ขณะเดียวกัน ณ ตำหนักหยกท้อ
"ออกไป! ออกไปให้หมด! ข้าบอกให้ออกไป ฮือๆๆ"
เสียงตวาดลั่นสลับเสียงร้องไห้คร่ำครวญและเสียงข้าวของตกแตกทำให้หนึ่งขันทีน้อยและสามนางกำนัลวิ่งหลบออกมานอกตำหนักกันจ้าละหวั่น
"เฮ้อ...ข้าสงสารพระสนมยิ่งนัก" หนึ่งในสามนางกำนัลเอ่ยขึ้น
"นั่นสินะ เป็นถึงสนมเอกขั้นสาม กลับต้องถูกลดขั้นเพราะคนเลี้ยงพยัคฆ์ต่ำต้อย เป็นเจ้าจะทำใจได้หรือ" นางกำนัลอีกคนเอ่ยขึ้นบ้าง ขันทีน้อยกับนางกำนัลที่เหลือต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
"จริงสิ ฝูเป่าจูกงกงเป็นอย่างไรบ้าง" นางกำนัลคนแรกเอ่ยถามขันทีน้อย
"จนบัดนี้ยังไม่ได้สติเลยขอรับ หมอบอกว่าบาดเจ็บภายในสาหัส โชคยังดีที่ไม่ถึงแก่ชีวิต" ขันทีน้อยพูดไปขนลุกไปเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อยามอุ้ย
เมื่อพระสนมกลับมายังตำหนักหยกท้อเพราะผิดหวังที่ไม่ได้เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท จึงอารมณ์ไม่ดีนัก ทว่ากลับพบพยัคฆ์น้อยตัวหนึ่งวิ่งไล่ไป๋ไป๋ แมวสีขาวปลอดของนางอย่างเอาเป็นเอาตาย ข้าวของล้มระเนระนาดตกแตกหักพังเสียหาย
พระสนมโกรธมาก สั่งให้จับเจ้าพยัคฆ์น้อย แต่ความรวดเร็วและหวาดเกรงเขี้ยวเล็บของมันจึงไม่มีผู้ใดจับมันได้ และปล่อยให้หนีไปได้ในที่สุด ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองจนไม่มีผู้ใดกล้าทัดทานแม้แต่นางกำนัลคนสนิท
ครั้นพระสนมทราบว่าใครเป็นผู้ดูแลพยัคฆ์น้อย นางก็ไม่คิดไต่ถาม พอพบตัวก็สั่งให้โบยทันที
ขันทีน้อยได้แต่ยืนหลับตาไม่กล้ามอง เมื่อลืมตาขึ้นเพราะเสียงกรีดร้องตกใจของเหล่านางกำนัล กลับพบว่าจูกงกงขันทีคนสนิทของพระสนมและทหารทั้งสี่สลบเหมือดห่างออกไปราวครึ่งลี้ และยังเห็นแม่ทัพมู่อุ้มร่างที่สลบไสลของผู้ฝึกพยัคฆ์ทะยานเหาะไปทางเรือนรับรองอย่างรวดเร็ว
พอขันทีน้อยตั้งสติได้ก็เห็นพระสนมบริภาษแม่ทัพมู่ และคิดจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อได้พบองค์รัชทายาทที่เสด็จมายังอุทยานพร้อมด้วยพระชายาหลิวพอดี
ขันทีน้อยเห็นพระสนมรีบเข้าไปเกาะแขนองค์รัชทายาททันทีด้วยน้ำตานอง มิได้เกรงใจพระชายาหลิวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แม้แต่น้อย
"องค์รัชทายาท ทรงให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วยเพคะ" พระสนมบีบน้ำตาออดอ้อนเสียงหวานไพเราะน่าฟัง ซบหน้าลงบนต้นแขนแกร่ง
"มีเรื่องอันใด" ฉีเฟยหลงถามเสียงเย็นชาพลางแกะมือของนางออก และเบือนหน้าไปทางอื่น ด้วยพอคาดเดาได้ว่านางต้องการกล่าวสิ่งใด แต่แสร้งทำเฉยราวกับไม่รู้เรื่องราว
"เรื่อง..." พระสนมหน้าเสียที่ถูกแกะมือออก ก่อนจะตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องราวอย่างออกรส ตีไข่ใส่สีบิดเบือนความจริงว่าหยางเริ่นกระทำการหยาบช้า พูดจาเกี้ยวพาราสีนาง
"อ้อ เจ้าเลยสั่งโบยคนผู้นั้น?" ฉีเฟยหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชากว่าเดิมก่อนจะเหยียดยิ้ม ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยววาวโรจน์จนน่ากลัว
'เกี้ยวพา? เล่นหูเล่นตา? หากเราไม่รู้จักนาง เราคงเชื่อเจ้าหมดใจแล้ว ฮึ!'
