ณ จวนเสนาบดีมู่ ราวหนึ่งชั่วยามก่อน
หย่าฮุ่ยจื่อหรือมู่ฮูหยินลงมาสั่งการบ่าวไพร่ให้ตกแต่งเรือนจันทราเสียใหม่ด้วยตนเอง ใบหน้าอิ่มเอิบดูมีความสุขแต่ก็แฝงความกังวล เพราะการมาเยือนของหลินเอ๋อร์ว่าที่ลูกสะใภ้คนแรกของสกุลมู่ครั้งนี้เพื่อพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บซึ่งต่างจากทุกครั้ง
"ท่านแม่..." มู่หลิ่งเฟิงเอ่ยเรียกมารดา เด็กน้อยอยู่ในอาภรณ์สีขาว ปักลายสัตว์มงคลสีท้องฟ้าที่ปลายเสื้อคลุมตัวยาว เดินยิ้มเข้ามาหามารดาที่นั่งจิบน้ำชาไปพลางมองดูบ่าวจัดห้องไปพลางอย่างอารมณ์ดี
"มีอันใดกับแม่หรือเฟิงเอ๋อร์" นางเอ่ยถามบุตรคนเล็ก
"พี่ใหญ่กับพี่หลินเอ๋อร์จะมาถึงยามใดขอรับ" เด็กชายย้อนถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาคมคล้ายผู้เป็นพี่ชายเป็นประกายเจิดจ้า
"อืม น่าจะราวยามซื่อกระมัง" นางคาดการณ์
"ข้าอยากให้ถึงยามซื่อเร็วๆ จังเลยขอรับ ข้าคิดถึงพี่หลินเอ๋อร์" เด็กน้อยกระซิบบอกมารดา ใบหน้าเล็กๆ แดงเรื่อด้วยความขัดเขิน
"แม่เองก็เช่นกัน พี่หลินเอ๋อร์มาคราวนี้เพื่อพักรักษาตัว เจ้าจะช่วยแม่หรือไม่" ผู้เป็นมารดาถามลองใจบุตรคนเล็ก
"แน่นอนขอรับ ข้าจะช่วยท่านแม่ดูแลพี่หลินเอ๋อร์เอง" มู่หลิ่งเฟิงตอบรับอย่างหนักแน่น
"เป็นเช่นไรบ้าง เตรียมพร้อมแล้วหรือ" มู่หลิ่งฟู่ในอาภรณ์สีเทาเข้มเดินเข้ามาสมทบกับฮูหยินและบุตรคนเล็ก
"เจ้าค่ะท่านพี่" นางตอบสามียิ้มๆ
"ท่านพ่อ ข้าจะช่วยท่านแม่ดูแลพี่หลินเอ๋อร์เองขอรับ" คุณชายน้อยเสนอตัวกับบิดาที่เดินมานั่งข้างๆ ตน
"โอ้! ดีๆ" มู่หลิ่งฟู่พยักหน้าชอบใจ ลูบศีรษะเล็กๆ ของบุตรคนเล็ก
มู่ฮูหยินเห็นแล้วก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ราวสองวันก่อน ขณะที่นางและสามีปรึกษาเรื่องที่ได้รับการไหว้วานจากสหายคนสนิทที่รักกันดุจพี่น้อง ให้ช่วยดูแลบุตรีและคฤหาสน์สกุลชิง เนื่องจากทางเรือนพสุธาเกิดเรื่องขึ้น ทำให้พวกเขากลับมาพร้อมบุตรีไม่ได้อยู่นั้น บุตรคนโตของนางก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
"ท่านพ่อท่านแม่" มู่หลิ่งเหวินประสานมือเคารพบิดามารดา
"อ้าว มีเรื่องอันใดหรือ" บิดาเอ่ยถาม
"คือข้า...ข้าอยากดูแลหลินเอ๋อร์ขอรับ" เขาแจ้งแก่บิดามารดาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนปรากฏริ้วแดงจางๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์สบกับบิดาแน่วแน่ไร้ซึ่งความลังเล ด้วยผ่านการใคร่ครวญไตร่ตรองมาเป็นร้อยครั้งพันครั้ง
"เจ้ามั่นใจแล้วหรือ" บิดาถามย้ำ
"นั่นสิ อาเหวิน เจ้าต้องการตบแต่งนางจริงหรือ ไม่ใช่ทำเพราะเห็นแก่พ่อกับแม่?" มู่ฮูหยินถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ทั้งที่ภายในใจปลาบปลื้มยินดีกับถ้อยคำของบุตรจนแทบจะระงับอาการไว้ไม่อยู่ ด้วยเป็นความปรารถนาที่เฝ้ารอมาตลอด
