webnovel

ตอนที่ 8 พรที่ได้รับกับอันตรายที่รออยู่1/2

หลังงานเลี้ยงเลิกรา มู่หลิ่งเหวินมิได้ไปส่งคู่หมาย ทั้งที่ใจร่ำร้องอยากไป แต่จำต้องตัดใจยืนส่งนางขึ้นรถม้า แล้วก็ควบอาชามุ่งหน้าไปยังเมืองลั่วหยางอย่างเร่งรีบ โดยรองแม่ทัพจางมู่หลงมิได้ล่วงรู้ถึงจุดประสงค์การแอบหนีภารกิจของแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งเห็นบ้านเมืองสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องส่วนตัวเป็นเพียงเรื่องรองในครั้งนี้เลย

ยามไฮ่ ณ คฤหาสน์สกุลชิง

"เฮ้อ เหนื่อยจังเลย" ชิงหลินทิ้งตัวลงนอนทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุด ดวงตากลมโตเหม่อมองเพดานห้อง ครุ่นคิดถึงเรื่องราววันนี้ ก่อนจะออกมานางได้เจรจาขอไถ่ตัวสาวใช้นามว่าเสี่ยวเอินของหานหนิงอัน ด้วยเงินห้าร้อยตำลึงเงิน ซึ่งมากกว่าที่จวนเสนาบดีหานซื้อมาถึงห้าเท่า และหานหนิงอันยอมตกลงอย่างไม่มีทางเลือก เพราะนางแสร้งพูดขู่ไปว่ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ส่วนเสี่ยวเอินพอทราบเรื่องถึงกับคุกเข่าคำนับขอบคุณนางหลายครั้งด้วยความซาบซึ้งใจ

"เสี่ยวสุ่ย พรุ่งนี้เจ้าช่วยหาที่หลับที่นอนเพิ่มด้วยนะ" ชิงหลินสั่งเสียงเอื่อยๆ พร้อมดวงตาที่ปรือจะปิดมิปิดแหล่

"จะมีบ่าวมาใหม่หรือเจ้าคะ คุณหนู...คุณหนู อ้าว หลับไปเสียแล้ว ดูสิ พี่เสี่ยวอี้ คุณหนูยังไม่ทันเปลี่ยนชุดเลย" เสี่ยวสุ่ยถอนใจ รู้สึกเห็นใจคุณหนูของตนนัก

"เปลี่ยนตอนหลับได้ ลงได้หลับแล้ว ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย คุณหนูก็ไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ หรอก เจ้ามาช่วยข้าเร็วเข้า" เสี่ยวอี้กล่าวกับน้องสาว นางยิ้มอย่างมีความสุข สายตาที่มองนายสาวเต็มไปด้วยความเทิดทูน

"นังหนู นังหนู ตื่นมาคุยกับข้าก่อน เฮ้ย นังหนู ข้าบอกให้ตื่น ไม่ตื่นหรือ นี่แน่ะ"

เผียะๆๆ

"โอ๊ย! เจ็บ! ใครกล้ามาดีดหน้าผากคนกำลังหลับกันเนี่ย"

"ข้าเอง นังหนู" เจ้าของเสียงมองวิญญาณช่อลดาที่ลอยออกมาจากร่างชิงหลิน พร้อมกับมีสีหน้าเหยเกด้วยความระอาใจ

"นึกว่าใคร ที่แท้ก็ท่านยมนี่เอง จริงสิ เสียงที่ร้องเตือนฉันเมื่อตอนกลางวันคือเสียงของท่านยมใช่ไหม แล้วท่านมาหาฉันมีอะไรเหรอ หรือว่ามารับดวงวิญญาณของฉัน แล้วก็นะ คราวก่อนลืมถาม ทำไมท่านต้องมารับดวงวิญญาณเอง ท่านเป็นเจ้าแห่งโลกหลังความตายนะ ลูกน้องกับบริวารไม่มีเหรอ แล้ว..."

"หยุด! เจ้านี่ น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้าหนูจำไมเสียจริง ถามมากเหลือเกิน" ยมบาลรีบยกมือห้าม ส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่ายกับความขี้สงสัยของช่อลดา

"ขอโทษค่ะ ฉันตื่นเต้นไปหน่อย" ช่อลดายิ้มแห้งๆ ยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เขิน

"เอาเถอะ ที่ข้ามาหาเจ้าเพราะมีเรื่องต้องบอกเจ้า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าจะเข้าใจภาษาสัตว์ และยังพูดคุยกับพวกมันได้ แต่ระวังหน่อยก็แล้วกัน"

"ระวังอะไรคะ"

"ก็ถ้าเจ้าสุ่มสี่สุ่มห้ายืนคุยกับพวกมัน คนอื่นจะมองว่าเจ้าเป็นบ้าน่ะสิ ฮ่าๆๆ"

"..."