"เอ่อ...เพคะ" พระสนมจางเหลียงตี้เริ่มเห็นความผิดปกติ ใบหน้างดงามซีดเผือด
'หรือว่าข้าทำผิดพลาดอันใดไป'
"ดี ถ้าอย่างนั้นวังนี้เรายกให้เจ้า...ดีหรือไม่"
"มะ...หม่อมฉันทำอันใดผิดไปหรือเพคะ พระองค์จึงได้ตรัสกับหม่อมฉันเช่นนี้" พระสนมทรุดลงกับพื้นใบหน้างดงามเงยมองสวามีอย่างน้อยใจและตัดพ้อ สองแก้มเต็มไปด้วยน้ำตา
"เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ หรือแสร้งไม่รู้กันแน่" ฉีเฟยหลงคาดคั้นเสียงกร้าว
"องค์รัชทายาท ทรงหมายความเช่นไร หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ" นางยังคงสะอื้นไห้
"ได้ เราจะบอกเจ้าให้ ผู้ที่เจ้าสั่งโบยคือแขกคนสำคัญของเรา ซ้ำพยัคฆ์น้อยที่เจ้าต้องการตัวคือสิ่งล้ำค่าที่เราจะนำขึ้นถวายเสด็จพ่อ..."
"นี่คือวังของเรา หากเกิดเรื่องใด เจ้าควรแจ้งให้เราทราบ ส่วนผู้ใดผิดถูกล้วนเป็นเราที่มีสิทธิ์ตัดสินใช่หรือไม่"
"อะ...องค์รัชทายาท" พระสนมจางเหลียงตี้หน้าซีดหนัก ใจคอเริ่มไม่ดี มือเรียวขาวขยุ้มอาภรณ์ของตนไว้แน่น คาดเดาเหตุการณ์ได้ลางๆ
"เราผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก ทหาร! นำตัวพระสนมจางกลับตำหนัก ลดขั้นจากสนมเอกขั้นสามเป็นสนมขั้นเก้าจางเฟิ่งอี๋นับแต่รุ่งสางวันพรุ่ง และอย่าพามาให้เราเห็นหน้าอีก" องค์รัชทายาทตรัสด้วยสุรเสียงเย็นชาไร้ความเห็นใจใดๆ ก่อนจะหันหลังให้พระสนมที่เคยโปรดปรานอย่างไร้เยื่อใย ไม่ฟังคำทัดทานของพระชายาหลิวที่ตรัสว่าเป็นบทลงโทษที่รุนแรงเกินไป
"องค์รัชทายาท โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยองค์รัชทายาท อภัยให้หม่อมฉันด้วย องค์รัชทายาท ฮือๆๆ" ร่างอรชรทรุดลงไปกองกับพื้น น้ำตาไหลไม่ขาดสาย ดวงตาคู่งามพร่ามัวและแฝงด้วยความเจ็บปวด
เป็นคนโปรดแล้วอย่างไร บัดนี้กลับต้องอับอายและถูกหมิ่นเกียรติเพียงเพราะคนฝึกพยัคฆ์ต่ำต้อยคนหนึ่ง เช่นนี้แล้วจะกล้าสู้หน้าผู้ใดได้อีก เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางกลับหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น ดูแคลนกับความโง่เขลาของตน
"พระสนมทรงถนอมพระวรกายด้วย เสด็จกลับตำหนักก่อนดีหรือไม่เพคะ" นางกำนัลนางหนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมพยักหน้าเรียกอีกคนให้มาช่วยประคองพระสนมจางเหลียงตี้ ที่วันพรุ่งจะไม่ใช่อีกต่อไป
"เฮ้อ" ขันทีน้อยถอนใจเบาๆ สายตาเหม่อมองเข้าไปด้านในอย่างห่วงใยและเห็นใจเช่นเดียวกับสามนางกำนัล ด้วยคอยรับใช้พระสนมจางมาตั้งแต่แรกเริ่มที่เข้ามาอยู่ในวังตะวันออกแห่งนี้ราวหนึ่งปีก่อนหลังพระชายาหลิวสองปี