"ตำแหน่งฮูหยินแห่งจวนแม่ทัพมู่มีไว้เพื่อนางผู้เดียวเท่านั้นขอรับ" บุตรคนโตตอบกลับด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
"ท่านแม่...ท่านแม่ คิดอันใดอยู่หรือขอรับ"
มู่ฮูหยินตื่นจากภวังค์ ก่อนจะยิ้มให้บุตรคนเล็กพลางส่ายหน้าแทนคำตอบ
ล่วงเข้ายามซื่อ
เมื่อขบวนรถม้านำโดยมู่หลิ่งเหวินมาถึงประตูหน้าของจวนเสนาบดีมู่ จางมู่หลง รองแม่ทัพหนุ่มร่างสูงใหญ่ดูองอาจขัดกับใบหน้าที่งดงามคล้ายสตรีก็ยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว พร้อมเหล่าทหารและบ่าวไพร่ชายหญิงกว่าห้าสิบคน
"ท่านแม่ทัพ" จางมู่หลงทำความเคารพแม่ทัพหนุ่มที่กระโดดลงจากหลังเจ้าทาเสว่มายืนอยู่เบื้องหน้าตน ก่อนที่ทหารและบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ข้างหลังจะแสดงความเคารพตาม
"อืม" มู่หลิ่งเหวินพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหมุนกายสูงเดินไปหยุดข้างรถม้าของคู่หมายที่เงียบสนิทไร้การเคลื่อนไหวจนน่าประหลาดใจ คิ้วเข้มเลิกขึ้น จากนั้นก็ส่งเสียงฮึ เมื่อเปิดผ้าม่านหน้าต่างรถม้าสีแดงขึ้น ก็พบภาพหนึ่งสตรีหนึ่งพยัคฆ์กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา มันช่างติดตราตรึงใจแม่ทัพหนุ่มยิ่งนัก
"ให้รถม้าเข้าไปด้านในดีหรือไม่ขอรับ" จางมู่หลงเอ่ยถามเมื่อเห็นคู่หมายของแม่ทัพหนุ่มในชุดบุรุษสีดำเอียงศีรษะพิงข้างรถม้า บนตักมีพยัคฆ์น้อยที่ดูคล้ายแมวตัวอ้วนนอนขดตัวกลมอย่างสบายอุรา
"ข้าจะอุ้มนางไปเอง" มู่หลิ่งเหวินตอบพลางใช้ตัวบังอีกฝ่ายที่ยืนชะเง้อมองเข้ามาในรถม้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"ขอรับ" จางมู่หลงรับคำอย่างงุนงงพลางมองแม่ทัพหนุ่มที่โน้มตัวเข้าไปในรถม้า เพียงครู่เดียวร่างบอบบางของคุณหนูชิงก็ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งของแม่ทัพหนุ่ม สองแขนเรียวเกี่ยวคอคู่หมายไว้หลวมๆ ทั้งที่ยังหลับอยู่ มีเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ตื่นแล้วนั่งอยู่บนหน้าท้องแบนราบของนาง หันมองไปโดยรอบคล้ายกำลังสำรวจอาณาเขตแห่งใหม่ ช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาของรองแม่ทัพหนุ่ม
"ท่านแม่ทัพ ข้าขอตัวกลับไปคฤหาสน์สกุลชิงก่อน แล้วจะกลับมาก่อนค่ำ ฝากคุณหนูด้วยนะขอรับ" เฟิ่งอิงกล่าวกับแม่ทัพหนุ่ม ดวงตาคมเรียวดุเหลือบมองคุณหนูครู่หนึ่งอย่างเป็นห่วง
"อืม...ไปเถิด" กล่าวจบก็หมุนกายสูงเดินนำเข้าไปในจวนทันที ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของเหล่าสตรีน้อยใหญ่ที่สนใจมารอดูหน้าแม่ทัพหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉี และชาวบ้านที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่นที่อยู่รอบๆ
