เมื่อทุกอย่างพร้อม ชิงหลินก็เอ่ยลาบิดามารดาท่ามกลางบ่าวในเรือนที่พร้อมใจกันออกมาส่งเสด็จองค์รัชทายาทและคุณหนูของพวกตนอย่างพร้อมเพรียง
เสี่ยวเอินมองดูขบวนที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปจากเรือนพสุธาด้วยสายตาตื่นเต้น แม่ทัพหนุ่มขี่ม้านำขบวนตามด้วยทหารม้าจำนวนหนึ่ง ถัดมาเป็นรถม้าขององค์รัชทายาท รถม้าของคุณหนู อาชาสวรรค์ทั้งสามที่ไร้เครื่องพันธนาการใดๆ ตามคำขอของคุณหนู ตามด้วยรถขนสัมภาระสองคัน และปิดท้ายด้วยกองทหารม้าอีกจำนวนหนึ่ง ยังมีทหารม้าประกบซ้ายขวาของขบวนอย่างแน่นหนาตลอดการเดินทางราวหนึ่งชั่วยามนี้
ชิงหลินนั่งอยู่ในรถม้ากับเจ้าฟานฟานน้อยเพียงลำพัง บาดแผลสมานตัวได้เร็วจนน่าตกใจ หมอบอกว่าเป็นเพราะยาขององค์รัชทายาท มือเรียวล้วงหยิบตลับยาสีทองที่อยู่ในอกเสื้อออกมาดู พลางนึกขอบคุณเจ้าของ ไม่อย่างนั้นการเดินทางครั้งนี้แผลคงได้ระบมและอักเสบขึ้นมาอีกแน่ๆ
เมื่อเดินทางมาได้สักพัก ฟานฟานน้อยที่เอาแต่นอนกลับลุกขึ้นนั่ง แหงนหน้ามองนางตาแป๋ว ทั้งยังส่งเสียงร้อง "เปิด เปิด"
"หือ? เปิดม่านหรือ" นางถาม เห็นมันพยักหน้าจึงเลิกผ้าม่านขึ้น
"อ้อ ถึงป่าอาถรรพ์แล้วนี่เอง มิน่าล่ะ" ชิงหลินพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหลุบตามองฟานฟานน้อยที่ยืนด้วยสองขาหลังอยู่บนท่อนขาของนาง สองเท้าหน้าเกาะขอบหน้าต่างรถม้าแน่น ตากลมๆ เล็กๆ สีเทาจับจ้องอยู่ที่ป่าอาถรรพ์นิ่งอย่างอาลัยอาวรณ์ หญิงสาวอดสงสารไม่ได้ จึงมองไปที่ป่าอาถรรพ์พลางตั้งจิตแน่วแน่เหมือนครั้งที่เข้าไปกับเฟิ่งอิง ตามที่ปู่เสือเคยบอกไว้ แต่ยังไม่ทันได้สื่ออะไร
ทันใดนั้นรถม้าที่วิ่งมาค่อนข้างเร็วก็หยุดลงกะทันหัน หน้านางเกือบคะมำถลาไปข้างหน้าจนตัวลอย ต้องใช้มือยันผนังไว้แทบไม่ทัน
"อะไรกันนี่" ชิงหลินอุทานออกมาเบาๆ พลางหย่อนก้นลงนั่งที่เดิม มองหาฟานฟานน้อย ก่อนจะหลุดร้องอุ๊บออกมาเมื่อเห็นฟานฟานน้อยห้อยต่องแต่งอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เท้าหน้ายึดเกาะขอบหน้าต่างไว้แน่น หัวกลมๆ เล็กๆ เท้าอยู่บนขอบหน้าต่าง ประหนึ่งฟานฟานน้อยกำลังโหนบาร์เล่นยิมนาสติกอยู่
"ช่วย...ช่วย...ลง...ลง" ฟานฟานน้อยหันมาบอก ชิงหลินอมยิ้มแล้วอุ้มฟานฟานน้อยลงมาวางบนตักอย่างนุ่มนวล ลูบหัวมันอย่างรักใคร่
"คุณหนู! ท่านเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ" เสียงหนึ่งร้องถามขึ้นทางซ้ายมือนอกหน้าต่างรถม้า นางเลยเปิดม่านขึ้นก็เห็นทหารม้าในชุดสีดำนายหนึ่ง แต่ทำไมหน้าคุ้นจัง
"เฟิ่งอิง!" ชิงหลินอุทานชื่อเขาอย่างแปลกใจ ไหนท่านพ่อแจ้งว่าไม่ให้ใครติดตามมาด้วยนี่ แล้วเฟิ่งอิงมาได้อย่างไร แถมยังขี่เจ้าไป๋เสวี่ยมาด้วย