ด้วยวัยเพียงสิบหกปีรูปโฉมงดงามเอาอกเอาใจเก่งจึงเป็นที่พอพระทัยอยู่มาก แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือพระสนมไม่ได้สุขุมเยือกเย็น ซ้ำยังใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต บ่อยครั้งที่นางกำนัลถูกลงโทษด้วยเรื่องเล็กน้อยอย่างหยิบอาภรณ์มาผิด นางกำนัลนางนั้นต้องถูกโบยสิบไม้โทษฐานบกพร่อง นางกำนัลนางหนึ่งเกือบตาบอดเพราะถูกสาดน้ำร้อนใส่หน้าเพียงเพราะชงชาไม่ถูกพระทัย
"เราจะทำเช่นไรต่อดี" หนึ่งในสามนางกำนัลเอ่ยขึ้น ใจจริงนางอยากกลับไปพักผ่อนยิ่งนัก เพราะดูเหมือนรั้งอยู่ก็มิมีประโยชน์อันใด
"พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะอยู่ที่นี่เอง เผื่อพระสนมเรียกใช้สอย อีกอย่าง ข้ากลัวว่าพระสนมจะคิดสั้น" นางกำนัลที่ยืนเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นเบาๆ พลางใช้มือป้องปากในประโยคสุดท้าย
"ข้าขออยู่เป็นเพื่อนเจ้าละกัน พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร จะอยู่ด้วยกันหรือไม่เล่า" นางกำนัลที่เอ่ยถามในตอนแรกกล่าวออกมาเมื่อตัดสินใจได้
"ข้าอยู่ / อยู่ขอรับ" ทั้งสองตอบแทบจะพร้อมกัน
มิตรแท้จะเห็นได้ก็ในยามทุกข์ยากนั้นเป็นเรื่องจริง
เวลาเดียวกัน ณ ห้องทรงอักษร
ฉีเฟยหลงเดินไปเดินมา สองมือไพล่หลัง ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวจับอยู่ที่ประตูทางเข้าคล้ายเฝ้ารอบางสิ่ง ผ่านไปราวสองเค่อขันทีคนสนิทก็ปรากฏตัวขึ้น ฉีเฟยหลงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพื่อปกปิดความกระวนกระวายใจไว้ "ได้ความว่าอย่างไร" ถามคล้ายไม่ใส่ใจ ทั้งที่ร้อนใจและอยากไปให้เห็นด้วยตาตัวเอง
"ทูลองค์รัชทายาท คุณชายหยางฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เกากงกงที่ยังหอบอยู่กราบทูล
ฉีเฟยหลงถอนใจโล่งอก "แล้วอาการของนาง...เอ่อ...หยางเริ่นเล่า?" ด้วยความเป็นห่วงทำให้เผลอกล่าวคำที่ไม่ควรออกมา
"ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อมไม่ได้เห็นกับตา เพราะแม่ทัพมู่ปิดประตูไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไป แม้แต่ผู้ติดตามและพยัคฆ์น้อยยังรั้งอยู่นอกเรือนรับรอง" เกากงกงกราบทูลอย่างละเอียด "พระองค์จะเสด็จที่ใดพ่ะย่ะค่ะ" เกากงกงถามเมื่อเห็นผู้สูงศักดิ์หมุนพระวรกายไปที่ทางออก
"ไปเรือนรับรอง หากเราไม่ได้เห็นกับตา เราคงไม่สบายใจ"
"แต่ยามนี้เห็นทีจะไม่ค่อยเหมาะ..."