"บุรุษผู้นั้นเป็นใครกัน"
"นั่นสิ เหตุใดแม่ทัพหนุ่มต้องอุ้มด้วยตนเองเช่นนั้น"
"หรือว่า...เหตุผลที่ไม่ยอมตบแต่งฮูหยินเสียทีเป็นเพราะเหตุนี้"
"ว้าย ที่แท้ก็เป็นพวกบุรุษที่นิยมตัดแขนเสื้อหรอกหรือ"
"ไอหยา ข้าอุตส่าห์หลงชื่นชมมาเสียตั้งนาน"
"ฮึ!" มู่หลิ่งเหวินแค่นเสียงไม่ใส่ใจกับเสียงนินทาเหล่านั้น ก้มมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่หลับตาพริ้ม ขยับตัวเข้าหาเหนี่ยวรั้งลำคอของตนให้ลงมา พลางส่งเสียงงึมงำเป็นระยะๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เขาชื่นชอบถึงขั้นหลงใหลลอยเข้ามาแตะจมูก ทำเอาเลือดในกายสูบฉีดไปทั่วร่าง ลมปราณปั่นป่วนจนแทบแตกซ่าน อกข้างซ้ายเต้นแรงรัวและเร็วจนน่าตกใจ
'นางช่างเป็นสตรีที่อันตรายต่อหัวใจข้ายิ่งนัก'
จางมู่หลงเดินตามแม่ทัพหนุ่มไปเงียบๆ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยอัดแน่น เพราะข่าวที่ได้รับมาว่านางได้รับบาดเจ็บถูกโบยที่หลังใช่หรือไม่ แล้วอาการที่ควรจะมีไปไหนเสียเล่า เจ็บปวด? ครวญคราง? ไข้ขึ้น? สีหน้าซีดเซียว? ไม่ปรากฏให้เห็นสักอย่าง นี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วยังท่าทีที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของท่านแม่ทัพ จากดำเป็นขาวในเวลาอันสั้นนี่อีก
"อาเหวิน! น้องเป็นอันใดไปหรือ แล้วเหตุใดจึงอุ้มน้องมาเช่นนี้" มู่ฮูหยินถลาเข้ามาหาบุตรคนโตด้วยความตกใจระคนเป็นห่วง
"ท่านแม่อย่าห่วง นางเพียงหลับไปเท่านั้นขอรับ" มู่หลิ่งเหวินตอบเบาๆ เพราะไม่อยากให้นางรีบตื่น
"พี่ใหญ่ นี่คือ..." มู่หลิ่งเฟิงจ้องเจ้าพยัคฆ์น้อยที่นอนอยู่บนหน้าท้องของว่าที่พี่สะใภ้เขม็งด้วยความสนใจระคนตื่นเต้น
"ตัวปัญหา ชอบก่อเรื่อง" เขานินทาเจ้าพยัคฆ์ต่อหน้ามัน
"ฮื่อออ" เจ้าพยัคฆ์น้อยคล้ายรู้ตัวว่าถูกนินทาจึงหมุนตัวเข้าหาอกเจ้าร่างยักษ์ เงยหัวกลมๆ เล็กๆ ส่งเสียงขู่ไม่พอใจ พลางยกอุ้งเท้าขึ้นตะปบใบหน้าอีกฝ่ายหลายหนแต่ไร้ผล เพราะแม่ทัพหนุ่มระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ทำให้มันยิ่งหงุดหงิดและอับอายมากขึ้นอีกสองส่วน
"อืม"
การกระทำของมันปลุกให้ชิงหลินลืมตาตื่น นางกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชิน จากนั้นดวงตากลมโตก็พลันเบิกกว้างเป็นไข่ห่าน เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนางจึงรีบดึงมือที่โอบคอเขากลับมากอดเจ้าพยัคฆ์น้อยแทน
"อะ...เอ่อ ช่วยวางข้าลงก่อนเถอะเจ้าค่ะ" นางกระซิบบอกเขา ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนจากคนเหล่านั้น
"ฮึ ก็ได้" มู่หลิ่งเหวินวางคู่หมายลงช้าๆ อย่างไม่เต็มใจนัก มือข้างหนึ่งโอบเอวคอดกิ่วของนาง แม้จะพยายามเบี่ยงตัวหลบก็หาพ้นไม่ มือเขาเกาะติดหนึบอย่างกับปลาหมึกจนนางถอดใจปล่อยให้เขากอด