เฟิ่งอิงเห็นสายตาสงสัยของคุณหนูจึงรีบชี้แจง "นายท่านได้ทูลขอองค์รัชทายาทให้ข้าตามไปคุ้มกันคุณหนูขอรับ"
"เอ๋? อย่างนั้นหรือ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น"
"ดูเหมือนม้าด้านหน้าจะพร้อมใจกันหยุดวิ่งขอรับ"
"พร้อมใจกันหยุดวิ่ง?" ชิงหลินพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นเองเกิดลมกระโชกจากฝั่งป่าอาถรรพ์เข้ามาปะทะกับขบวนรถม้าอย่างแรง จนรถม้าซวนเซแทบพลิกคว่ำ บรรดาม้าต่างส่งเสียงร้องอย่างตกใจ ดีที่ทหารทุกนายถูกฝึกให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายทุกรูปแบบ จึงสามารถควบคุมม้าของตนไว้ได้ ก่อนจะทิ้งไว้เพียงฝุ่นละอองที่เกาะตามตัว
"เกิดเรื่องอันใด" ฉีเฟยหลงเปิดม่านสีทองถามแม่ทัพหนุ่มที่บัดนี้กระโดดลงมาจากหลังม้า ยืนประสานมือรออยู่แล้ว
ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะกราบทูล กลับมีเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่เหล่าทหารและม้ายิ่งนัก แต่ชิงหลินกลับอมยิ้ม มองไปทางป่าอาถรรพ์ พร้อมกับพึมพำเบาๆ
"ข้ารู้แล้ว ข้าจะดูแลฟานฟานน้อยให้ดีที่สุด ปู่เสือย่าเสือโปรดวางใจได้"
"หลินหลิน ดีดี" ฟานฟานน้อยส่งเสียงร้องออกไปทางป่าอาถรรพ์ มีเสียงคำรามขึ้นอีกครั้ง แล้วทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ
เหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ทำเอาเหล่าบรรดาทหารต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา มีเพียงสามบุรุษต่างสถานะที่พร้อมใจกันหันไปมองรถม้าคันที่สอง คาดเดาว่าต้องเกี่ยวข้องกับนางเป็นแน่
หลังจากนั้นการเดินทางก็เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ต้องผ่านคฤหาสน์สกุลชิง ตลาด จวนสกุลมู่กับจวนแม่ทัพมู่ที่อยู่ติดกัน แล้วจึงเข้าเขตของวังองค์รัชทายาท ซึ่งเป็นเส้นทางเฉพาะที่สร้างขึ้นตามรับสั่งขององค์รัชทายาท
ตลอดเส้นทางมีราษฎรมากมายที่ทราบข่าวเรื่องสัตว์ในตำนานทั้งสี่ ต่างออกมายืนรอชมอย่างใจจดใจจ่อ จนสองข้างถนนคลาคล่ำและเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ครั้นพอได้ยลโฉมอาชาสวรรค์ทั้งสาม หลายคนถึงกับตะลึงอ้าปากตาค้าง ใบ้กินเป็นทิวแถว บางคนถึงกับแข้งขาอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น หญิงชราคนหนึ่งคุกเข่าลงแนบศีรษะบนพื้นพูดพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ อาการคล้ายพบเห็นสิ่งแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติ ชิงหลินนึกขำกับภาพที่ได้เห็น เพราะในยุคที่เธออยู่ สัตว์พวกนี้หาดูได้จากสวนสัตว์และสื่อต่างๆ