"อ้อ เรื่องรอยสักรูปมังกรบินสีฟ้ากลางหลังของเจ้า ข้าแถมให้เพราะเห็นว่าเจ้าชอบ ส่วนเรื่องเสียงเตือนเมื่อตอนนั้นก็เป็นเสียงข้าเอง และเรื่องที่ข้าต้องมารับวิญญาณเจ้าเอง ก็เพราะเจ้าสุวานมันดันลา ทีนี้คงหายข้องใจแล้วสินะ เจ้าหนูจำไม หมดธุระของข้าแล้ว โชคดีนะนังหนู"

"ดะ...เดี๋ยวสิ ท่านยมมม ไปซะแล้ว อะไรเนี่ย มาไวไปไวยิ่งกว่าจรวดอีก"

ยามเฉิน หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองลั่วหยาง

จางมู่หลงเดินไปมาเหมือนเสือติดจั่น ใบหน้างดงามคล้ายสตรีฉายแววเคร่งเครียด เมื่อพบว่าแม่ทัพใหญ่ที่บอกไว้เพียงว่าจะไปขี่ม้าเล่น ไม่ต้องตามมา ผ่านไปแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ยังไร้วี่แวว 'ท่านไปที่ใด และไปทำสิ่งใดกันแน่ เหตุใดต้องปิดบัง'

ฮี้ๆๆ

"หยุดดด!" แม่ทัพหนุ่มกระตุกรั้งบังเหียนม้าให้หยุด ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้าศึกคู่ใจสีน้ำหมึกตัวพ่วงพีด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนเพลียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งที่เดินทางนานนับสี่ชั่วยามโดยไม่ได้หยุดพัก

"คุณชาย ท่านไปที่ใดมา พวกข้าเป็นห่วงท่านยิ่งนัก อย่าบอกว่าท่านไปขี่ม้าเล่น" จางมู่หลงปรี่เข้าไปถามมู่หลิ่งเหวิน เหตุที่ใช้คำเรียกว่าคุณชายเพราะเป็นภารกิจลับ จำต้องปิดบังฐานะเพื่อความสะดวกในการทำภารกิจ

"ข้าอยากอาบน้ำ ช่วยไปเตรียมน้ำให้ข้าที" เขาสั่งเสร็จสรรพก็จ้ำอ้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม ทิ้งให้จางมู่หลงยืนอ้าปากค้าง ก่อนจะถอนใจแรงกับความแปรปรวนของแม่ทัพหนุ่ม

หนนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่แม่ทัพหนุ่มทิ้งภารกิจหายไปเพียงลำพัง ทั้งยังไร้ผู้ติดตามนานหลายชั่วยาม วรยุทธ์สูงส่งแล้วอย่างไร ถ้าศัตรูมีมากก็คงต้องมีเพลี่ยงพล้ำกันบ้าง ท่านแม่ทัพน่าจะตระหนักในเรื่องนี้ดีกว่าผู้ใด จากแม่ทัพที่สุขุมเยือกเย็นกลับกลายเป็นบุรุษใจร้อนและขาดความยั้งคิดไปได้อย่างไร

"รายงานคุณชาย พิราบสื่อสารจากชายแดนส่งมาว่าพบเห็นคนที่คล้ายองค์รัชทายาทขอรับ" ทหารนายหนึ่งรายงานเสียงเบา ด้วยภารกิจนี้ต้องทำอย่างลับๆ มีเพียงองค์ฮ่องเต้และแม่ทัพหนุ่มกับผู้ติดตามฝีมือดีอีกห้านาย ซึ่งจางมู่หลงก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะถ้าข่าวองค์รัชทายาทหายตัวไปถูกแพร่งพราย ย่อมเกิดความปั่นป่วนในวังหลวง องค์ฮ่องเต้กังวลพระทัยไม่น้อย แม้จะทรงตระหนักดีว่าโอรสของพระองค์ผู้นี้ชอบหลบหนีไปเที่ยวนอกวังบ่อยๆ ก็ตาม

"จิ้นอี้ จิ้นเอ้อ" มู่หลิ่งเหวินเรียกสองผู้ติดตามร่างใหญ่ฝีมือดีในชุดสีดำ พยักหน้าให้สัญญาณ สองร่างใหญ่ก็หายวับไปจากบริเวณนั้นทันที

"เรียนคุณชาย เถ้าแก่ให้นำสารนี้มาให้ท่าน บอกว่าจากผู้หวังดีขอรับ" มู่หลิ่งเหวินรับสารจากจิ๋นซาน คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกมุมปากยิ้มเมื่อรู้ข้อความในสาร