"หลินเอ๋อร์คารวะท่านลุงมู่ท่านป้ามู่เจ้าค่ะ" ชิงหลินยอบกายเคารพมู่หลิงฟู่กับฮูหยิน ที่กลับไปนั่งที่เดิมของตนเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นคุณชายน้อยมู่
"เจ้าผิดแล้ว" ร่างสูงที่ยืนโอบเอวนางอยู่เอ่ยขึ้น
"ผิดอะไรเจ้าคะ" ชิงหลินเอียงตัวเงยหน้าขึ้นมองเขา
"ไม่ใช่ท่านลุงมู่ท่านป้ามู่" แม่ทัพหนุ่มหลุบตาลงมองนางอย่างมีความหมาย
"เอ๋? ท่านพูดเรื่องอะไร ถ้าไม่ให้ข้าเรียกท่านลุงมู่ท่านป้ามู่แล้วจะให้ข้าเรียกอย่างไร" คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ
"ต้องเรียกว่าท่านพ่อท่านแม่สิขอรับพี่หลินเอ๋อร์ ข้าพูดถูกหรือไม่ขอรับพี่ใหญ่" คุณชายน้อยเป็นผู้เฉลยแทนพี่ชายของตน
มู่หลิ่งเหวินยิ้มให้น้องชายแทนคำตอบพร้อมกับโอบกระชับเอวคอดกิ่วแน่นขึ้น
"เอ๋? เอ่อ..." ชิงหลินไปต่อไม่เป็นเมื่อโดนจู่โจมกะทันหัน ครั้นจะเอ่ยปากปฏิเสธแต่พอเห็นสายตาของผู้อาวุโสทั้งสองที่มองมาอย่างคาดหวังและเห็นด้วยกับลูกชาย ก็ทำเอาอึ้งจนพูดไม่ออก นี่มัน...มัดมือชกกันชัดๆ เจ้าเล่ห์นัก นางมองเขาตาเขียว ยิ่งเห็นเขายักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ก็แทบอยากจะกระโดดข่วนหน้าหล่อเหลานั่นให้เละ
"เอาละๆ รีบพาน้องไปพักก่อนเถิด เรื่องอื่นค่อยว่ากัน" ประมุขจวนโบกมือบอกบุตรชายเมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีท่าทีลำบากใจ
"ขอรับท่านพ่อ"
"เช่นนั้นหลินเอ๋อร์ขอตัวเจ้าค่ะ" ชิงหลินยอบกายลา "อุ๊ย ท่านทำอะไร ปล่อยข้าลงนะ ใกล้แค่นี้ข้าเดินเองได้" นางอุทานเสียงหลง รีบใช้แขนข้างหนึ่งโอบคอเขาอย่างลืมตัว อีกแขนก็อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อย
"อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่อยากถูกลงโทษต่อหน้าคนเยอะๆ" คำพูดนี้ได้ผลเพราะร่างเล็กหยุดดิ้นและตัวแข็งทื่อทันทีเมื่อเขากล่าวจบ "หึๆ ต้องให้ขู่" มู่หลิ่งเหวินยิ้มพอใจ
"พี่หลินเอ๋อร์ ข้าขออุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยตัวนี้ให้ท่านได้หรือไม่ขอรับ" คุณชายน้อยเสนอตัว ใบหน้างดงามระบายด้วยความหวัง
"ฟานฟาน เฟิงเอ๋อร์อยากอุ้มเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร" ชิงหลินกระซิบถามเบาๆ
"ฟานฟาน...เด็กดี เชื่อฟัง...หลินหลิน เชื่อฟัง...หลินหลิน" เจ้าพยัคฆ์น้อยผงกหัว ยอมให้เด็กน้อยอุ้ม
"อา...ขอบคุณขอรับ" คุณชายน้อยยิ้มกว้างอย่างดีใจ รับเอาเจ้าพยัคฆ์น้อยมากอดไว้แนบอก พลางใช้มือลูบหัวมันเบาๆ
มุมปากมู่หลิ่งเหวินกระตุก หงุดหงิดเจือริษยาเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าพยัคฆ์น้อยยอมให้น้องชายของตนอุ้มแต่โดยดี ผิดกับตนที่พบกันทีไรเป็นต้องแยกเขี้ยวใส่ มันน่านัก!