"เจ้าจะรออยู่ที่นี่ก็ย่อมได้" ฉีเฟยหลงเอ่ยขัด ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะพูดอันใด
"เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ" เกากงกงก้มศีรษะต่ำไม่กล้าคัดค้านอีก ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ อย่างครุ่นคิด
เมื่อครู่องค์รัชทายาทตรัสว่านาง? หรือที่กริ้วพระสนมจางร้อนรนกังวลพระทัยจนไม่อาจสะสางฎีกาให้เสร็จสิ้นดังที่ผ่านมา ซ้ำยังมีรับสั่งให้ขันทีไปสอบถามอาการทุกครึ่งชั่วยาม จะเกี่ยวข้องกับคำว่า 'นาง' หรือไม่ จะว่าไปรูปร่างของคุณชายหยางก็อรชรอ้อนแอ้นคล้ายสตรีอยู่หลายส่วนทีเดียว เฮ้อ...ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้ปวดหัวเสียจริงๆ
แม้จะสงสัยใคร่รู้เพียงใด แต่เสี่ยวเกาจื่อก็รู้กาลเทศะและระงับความสงสัยไว้ได้อย่างมิดชิดเพราะทำงานเป็นขันทีมานานกว่าสามสิบปี จึงรู้ดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
ภายในห้องพักในเรือนรับรอง
ชิงหลินขอร้องคู่หมายให้พาเฟิ่งอิงกับฟานฟานน้อยที่โดนทำโทษให้นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกเข้ามา แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตาวาวโรจน์บนใบหน้าบึ้งตึงคล้ายกำลังงอนของเขา ก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่พอใจเท่าไรนัก แต่นางก็เลือกทำเมินไม่รู้ไม่ชี้
เมื่อหนึ่งบุรุษกับหนึ่งพยัคฆ์น้อยมาถึง ชิงหลินยังไม่ทันได้พูดอะไร หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำก็คุกเข่าเงยใบหน้าคมเข้มมองนางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนตะแคงข้าง ศีรษะและไหล่ข้างหนึ่งพิงหมอนที่วางชิดหัวเตียง แม้จะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเพราะแผลที่ถูกเฆี่ยนตี แต่เพื่อหลีกเลี่ยงคำถามที่จะตามมาภายหลังเลยต้องเล่นละครกันหน่อย
เรื่องที่ถูกโบยหลังแตกยับจนสลบไปเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว แต่พอฟื้นขึ้นมาความเจ็บปวดทรมานอย่างที่ควรจะเป็นกลับไม่ปรากฏ ทีแรกนางคิดว่าเป็นเพราะคู่หมายช่วยสกัดจุดความเจ็บปวดให้ แต่กลับไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้น...ก็คงจะเป็นฝีมือของท่านยมแน่ๆ ชิงหลินครุ่นคิด
"คุณหนู โปรดลงโทษข้าด้วยขอรับ! เป็นเพราะข้าบกพร่อง คุณหนูจึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้" เฟิ่งอิงกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง ทำนางสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นความเจ็บปวดและการโทษตัวเองฉายชัดบนใบหน้าคมเข้ม