ราวหนึ่งชั่วยามครึ่งรถม้าที่ชิงหลินนั่งมาก็หยุดลง ร่างเล็กขยับตัวจะลงจากรถม้า ม่านก็พลันถูกเปิดออกโดยคู่หมายของนาง เขาเปิดม่านให้และรอจนนางลงมายืนบนพื้นแล้วจึงเดินนำไปหาองค์รัชทายาท ส่วนองครักษ์ทั้งสี่และทหารม้าของจวนแม่ทัพมู่ทั้งร้อยนายกลับจวนแม่ทัพทันที มิได้เข้ามาภายในวังนี้
ที่เหลือตอนนี้จึงมีเพียงองค์รัชทายาท มู่หลิ่งเหวิน ชิงหลินกับฟานฟานน้อย เฟิ่งอิง และองครักษ์ทั้งแปดของฉีเฟยหลง ทุกคนเดินตามฉีเฟยหลงเข้าไปภายในวังขององค์รัชทายาทอันใหญ่โตมโหฬารและวิจิตรงดงาม สองข้างมีขันทีและนางกำนัลนับสิบยืนก้มหน้านิ่ง สองมือประสานกันอยู่ด้านหน้ารอรับคำสั่ง ดูเป็นระเบียบจนน่าทึ่ง ส่วนอาชาสวรรค์ทั้งสามถูกพาไปไว้ในคอกด้านหลังวัง
"เสี่ยวเกาจื่อ พาทั้งสองไปพักยังห้องรับรอง ดูแลอย่าให้ขาดตกบกพร่องได้" ฉีเฟยหลงสั่งหัวหน้าขันทีวัยกลางคนที่มีรูปร่างผอมบาง ผิวค่อนข้างขาว
"พ่ะย่ะค่ะ" เสี่ยวเกาจื่อรับคำสั่ง "ท่านทั้งสอง เชิญตามข้ามา"
ชิงหลินมองคู่หมาย เห็นเขาพยักหน้า จึงลาองค์รัชทายาทแล้วเดินตามขันทีคนนั้นไป โดยมีเฟิ่งอิงปิดท้าย
"อะแฮ่ม" ฉีเฟยหลงแกล้งกระแอมขึ้นเมื่อเห็นแม่ทัพหนุ่มมองตามไม่วางตา
แม่ทัพหนุ่มประสานมือค้อมศีรษะลง
"นางอยู่ที่นี่ในฐานะแขกของข้า ซ้ำยังปิดบังชื่อแซ่ ไยเจ้ายังดูกังวลนัก" ฉีเฟยหลงถามสหายอย่างสนิทสนมเมื่ออยู่เพียงลำพัง
มู่หลิ่งเหวินเพียงปรายตามองอีกฝ่าย ไม่กล่าวตอบ ด้วยไม่อยากจะถูกหยอกเย้าด้วยเรื่องนี้ อีกทั้งกำลังไม่สบอารมณ์ที่หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำคอยตามติดคู่หมายของเขาดั่งเงาตามตัว ซ้ำยังนอนห้องติดกันอีก แล้วจะให้เขาสงบใจอย่างไรได้ เมื่อเห็นอาการหวงเกินเหตุของสหายแล้ว ฉีเฟยหลงจึงได้แต่ยิ้มอย่างขบขัน
ฝ่ายผู้ที่ถูกกล่าวถึงอย่างชิงหลินและเฟิ่งอิง ก็เดินตามขันทีในชุดสีเขียวเข้มที่เอวคาดทับด้วยผ้าสีดำที่ตัดเย็บอย่างประณีต รวบผมสูงครอบด้วยโลหะสีดำ มีปิ่นเงินเสียบผ่านรูเล็กๆ ของที่ครอบยาวออกมาข้างละสองถึงสามนิ้ว ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังเรือนรับรอง ซึ่งอยู่ทิศตรงข้ามกับตำหนักของเหล่าพระชายาขององค์รัชทายาท โดยมีตำหนักองค์รัชทายาทคั่นกลาง
เจ้าพยัคฆ์น้อยนับแต่พ้นเขตป่าอาถรรพ์ มันก็เอาแต่นอน มิใส่ใจสิ่งใด จวบจนถึงห้องพักในเรือนรับรองมันจึงตื่นขึ้น ทำจมูกฟุดฟิดๆ ก่อนจะร้องออกมา "ลง...ลง"
ชิงหลินจึงย่อตัววางพยัคฆ์น้อยลงบนพื้นที่ปูด้วยพรมสีเขียวอ่อนหนานุ่ม ทันทีที่ยืนเองได้ มันก็ยืดหลังตรงเชิดหน้าขึ้นอย่างอวดดี เดินสำรวจไปทั่วบริเวณราวกับเป็นเจ้าของ
"นี่คือห้องของคุณชายหยาง ส่วนของเจ้าอยู่ห้องข้างๆ" เสี่ยวเกาจื่อแจ้งแก่ทั้งสอง
"ขอบคุณกงกง ลำบากท่านแล้ว" ชิงหลินในคราบบุรุษหน้าหวานนามว่าหยางเริ่นประสานมือขอบคุณ