"ไปได้แล้ว" มู่ฮูหยินกล่าวกับบุตรทั้งสองเสียงเข้ม พร้อมกับเดินนำทั้งสามตรงไปยังเรือนจันทราทันที
"มีอันใดหรือมู่หลง" ประมุขจวนเอ่ยถามรองแม่ทัพหนุ่มที่เป็นทั้งสหายและองครักษ์ของบุตรคนโต โดยควบสามตำแหน่งในเวลาเดียวกัน
"เอ่อ...เรียนนายท่าน ข้าเพียงแต่มีเรื่องสงสัยเล็กน้อยขอรับ" จางมู่หลงประสานมือตอบ
"สงสัย? เรื่องคู่หมายของลูกข้า?" ประมุขจวนถามหยั่งเชิงรองแม่ทัพหนุ่ม
"ขอรับ"
"เรื่องที่นางดูปกติไร้ซึ่งความเจ็บ ทั้งที่เพิ่งผ่านการถูกโบยจนสลบ?"
"ขอรับ ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ท่าทีของคุณชายใหญ่ที่ดูอย่างไรก็แปลก ตามธรรมดาแล้วต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลคนเจ็บเป็นพิเศษ แล้วเหตุใดคุณชายใหญ่จึงกระทำคล้ายลืมเลือนเรื่องเหล่านี้ไปได้"
"ที่วังองค์รัชทายาทอาจจะมียาดียาวิเศษที่เราไม่เคยรู้ว่ามีก็เป็นไปได้" มู่หลิ่งฟู่คาดเดา
จางมู่หลงจนถ้อยคำที่จะกล่าวต่อ
"อย่างไรก็ฝากเจ้าเป็นหูเป็นตาแทนข้าด้วย" มู่หลิ่งฟู่สั่งการ
"ขอรับนายท่าน" จางมู่หลงประสานมือรับคำสั่ง เขาเข้าใจดีว่านอกจากจะให้คอยดูแลความปลอดภัยแล้ว ยังต้องคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวต่างๆ ของเจ้าของเรือนจันทราด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อทั้งสามกับหนึ่งพยัคฆ์น้อยออกมาจากเรือนแสงจันทร์ นำโดยมู่ฮูหยินและคุณชายน้อยที่อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อย ตามด้วยแม่ทัพหนุ่มที่อุ้มคู่หมาย ปิดท้ายด้วยบ่าวหญิงวัยละอ่อนอีกสี่นาง
"หลับหรือ" เขาก้มลงศีรษะกระซิบถามสตรีที่อยู่ในอ้อมแขน นางหลับตานิ่งไร้การเคลื่อนไหว สองมือสอดประสานกันอยู่บนหน้าท้องแบนราบ
ชิงหลินไม่ตอบ ทำเนียนแกล้งหลับดีกว่าต่อปากต่อคำกับเขา อีกอย่าง นางไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี เกิดมาก็เพิ่งจะโดนจีบโดนตื๊อแบบนี้เป็นครั้งแรก อย่าว่าแต่จีบเลย แม้แต่โดนแซวก็ยังไม่เคย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่หน้าตานางก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่มากมายเสียหน่อย ก็แค่หน้ากลมเป็นซาลาเปา ตาชั้นเดียว ขนคิ้วขนตาบางจนแทบจะนับเส้นได้ จมูกแบนนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง!