ชิงหลินลอบถอนใจแล้วเอ่ย "ลงโทษอะไรกันเล่า ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย ลุกขึ้นเถิด" เป็นความจริงที่นางไม่เคยคิดโกรธหรือโทษเขาเลยแม้แต่นิดเดียว "ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าไม่อยากฟัง ขืนเจ้าพูดอีกคำเดียวละก็ ข้าจะไม่พูดกับเจ้าอีก" ขู่สำทับเมื่อเห็นท่าทางไม่ยอมจำนนง่ายๆ ของอีกฝ่าย
เฟิ่งอิงชะงักวูบ พยักหน้ายอมทำตามแต่โดยดี แม้ในใจจะยังรู้สึกผิดและโทษว่าเป็นความผิดของตน พร้อมยอมรับโทษทัณฑ์อย่างไม่เกรงกลัวความเจ็บปวด แต่ถ้าไม่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนดั่งเทพธิดาของนางอีก คงเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกทิ่มแทงด้วยคมหอกคมดาบนับพันนับหมื่นเล่ม เพียงแค่คิดเฟิ่งอิงก็แทบจะทนไม่ได้แล้ว
ทางด้านแม่ทัพหนุ่มมองหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำอย่างไม่สบอารมณ์นัก ความหงุดหงิดและหวงแหนก่อเกิดขึ้นภายในใจ เมื่อเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยเกินความจำเป็นยามที่มองคู่หมายของตน เขาอดรนทนไม่ได้จนต้องยอมเสียมารยาทลุกจากเก้าอี้ที่ลากมานั่งใกล้เตียง เปลี่ยนมานั่งบนเตียงข้างคู่หมายที่เว้นไว้ให้นั่งได้พอดิบพอดี โดยไม่กล่าวอันใด
ชิงหลินกะพริบตามองคนข้างๆ อย่างงุนงง เฟิ่งอิงเองก็อดเหลือบมองไม่ได้ จึงสบเข้ากับดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่หลุบมองตนอยู่พอดี มันเป็นสายตาของผู้ที่เหนือกว่าในทุกด้านอย่างแท้จริง
ขณะที่บุรุษต่างสถานะฟาดฟันกันทางสายตา ชิงหลินกลับไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เพราะนางมองหาฟานฟานน้อยของนางอยู่ "ฟานฟานน้อยอยู่ไหน เมื่อครู่ยังเห็นเดินตามหลังเจ้ามาอยู่เลย" ชิงหลินถามเฟิ่งอิง
"คงจะกลัวความผิดจนไม่กล้าโผล่หัวมาให้เจ้าเห็นหน้ากระมัง" แม่ทัพหนุ่มกล่าวราวกับเย้ยหยันในความขี้ขลาดของเจ้าพยัคฆ์น้อย ก่อนจะเหยียดยิ้มมุมปากพร้อมกับปรายตามองมาทางเฟิ่งอิง จึงถูกคู่หมายส่งค้อนให้
"ฟานฟานออกมาเถอะ"
เงียบไม่มีเสียงตอบรับ
"หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะโกรธเจ้าจริงๆ แล้วนะ!" แกล้งพูดขู่ ด้วยพอรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว ว่าเพราะความซุกซนเกินเหตุของมันทำให้นางถูกเฆี่ยนเสียจนสลบเหมือด
"อย่าโกรธ...อย่าโกรธ หลินหลิน...ใจดี ฟานฟาน...รีบมา...รีบมาแล้ว" เจ้าพยัคฆ์น้อยยอมโผล่หัวกลมๆ เล็กๆ ออกมาจากด้านหลังของเฟิ่งอิง แต่ยังไม่กล้าเดินออกมาหาหลินหลินของมัน เพราะยังมีความผิดเป็นชนักติดหลังอยู่
เฟิ่งอิงเอี้ยวตัวไปมองพลางลุกขึ้นไปยืนข้างๆ ทำให้เจ้าพยัคฆ์น้อยไร้ที่กำบัง มันตกใจเล็กน้อยและเริ่มทำตัวให้น่าสงสารด้วยการก้มหัวต่ำหูลู่หางตก เดินเข้ามาหาหลินหลินช้าๆ ตัวสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะแหงนหน้ามองหลินหลินทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า
