดโรคหรือไง'
"ยังมีอีกขอรับ"
"หา? ยังมีอีกหรือ"
"ต้องทำซ้ำเช่นนี้ทุกวันขอรับ วันละสามเวลา" เป่าเปาน้อยเตือนนายใหม่ด้วยความหวังดี
"หมายความว่าต้องใช้ดอกบัวหิมะยี่สิบเอ็ดดอก เลือดของข้าอีกหกสิบสามหยด?"
"ถูกต้องขอรับ"
เมื่อได้ฟังก็รู้สึกกลัวขึ้นมา แต่พอเห็นใบหน้ากับร่างที่กระตุก และมือหนาที่สั่นเทาอยู่ตลอดเวลาเพราะความเจ็บปวด ก็ทำให้นางเกิดแรงฮึดสู้ อยากจะรีบช่วยให้เขาหายเจ็บปวดโดยเร็ว
'เอาน่า แค่เลือดหกสิบสามหยดเอง!'