"คุณชายหยางเกรงใจไปแล้ว หากขาดเหลือสิ่งใด นางกำนัลทั้งสี่จะคอยดูแลรับใช้ท่าน" เสี่ยวเกาจื่อผายมือไปยังนางกำนัลวัยละอ่อนในชุดสีฟ้าอ่อนที่ยืนก้มหน้านิ่ง ประสานมือไว้ข้างหน้า
"เอ่อ...ไม่เป็นไร ข้าดูแลตัวเองได้ ท่านพาพวกนางกลับไปเถอะ" นางปฏิเสธพัลวันเพราะกลัวความลับแตก
"ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ ด้วยเป็นรับสั่งขององค์รัชทายาท"
"เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้ว"
เฟิ่งอิงเดินตามคุณหนูมาเงียบๆ สายตาคมเรียวดุทำงานตลอดเวลา นับแต่ออกจากเรือนพสุธาจนถึงยามนี้
"เอ่อ...เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน" เสี่ยวเกาจื่อประสานมือ ค้อมศีรษะเล็กน้อย หมุนกายเดินซอยเท้าถี่ๆ จากไป
"พวกเจ้ามีอะไรทำก็ไปทำเถอะ ข้าอยากพักผ่อน" ชิงหลินในคราบบุรุษหันมาบอกนางกำนัลทั้งสี่ที่ยืนรอรับใช้อยู่
"เจ้าค่ะ พวกข้าจะรอรับใช้อยู่ด้านนอก เชิญคุณชายเรียกได้ตลอดเจ้าค่ะ" หนึ่งในนางกำนัลกล่าว
"อืม ข้ารู้แล้ว" ชิงหลินพยักหน้า มองดูนางกำนัลทั้งสี่ยอบกายทำความเคารพแล้วเดินออกไปอย่างพร้อมเพรียง เห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้
"เฟิ่งอิง นั่งลงก่อนสิ" นางผายมือเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลง
"ขอรับ" เฟิ่งอิงขานรับพลางทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามนาง
บนโต๊ะไม้แปดเหลี่ยมเนื้อดีถูกปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่นสีเขียวอ่อนแต่เข้มกว่าพรมบนพื้นเล็กน้อย มีชุดน้ำชาและขนมอบคล้ายคุกกี้ส่งกลิ่นหอมจนนางอดใจไม่ไหวที่จะหยิบเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
"อืม อร่อยดี เฟิ่งอิง ลองชิมดูสิ" ชิงหลินชวนเขาพร้อมกับรินน้ำชาให้
"ขอบคุณขอรับคุณหนู" เฟิ่งอิงรับถ้วยน้ำชา พลางก้มศีรษะลงเล็กน้อย
"ผิดแล้ว ไม่ใช่คุณหนู แต่เป็นคุณชายหยาง...หยางเริ่น ระวังด้วยล่ะ"
"ขออภัย ข้าจะระวังขอรับ" เฟิ่งอิงรับคำหนักแน่นพลางเหลือบมอง จึงได้เห็นนางนั่งเท้าคางมองเขาอยู่ เขาส่งยิ้มให้ก็รีบหลุบตาลง แสร้งหยิบถ้วยชาขึ้นจิบเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกขัดเขิน
"หิวหิว กินกิน" เสียงของฟานฟานน้อยนักสำรวจ ทำให้ทั้งสองมองลงต่ำ เห็นพยัคฆ์น้อยนั่งด้วยเท้าหลัง สองเท้าหน้าเหยียดตรง แหงนหน้ามองนางอยู่ เอียงหัวซ้ายทีขวาทีช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
"หิวหรือ" หญิงสาวอุ้มฟานฟานน้อยขึ้นมาวางบนโต๊ะตรงหน้า แล้วหยิบขนมบิเป็นชิ้นเล็กๆ ส่งให้ ซึ่งเจ้าพยัคฆ์น้อยดมๆ ขนมกลางฝ่ามือของหลินหลินแล้วพ่นลมหายใจ สะบัดหัวไปมาก่อนจะเงยหน้าบอกนาง "หิวหิว กินกิน"
"เลือกกินจริงนะ เจ้าตัวยุ่ง" นางใช้นิ้วชี้จิ้มกลางหน้าผากมันเบาๆ