"เจ็บไหม ฟานฟาน...ขอโทษ ฟานฟาน...ขอโทษ..." เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องถามหลินหลิน ความจริงมันอยากกระโดดเข้าไปหาและซุกลงบนตักอบอุ่นนั่นใจจะขาด แต่ก็กลัวสายตาพิฆาตของเจ้าร่างยักษ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ หลินหลินของมัน
"ข้าไม่เป็นไร และก็ไม่โกรธเจ้าด้วย มานี่เถอะ" ชิงหลินยิ้มหวานพลางยื่นสองแขนมาข้างหน้า
"จริงนะ จริงๆ นะ รักกัน...รักกัน...ใช่ไหม" เจ้าพยัคฆ์น้อยยังไม่แน่ใจ มันเดินหน้าถอยหลังอยู่หลายรอบ ชิงหลินยังคงพยักหน้าและไม่ยอมลดแขนลง
"อุ้มอุ้ม ช่วยหน่อย...ช่วยหน่อย" เห็นดังนั้นเจ้าพยัคฆ์น้อยจึงร้องขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหนุ่ม
"หือ? อันใดหรือ" แม่ทัพหนุ่มหันมาถามคู่หมาย เมื่อเห็นเจ้าพยัคฆ์น้อยทำท่าทางแปลกๆ
"คิกๆ มันขอให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ" ชิงหลินหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นเจ้าพยัคฆ์น้อยขอร้องคนอื่นนอกจากนาง นั่นหมายความว่ามันเริ่มยอมรับในตัวเขาขึ้นมาบ้างแล้ว อาจจะเป็นเพราะเขาช่วยนางให้รอดพ้นความตายจากความซุกซนของมันได้
"อ้อ คิดจะเอาใจข้าด้วยเรื่องนี้?" แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วมองมันอย่างขบขัน จึงถูกพยัคฆ์น้อยแยกเขี้ยวใส่คล้ายจะบอกว่าหากไม่ใช่เพราะแม่ทัพหนุ่มช่วยหลินหลินของมันไว้ อย่าหวังว่ามันจะยอมให้อย่างนี้
"ท่านเลิกแกล้งฟานฟานของข้าเสียทีเถิดเจ้าค่ะ" ชิงหลินต่อว่าเขาไม่จริงจังนัก ส่ายศีรษะระอากับความดื้อรั้นชอบเอาชนะของทั้งคู่ เฮ้อ พอกันทั้งคนทั้งเสือ
เฟิ่งอิงส่งเสียงหัวเราะหึๆ ออกมา จึงถูกหนึ่งบุรุษกับหนึ่งตัวถลึงตาใส่ แต่เฟิ่งอิงกลับแสร้งทำเป็นมองผ่านไม่คิดจะใส่ใจแต่อย่างใด
มู่หลิ่งเหวินปรายตามองคู่หมายที่ปีกกล้าขาแข็งต่อว่าเขาต่อหน้าบุรุษอื่น ทั้งยังคาดโทษนางไว้ในใจเรียบร้อย อยู่ลำพังเมื่อใดคอยดูเถิด...ว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร
"เอ่อ...ช่วยหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ" ชิงหลินเร่งเขา แม่ทัพหนุ่มจึงก้มตัวใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบหนังตรงคอด้านหลังของพยัคฆ์น้อยแล้วยกขึ้นมาเสมอไหล่ตน คล้ายกับหยิบสิ่งของน่ารังเกียจ
"ปล่อยปล่อย นิสัย...ไม่ดี นิสัย...ไม่ดี" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่ถูกดึงรั้งหนังคอด้านหลังเสียจนหน้าตาดูไม่ได้ร้องว่าแม่ทัพหนุ่ม เท้าทั้งสี่ตะกุยตะกายอากาศไปมา พยายามเอี้ยวตัวเพื่อทำร้ายเจ้าร่างยักษ์ที่บังอาจทำให้มันอับอายต่อหน้าหลินหลินของมัน
"หึๆ อัปลักษณ์เสียจริง" แม่ทัพหนุ่มมิวายกล่าววาจาก่อกวนอารมณ์เจ้าพยัคฆ์น้อย มุมปากเหยียดยิ้มอย่างขบขัน ก่อนจะส่งมันให้คู่หมายที่จ้องเขม็ง ตากลมโตเขียวปั้ด ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำคล้ายไม่พอใจในคำวิจารณ์นั้น