มู่หลิ่งเหวินยิ้มมุมปาก รู้เท่าทันลูกไม้ตื้นๆ ของนาง 'หึๆ แกล้งหลับหรือ'
"ว้าย! แหก!" ชิงหลินอุทานด้วยความตกใจ ตาโตเมื่อจู่ๆ เขาก็คลายอ้อมแขน คล้ายจะปล่อยให้นางตกลงพื้นจนนางผวาเฮือก รีบตวัดแขนที่อยู่ด้านนอกโอบคอเข็งแรงของเขาอย่างลืมตัว ส่วนอีกแขนก็คว้าจับอกเสื้อของเขาไว้แน่นจนเกิดรอยยับย่น
"หึๆ ผู้ใดสั่งให้เจ้าแกล้งหลับกันเล่า" มู่หลิ่งเหวินหลุบตาลง มุมปากเหยียดยิ้มขบขันกับสิ่งที่นางอุทานออกมา อืม...แหก? หรือว่าจะเป็นรหัสลับ?
ยิ่งทำให้นางโมโหจนเลือดขึ้นหน้า อดรนทนไม่ไหวจึงหยิกเนื้อเหนืออกขวาของเขาแล้วบิดเต็มแรง "นี่แน่ะ"
"อึก!" เขาสะดุ้งเล็กน้อย รู้สึกแสบๆ คันๆ บริเวณที่ถูกนางเอาคืน พลางก้มมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังอมยิ้มคล้ายสาแก่ใจที่แก้แค้นได้ ก็ยิ่งกระตุ้นความอยากแกล้งมากขึ้นไปอีก มุมปากยกขึ้นยิ้มเจ้าเล่ห์ คล้ายพยัคฆ์กำลังหยอกล้อเหยื่อ แกล้งยกท่อนแขนเข้าหาตัว เป็นเหตุให้ร่างของนางพลิกมาแนบชิดไปกับลำตัวช่วงบนของตนจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
"ว้าย! แหกแหก!" เป็นอีกครั้งที่ชิงหลินอุทานออกมาด้วยความตกใจ
"หึๆ ฮ่าๆๆ" มู่หลิ่งเหวินสุดจะกลั้น หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สร้างประหลาดใจแก่มารดา น้องชาย และบ่าวหญิงทั้งสี่ ตลอดจนบ่าวคนอื่นที่ทำงานอยู่ในบริเวณใกล้ๆ จนต้องหันมามอง
ชิงหลินกำลังโมโหที่ถูกแกล้ง แล้วยังมาถูกหัวเราะเยาะอีก พอตั้งสติได้ก็กัดต้นแขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเต็มแรง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยเมื่อเขาหยุดหัวเราะและไม่เดินต่อ ความเงียบและนิ่งของเขาทำให้นางใจคอไม่ดี รู้สึกหวาดหวั่นใจขึ้นมา จึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา
"เหตุใดจึงหยุดกัดเสียเล่า หรือว่าหายโกรธข้าแล้ว" มู่หลิ่งเหวินยิ้มให้นาง ดวงตาคมทรงเสน่ห์ทอดมองนางที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน ไม่คิดโกรธเคืองหรือถือสาหาความเพราะตนไปหัวเราะเยาะนางก่อน ที่นางกัดก็สมควรแล้ว "ข้องใจอันใดหรือ" เขาถามแล้วออกเดินต่อเมื่อเห็นนางเอาแต่จ้องตน
"ไม่มีเจ้าค่ะ รีบไปเถอะ ข้าเพลียแล้ว อยากพักผ่อนเจ้าค่ะ" นางโกหกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งคืออยากหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ทำให้หัวใจทำงานหนักอย่างนี้เสียที
"พี่ใหญ่ พี่หลินเอ๋อร์เป็นอันใด เหตุใดจึงหน้าแดงนัก" คุณชายน้อยหันมาถามพี่ชาย
"สงสัยพี่หลินเอ๋อร์ของเจ้าจะมีไข้เสียแล้ว" ผู้เป็นพี่ชายกล่าวพร้อมกับมองใบหน้าแดงก่ำราวผลอิงเถาของนางอย่างพึงพอใจ จึงถูกหญิงสาวส่งค้อนให้ ที่นางเป็นอย่างนี้ก็เพราะเขานั่นแหละ คิดแล้วก็น่าโมโหนัก คุณชายน้อยเอียงศีรษะมองครู่หนึ่งแล้วจึงหมุนตัวกลับรีบเดินไปหามารดาอย่างรวดเร็ว คล้ายไม่อยากขัดขวางความสุข
"จริงสิเจ้าคะ ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าทราบเรื่องที่ข้าบาดเจ็บหรือไม่" ชิงหลินเอ่ยถาม
"อยากให้ข้าบอกหรือ" อีกฝ่ายย้อนถาม
"แน่นอนว่าไม่เจ้าค่ะ" นางไม่อยากให้บิดามารดาเป็นกังวลหากทราบเรื่องราว ไม่เช่นนั้นต้องรีบกลับมาหานางเป็นแน่
"วางใจได้ ท่านพ่อท่านแม่ทราบเพียงว่าเจ้าอยู่ที่วังองค์รัชทายาทเท่านั้น"
"แล้วเรื่องที่ข้ามาอยู่ที่นี่..."