มันส่ายหัวปฏิเสธ ยืดตัวนั่งบนเท้าหลัง จ้องหน้านางพลางร้องบอก "ยุ่ง? เด็กดี เด็กดี" จนชิงหลินหลุดหัวเราะเสียงดัง
เฟิ่งอิงนั่งมองภาพคุณหนูในคราบบุรุษหน้าหวานกำลังหยอกเย้ากับพยัคฆ์น้อย ส่งเสียงร้องเล็กๆ คล้ายกำลังเลียนแบบมันอย่างยากจะละสายตา มันช่างตรึงตาตรึงใจเขานัก
ใบหน้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู ผิวขาวเรียบเนียนราวหิมะคล้ำลงเล็กน้อย แต่นางหาได้ใส่ใจไม่ ยังคงตะลอนออกไปตากแดดตากลมทุกครั้งที่สบโอกาส อยู่ง่ายกินง่าย ไม่บ่นให้ระคายหู เป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น จนบ่าวไพร่ต่างก็พากันชื่นชมสรรเสริญ รวมทั้งเขาด้วย
"คุณชายหยาง แม่ทัพมู่มาขอพบเจ้าค่ะ" นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามารายงาน
"เอ๋? เชิญแม่ทัพมู่เข้ามา"
นางกำนัลรับคำสั่งแล้วยอบกาย ถอยห่างออกไปที่หน้าประตู เชื้อเชิญแม่ทัพให้เข้ามาด้านใน
เมื่อมู่หลิ่งเหวินเข้ามาภายในห้อง ดวงตาคมทรงเสน่ห์ก็กระตุกด้วยความไม่พอใจเมื่อเห็นเฟิ่งอิงอยู่ในห้องด้วย
"เชิญนั่งขอรับ" ชิงหลินจึงรีบเชิญเขาให้นั่งลง ทั้งยังปรับเสียงให้ทุ้มห้าวเช่นยามที่กล่าวกับขันทีนางกำนัล แม่ทัพหนุ่มถึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงแต่โดยดี
"ท่านมีธุระกับข้าหรือ" เอ่ยถามเมื่อเห็นเขาเอาแต่มองไปรอบๆ
"ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า...เพียงลำพัง" ประโยคหลังมองเฟิ่งอิงที่ยืนอยู่ข้างหลังคู่หมาย พูดเพียงเท่านั้นเฟิ่งอิงก็เข้าใจ ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้ทั้งสองแล้วเดินออกไปจากห้อง
หลังจากประตูห้องปิดลง ชิงหลินที่ยังยืนหันหน้าไปทางประตูจะหันกลับมาถามเขา ก็ถูกคู่หมายสวมกอดจากข้างหลังโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มือใหญ่เกาะกุมมือเรียวเล็กไว้แน่น แผ่นหลังเล็กบอบบางสัมผัสได้ถึงความกำยำหนั่นแน่นของกล้ามเนื้อบุรุษที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ความร้อนเริ่มแผ่กระจายจากร่างสูงมายังร่างเล็กอย่างต่อเนื่อง
การกระทำของเขาทำให้นางอึ้ง ยืนแข็งทื่อจนกระทั่งเขาหมุนตัวนางให้หันมาเผชิญหน้า เชยคางของนางขึ้นด้วยมือข้างเดียว อีกข้างก็จับต้นแขนนางแล้วบีบเบาๆ นางถึงได้รู้สึกตัว "อยู่ที่นี่เจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าหลงเชื่อใจผู้ใดง่ายๆ เข้าใจหรือไม่" แม่ทัพหนุ่มกำชับคู่หมายเสียงแหบพร่า
"ข้ารู้แล้ว" ชิงหลินตอบ
"ข้าคงมาหาเจ้าบ่อยๆ ไม่ได้ ฉะนั้น...จงอยู่ใกล้เฟิ่งอิงไว้"
"อืม เจ้าค่ะ"
"อย่าเที่ยวเล่นซุกซน"
"ข้าไม่ใช่เด็ก"
"อย่าทำตัวโดดเด่น"
"ข้าไม่เคยอยากเด่นดัง"