"เจ้าคิดเห็นเช่นไร" แม่ทัพหนุ่มถามจางมู่หลง

จางมู่หลงรับสารลับไปอ่านทวนแล้วจึงเงยหน้าสบตามู่หลิ่งเหวิน "มังกรหนุ่มหลอกล่อ ปิดบังโฉมหน้า แท้จริงยังอยู่ที่หอหญิงงามที่ดีที่สุดในลั่วหยาง"

"ฮ่าๆๆ อย่างนี้นี่เอง องค์รัชทายาททรงพระปรีชายิ่งนัก และผู้หวังดีคงจะเป็นหนึ่งในองครักษ์ขององค์รัชทายาทจริงแท้แน่นอน แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไปขอรับ"

"แน่นอน ตามล่าจับมังกรหนุ่มคืนสู่ถ้ำทอง" แม่ทัพหนุ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมทอประกายเมื่อตระหนักถึงภารกิจต่อไปหลังเสร็จสิ้นภารกิจนี้

ก่อนยามเฉิน ณ เรือนหยกฟ้า คฤหาสน์สกุลชิง

"จุ๊ๆ ที่รัก เจ้าดูเด็กสาวอัปลักษณ์นางนั้นสิ สายแล้วยังไม่ตื่นอีก"

"ใช่ๆ แล้วดูท่านอนของนางสิ น่าเกลียดยิ่งนัก"

"เจ้ารอข้านะ เดี๋ยวข้าจะรีบไปรีบกลับ"

"ไปดีมาดีนะ ข้ากับลูกจะรอท่าน"

"เฮ้! นี่มันอาหารของข้านะ ชิ่วๆ ไปให้พ้น!"

"โอ๊ย! หนวกหู คนจะนอน มาตะโกนเสียงดังกันอยู่ได้!" ชิงหลินโวยวายเสียงดัง จนเสี่ยวอี้กับเสี่ยวสุ่ยตกใจรีบวิ่งเข้ามาหานายสาวที่เตียงนอน พร้อมกับเสียงที่ได้ยินหายไป

"คุณหนูเป็นอันใดเจ้าคะ?! ฝันร้ายหรือ" เสี่ยวอี้ถามสีหน้าเป็นกังวล

ชิงหลินไม่ได้ตอบคำถามของสาวใช้ แต่กวาดตามองไปรอบห้องเพื่อหาที่มาของเสียงเหล่านั้น พอไม่เห็นสิ่งที่ผิดสังเกตจึงได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างไม่สบอารมณ์

เหนือขึ้นไป ซอกหลืบเพดานมุมหนึ่งภายในห้อง ปรากฏจิ้งจกสองตัวกำลังเอียงหัวมองนางอยู่

"เด็กสาวอัปลักษณ์นั่นเข้าใจที่เจ้ากับข้าคุยกันหรือ" ครอบครัวนกกระจิบที่ทำรังอยู่บนต้นเหมยข้างหน้าต่างกระซิบกันเบาๆ ราวกับเกรงว่าชิงหลินจะได้ยิน "ไม่รู้สิ"

"คุณหนู...คุณหนูเจ้าคะ" เสี่ยวอี้เขย่าแขนเรียกอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

"มีอะไรหรือเสี่ยวอี้" ชิงหลินตื่นจากภวังค์ กะพริบตามองสาวใช้

"จะล่วงเข้ายามเฉินแล้วเจ้าค่ะ" เสี่ยวอี้เตือน

ชิงหลินพยักหน้าเข้าใจและบอกให้ช่วยเตรียมน้ำอาบให้ ครั้งนี้นางยอมให้สองบ่าวปรนนิบัติแต่โดยดี เพราะเสี่ยวอี้รู้ความลับของนางเรื่องรอยสักกลางหลังแล้ว

"ท่านพ่อ ลูกมีเรื่องจะขอเจ้าค่ะ" ชิงหลินเอ่ยหลังจากมื้ออาหารเช้าผ่านไป

"เจ้าจะขอสิ่งใดจากพ่อหรือ" วางถ้วยชาลงแล้วนั่งหลังตรงพร้อมฟังคำขอของบุตรี

"ลูกรู้มาว่าเรามีที่ดินว่างเปล่าแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจวนสกุลมู่ ลูกจึงอยากจะสร้างโรงทานเจ้าค่ะ"

"โรงทาน?" ชิงฮูหยินทวนคำ

"คราวก่อนที่ไปเยือนสกุลมู่ ระหว่างทางลูกเห็นขอทานและคนไร้บ้านมากมาย"

"ว่าต่อไป" ชิงหยวนอมยิ้ม เริ่มจะเข้าใจเจตนาของบุตรี

"ลูกจึงอยากหาทางช่วยคนเหล่านั้นเจ้าค่ะ อย่างแรกก็แจกจ่ายอาหาร"

"นานเพียงใด...หนึ่งเดือน?" ชิงหยวนเอ่ยถาม

"ถ้าลูกบอกว่า...ไม่มีกำหนดล่ะเจ้าคะ ท่านพ่อคิดว่าอย่างไร"