"เจ้าคิดว่าอย่างไร ควรบอกดีหรือไม่" เขากระชับวงแขนแล้วถาม
"ไม่ควรบอกเจ้าค่ะ" นางรีบตอบทันควัน
"ข้าคาดไม่ผิดจริงๆ ว่าเจ้าต้องตอบเช่นนี้ นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ข้าไม่ให้เจ้าเปลี่ยนมาสวมชุดสตรีระหว่างเดินทางมาที่นี่ แต่เพราะเหตุนั้น...ทำให้ข้าถูกมองว่าเป็นบุรุษที่นิยมตัดแขนเสื้อ เจ้าจะรับผิดชอบชื่อเสียงที่เสียไปของข้าอย่างไร ไหนลองว่ามาซิ" แม่ทัพหนุ่มตีหน้าขรึม ถามเสียงจริงจัง
"เรื่องนั้น...ใช่ความผิดของข้าเสียเมื่อไร เป็นเพราะท่านทั้งนั้นที่ทำให้ถูกเข้าใจผิด" ชิงหลินเถียงกลับ ถ้าเขาไม่ทำตัวสนิทสนมเกินเหตุ โดยการอุ้มบุรุษแบบที่คนทั่วไปไม่ทำกัน มันจะเกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ได้อย่างไร
"แล้วรู้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงทำทั้งๆ ที่รู้ถึงผลที่จะตามมาเป็นอย่างดี" ดวงตาคมทรงเสน่ห์หลุบลงมองคู่หมายอย่างคาดหวัง
"ข้าจะไปรู้ใจท่านได้อย่างไรกันเจ้าคะ" หญิงสาวเลี่ยงไม่ตอบความจริง นางไม่ใช่เด็กสามขวบที่จะมองไม่ออกว่าเขาทำทุกอย่างก็เพื่อนาง
"ไม่รู้จริงหรือ" เขากระชับแขนอีกครั้งพลางถามย้ำเสียงต่ำ
"ไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ" ชิงหลินพูดเน้นทีละคำ สบตาที่มองมาเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง
ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะได้กล่าวอันใดต่อก็มาถึงเรือนจันทรา ชิงหลินถึงกับลอบถอนใจอย่างโล่งอก
"วางน้องได้แล้วอาเหวิน" มู่ฮูหยินส่งสายตาตำหนิ เมื่อเห็นการกระทำที่ค่อนข้างน่าเกลียดของบุตรคนโตมาตลอดทาง
"ขอรับ" มู่หลิ่งเหวินวางคู่หมายลงบนเตียงนอนช้าๆ ด้วยความเสียดาย ช่วงเวลาแห่งความสนุกช่างสั้นนัก
"ขอบคุณเจ้าค่ะ" ชิงหลินเอ่ยขอบคุณโดยไม่มองหน้าเขา
"หลินเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากหรือไม่" มู่ฮูหยินถามพลางหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ โดยมีคุณชายน้อยนั่งอีกข้าง