"อย่านอกใจข้า"
"ข้าไม่เคยนอก...เอ๊ะ...เมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ" ชิงหลินสะดุดกับคำพูดสุดท้ายของเขาจึงเอ่ยถาม
"แล้วไปเถิด ข้าต้องกลับแล้ว" แม่ทัพหนุ่มทิ้งมือลงข้างตัว จ้องตาคู่หมายครู่หนึ่ง แล้วหมุนกายเดินจากไปทันที ท่ามกลางความงุนงงของชิงหลินกับฟานฟานน้อยที่นั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบ
ยามเฉินวันต่อมา
ชิงหลินในคราบหยางเริ่นได้รับเชิญให้ร่วมโต๊ะเสวยกับองค์รัชทายาทและพระชายาหลิว หรือหลิวซูเหม่ย บุตรีของราชครูหลิวจง พันธมิตรที่แข็งแกร่งของอัครเสนาบดีตู้ฮุ่ยเปียว
หลิวซูเหม่ยเป็นคุณหนูที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ รูปโฉมงดงามและเพียบพร้อมในทุกด้าน กิริยามารยาทอ่อนหวานนุ่มนวล จิตใจงดงาม และยังเป็นสตรีที่องค์รัชทายาทโปรดปรานมากที่สุด
"อาหารของวังองค์รัชทายาทเป็นเช่นไรบ้าง" พระชายาหลิวถามเสียงหวาน
"รสชาติดีเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหลินดัดเสียงตอบกลับไป
ฉีเฟยหลงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ยิ้มขบขันกับท่าทางเลียนแบบบุรุษของสตรีในคราบหนุ่มน้อยหน้าหวาน
"เช่นนั้นเราก็วางใจ เห็นองค์รัชทายาทรับสั่งว่าท่านมีความสามารถพิเศษ เช่นนั้นจะช่วยเราหน่อยได้หรือไม่" พระชายาหลิวถามต่อ
"หากเป็นเรื่องที่กระหม่อมทำได้ กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหลินในคราบหยางเริ่นตอบแบ่งรับแบ่งสู้
"เราเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง แต่หมู่นี้ไม่รู้มันเป็นอันใด เอาแต่นอนเหม่อ ซ้ำยังทำท่าหวาดกลัวทุกคราที่ผู้คนเข้าใกล้ แม้แต่ตัวเราผู้เป็นเจ้าของ" พระชายาหลิวกล่าวพลางทอดถอนใจเบาๆ
"ขอกระหม่อมดูสุนัขตัวนั้นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" นางไม่กล้าฟันธงว่ามาจากการถูกทารุณกรรม จนกว่าจะได้สังเกตอาการและสอบถามมันด้วยตัวเอง
"เราจะไปด้วย" ฉีเฟยหลงกล่าวขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจของสตรีทั้งสอง
"จริงหรือเพคะ" พระชายาหลิวถามเสียงหวาน ใบหน้างามแย้มยิ้มอย่างมีความสุขที่สวามีให้ความสำคัญในเรื่องเล็กน้อยของตน
"จริงสิ เรื่องของเจ้าก็เป็นเรื่องของเราเช่นกัน" ฉีเฟยหลงหันมากล่าวกับชายาของตน
"องค์รัชทายาท"
เมื่อเห็นกิริยาเอียงอายของสาวงามแล้ว ชิงหลินจึงรีบเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างรู้งาน
"ไปเถิด" ฉีเฟยหลงกุมมือขาวผ่องของพระชายา ลุกขึ้นเดินเคียงคู่กันไป โดยมีชิงหลินอุ้มเจ้าฟานฟานน้อยที่เล่นอยู่บนพื้นมาไว้แนบอกแล้วเดินตามทั้งสองไป ปิดท้ายด้วยเหล่าขันทีและนางกำนัลนับสิบ มุ่งหน้าไปยังตำหนักพระชายาทันที