"หลินหลิน นิสัย...ไม่ดี นิสัย...ไม่ดี" เจ้าพยัคฆ์น้อยรีบฟ้องนางทันทีที่เข้ามาอยู่ในอ้อนแขนอันอบอุ่นและคุ้นเคย
"เขาเพียงหยอกเจ้าเล่น อย่าโกรธไปเลย" พูดพลางลูบหลังมันเบาๆ ก่อนจะเอาใจมันด้วยการก้มลงหอมหัวกลมๆ เล็กๆ ของมัน ซึ่งการกระทำที่ไม่ตั้งใจของนางทำเอาสองบุรุษเปลือกตากระตุกด้วยความริษยา
เป็นเวลาเดียวกับที่ฉีเฟยหลงพร้อมด้วยขันทีและเหล่านางกำนัลเข้ามาในห้องพักในเรือนรับรองอย่างเงียบเชียบ เป็นความประสงค์ขององค์รัชทายาทที่ไม่ให้ประกาศเตือนให้รู้ล่วงหน้
"เจ้าฟื้นแล้วหรือ เป็นเช่นไรบ้าง" ฉีเฟยหลงถามทันทีที่เห็นนาง
"ถวายบังคมองค์รัชทายาท" แม่ทัพหนุ่มกับเฟิ่งอิงรีบถวายความเคารพพร้อมกัน
"ลุกขึ้น" ฉีเฟยหลงอนุญาตก่อนจะนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันกับที่แม่ทัพหนุ่มใช้ก่อนหน้า ส่วนแม่ทัพหนุ่มก็เลือกมายืนด้านข้างฝั่งเดียวกับเฟิ่งอิง
"ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ โปรดประทานอภัยที่กระหม่อมเสียมารยาท" ชิงหลินก้มศีรษะทำความเคารพและไม่ลืมดัดเสียงห้าว
"เจ้าบาดเจ็บอยู่เราจะถือสาได้เช่นไร เสี่ยวเกาจื่อ ให้ทุกคนออกไปให้หมด ปิดประตูอย่าให้ใครเข้ามาใกล้ประตูได้" กล่าวกับชิงหลินจบ ฉีเฟยหลงก็หันไปสั่งขันทีคนสนิท เสี่ยวเกาจื่อรีบปฏิบัติตามคำสั่งทันที
"เอาละ ทีนี้ก็ทำตัวตามสบายเถิด" ฉีเฟยหลงกล่าว
"ขอบพระทัยเพคะ"
"แล้วอาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" ถามย้ำอีกครั้ง
"หม่อมฉันสบายดีเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง" ชิงหลินยิ้มน้อยๆ
"ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อมขอประทานอนุญาตพานางไปรักษาที่จวนเสนาบดีมู่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพมู่ขออนุญาตเจ้าของวัง คำขอของเขาทำให้นางประหลาดใจ เหตุใดไม่เป็นคฤหาสน์สกุลชิง แต่เป็นจวนเสนาบดีมู่
ผิดกับเฟิ่งอิงที่เห็นดีด้วยกับการตัดสินใจของแม่ทัพมู่ เพราะตอนนี้ที่คฤหาสน์สกุลชิงถูกจับตาจากศัตรูที่มองไม่เห็น ประการสำคัญนายท่านกับฮูหยินจำเป็นต้องอยู่ที่เรือนพสุธา ยังไม่สามารถกลับมาในช่วงนี้ได้ ดังนั้นจวนสกุลเสนาบดีมู่จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด ทั้งยังอยู่ติดกับจวนแม่ทัพอีกด้วย
"เราไม่คิดจะรั้งไว้หรอก แต่เหตุใดต้องเป็นจวนเสนาบดีมู่ ไม่ใช่คฤหาสน์สกุลชิง ทำเช่นนี้จะไม่เป็นที่ครหาหรอกหรือ" ฉีเฟยหลงถามด้วยความหงุดหงิด
"ยามนี้คฤหาสน์สกุลชิงไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก ซ้ำบิดามารดาของนางยังกลับในช่วงนี้ไม่ได้ บิดามารดาของกระหม่อมเองก็เห็นชอบในเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มแจงเหตุผลยืดยาวอย่างผู้ที่เตรียมตัวมาดี