"หือ? แม้ทรัพย์สมบัติเราจะมีมากมายเพียงพอให้เจ้าใช้ทั้งชาติ แต่ว่าเจ้าอย่าลืมว่าพ่อเจ้าผู้นี้เป็นพ่อค้า ย่อมตระหนักถึงผลกำไรเป็นหลัก พ่อเห็นด้วยเรื่องสร้างโรงทาน แต่จะให้ทำตลอดไป พ่อขอคัดค้าน" เพราะเมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ที่โรงทานแห่งนี้คงเนืองแน่นไปด้วยขอทานและคนอดอยากหิวโหยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะควบคุมเป็นแน่

"ลูกหยอกท่านพ่อเล่นเจ้าค่ะ ความจริงลูกมีทางออกสำหรับเรื่องนี้ และท่านพ่อจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนด้วยเจ้าค่ะ"

ชิงหยวนกับชิงฮูหยินมองหน้ากันก่อนหันมามองบุตรี

"ท่านพ่อ ท่านแม่ ยังจำสิ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ"

เสี่ยวอี้วางถาดขนาดกลางลงบนโต๊ะหลังจากคุณหนูของนางกล่าวจบ

"นี่มัน...ดินสอถ่านไม้ที่เจ้าให้คนงานที่คอกสัตว์ทำขึ้นเพื่อเขียนรูปมิใช่หรือ" ชิงหยวนเอ่ยถาม

ชิงหลินพยักหน้า

ชิงฮูหยินหยิบเจ้าแท่งยาวๆ ราวห้าชุ่นหมุนไปหมุนมาด้วยความสงสัยเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น

"ใช่เจ้าค่ะ หลังจากฟื้นขึ้นมา ลูกกลับใช้พู่กันเขียนรูปไม่ได้ดั่งใจ จึงลองหาสิ่งที่ใช้ทดแทนพู่กันดู และมันคือเจ้าสิ่งนี้เจ้าค่ะ" เป็นความจริง แม้จะเป็นศิลปิน แต่นางกลับไม่ถนัดในการใช้พู่กันจีนเขียนรูปเอาเสียเลย มีผลให้นางแพ้การแข่งขันที่จวนเสนาบดีหาน

"แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรหรือ" ชิงฮูหยินถาม

"นอกจากเป็นโรงทานแจกจ่ายอาหารแล้ว ลูกอยากให้มีการสอนเขียนรูปโดยใช้ดินสอถ่านไม้นี้ให้เด็กๆ เหล่านั้น และ..."

เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ชิงหยวนก็เอ่ยปากอนุญาตตามคำขอของนาง ซึ่งชิงฮูหยินเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย ชิงหลินถอนใจโล่งอกที่ความคิดของนางผ่านการเห็นชอบจากทั้งสอง

"อ้อ เฟิ่งอิง เจ้ามาก็ดีแล้ว" ชิงหยวนหันมาทางผู้คุ้มกันคนสนิทที่สาวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"ขอรับนายท่าน" เฟิ่งอิงประสานมือเคารพผู้เป็นนาย ดวงตาเรียวดุเหลือบมองหญิงสาววูบหนึ่งก่อนจะหลุบตาลงมองพื้น

"นับแต่นี้ เจ้าต้องอยู่คอยคุ้มครองและปกป้องบุตรีของข้าให้ดี ห้ามมิให้เกิดอันตรายใดๆ บุตรีของข้าอยู่ที่ใด ข้าต้องเห็นเจ้าประหนึ่งเงาตามตัว เจ้าจะทำได้หรือไม่"

"ท่านพ่อ! ความปลอดภัยของท่านต้องมาอันดับหนึ่ง และลูกไม่ได้ทำสิ่งที่เสี่ยงอันตรายใดๆ ให้ผู้คุ้มกันคนอื่นมาคอยคุ้มกันลูกก็ได้เจ้าค่ะ" เสียงใสค้านอย่างไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของบิดา

"ไม่ได้! เจ้าเป็นบุตรสาวคนเดียวของพ่อ ถ้าเจ้าเป็นอันใดไป พ่อกับแม่เจ้าจะอยู่ได้อย่างไรเล่า"

"นั่นสิ หลินเอ๋อร์ ทำตามที่พ่อเจ้าว่าเถิด" ชิงฮูหยินสนับสนุนคำกล่าวของสามี

"ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินรู้สึกอบอุ่นและตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ กับความรักและความห่วงใยที่บิดามารดามอบให้ นางสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลทั้งสองให้ดีที่สุดตราบลมหายใจสุดท้าย

การสร้างสรรค์งานเป็นเรื่องยาก อย่าลืมส่งกําลังใจให้ไรท์น้าตัวเอง^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts
下一章