"อ้อ อย่างนั้นหรือ ที่แท้เจ้าก็เตรียมการไว้พร้อมแล้ว" ฉีเฟยหลงแค่นเสียงฮึออกมากับความเจ้าเล่ห์ของสหายสนิท
"ได้ เราอนุญาต" กล่าวด้วยอารมณ์เสียดาย "อ้อ เรื่องพระสนม เราสั่งลงโทษนางไปแล้ว"
"ลงโทษ? ทรงทำเช่นนั้นไม่ได้นะเพคะ" ชิงหลินรีบคัดค้าน
"ทำไม? เจ้าเกือบตายเพราะนางเชียวนะ" ฉีเฟยหลงถาม สายตาประหลาดใจเล็กน้อย
"หม่อมฉันทราบเพคะ แต่เมื่อตรองดูแล้วสาเหตุล้วนมาจากความบกพร่องในหน้าที่ของหม่อมฉันที่ดูแลพยัคฆ์น้อยไม่ดี จนทำให้พระสนมขุ่นเคืองพระทัย จึงรับสั่งลงโทษหม่อมฉัน เพียงแต่ออกจะรุนแรงไปหน่อยเท่านั้นเองเพคะ" ชิงหลินตอบตามที่ใจคิด และติดตลกในท้ายประโยค
"แม้เจ้าจะหาเหตุผลสักร้อยข้อพันข้อเพื่อช่วยนางก็ไร้ผล เพราะเราได้ตัดสินใจไปแล้ว และเริ่มมีผลทันทีเมื่อรุ่งสาง"
"หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ" ชิงหลินยอมรับการตัดสินพระทัยขององค์รัชทายาท
"เจ้าตัวการ นอนนิ่งเป็นท่อนไม้เชียวนะเจ้า" ฉีเฟยหลงเปลี่ยนเรื่องสนทนา หันมาเย้าเจ้าพยัคฆ์น้อย
"กำลังสำนึกความผิดอยู่พ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มได้จังหวะก็ทูลฟ้ององค์รัชทายาท
"อา...แล้วเจ้าคิดจะลงโทษมันอย่างไรหรือ"
"เอ่อ...เรื่องนี้..." ชิงหลินอึกอัก ใบหน้าจิ้มลิ้มบิดเบี้ยวอย่างกังวลใจ เพราะนางไม่ได้คิดบทลงโทษมันแต่อย่างใด
"ทูลองค์รัชทายาท สุดแล้วแต่พระองค์จะเห็นสมควรพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มผลักภาระไปที่องค์รัชทายาททันที
"โฮ่ แน่ใจแล้วหรือ หากเราสั่งโบยมัน เจ้าก็ยินยอมหรือ"
"แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มทูลตอบ มุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมทรงเสน่ห์สบกับพระเนตรคมดุจพญาเหยี่ยวอย่างไม่เกรงกลัว
"เจ้านี่มันเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเสียจริง รู้ทันเราไปเสียทุกเรื่อง" ฉีเฟยหลงเหน็บแนมสหายคนสนิท
เจ้าพยัคฆ์น้อยเป็นของล้ำค่า จะปล่อยให้มีตำหนิได้อย่างไร สหายคนสนิทรู้ดีว่าองค์รัชทายาททรงหยอกล้อเล่นเท่านั้น ช่างเจ้าเล่ห์เหมาะสมกับตำแหน่งแม่ทัพอนาคตไกลเสียจริง
"เอ่อ...คือว่า..." ชิงหลินอึกอัก
"หือ? เจ้ามีอันใดก็ว่ามาเถิด" ฉีเฟยหลงอนุญาต
"หม่อมฉันขอพาเจ้าพยัคฆ์น้อยไปด้วยจะได้หรือไม่เพคะ"
"ได้สิ เราตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว" กล่าวยิ้มๆ
"ขอบพระทัยเพคะ" ชิงหลินยิ้มกว้างจนตาหยีเห็นลักยิ้ม ทำเอาสามบุรุษต่างสถานะชะงักตะลึงมองตาค้าง
"ง่วงแล้ว...ง่วงแล้ว...นอนนอน หลินหลิน...พักผ่อน...พักผ่อน" เจ้าพยัคฆ์น้อยที่สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลส่งเสียงร้องบอกหลินหลินที่ยังยิ้มไม่รู้เรื่องราว