ใต้ต้นกัลปพฤกษ์ที่ เลโอ เคยร่ำร้องจนเสียงแห่บแต่คำขอก็ไม่เป็นจริง ปรากฎร่างของชายผู้อ้างตนว่าเป็นเทพบุปผา ชาญ เขาจะมาทำความปรารถนาของสตรีที่เลโอรักยิ่งให้เป็นจริง
"ที่รัก หนูรู้มั้ยว่าทุกอย่างในโลกมีเทพพิทักษ์อยู่" ใต้ต้นไม้ที่กำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมกระจัดกระจายในอากาศ หญิงสาวผู้ครอบครองเสียงใสเสนาะราวกับน้ำค้างยามเช้ากล่าว ผมสีดำเฉดเดียวกับสีม่วงแผ่สยายเต็มหลัง ร่างอรชร และผิวสีงาช้าง พลางดึงเด็กชายที่ใบหน้าถอดแบบเธอราวกับแกะมานั่งบนม้าสีน้ำตาลแก่ด้วยกัน นิ้วเรียวของเธอชี้ไปที่พุ่มดอกไม้เหนือหัวแล้วว่าต่อ "ต้นกัลปพฤกษ์ต้นนี้เองก็มีเทพพิทักษ์เหมือนกัน"
เด็กน้อยยังเด็กเกินว่าจะเข้าใจเรื่องเทพพิทักษ์นัก เขาจึงเอียงคอเล็กๆ เครื่องหมายคำถามแปะเต็มหน้าผาก เป็นเหตุให้มารดาของเขาบังเกิดความเอ็นดูจนต้องหอมแก้มกลมป่องนั่นเป็นการลงโทษ
เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก ดวงตาสีดำขลับสุกสกาวคล้ายดอกไม้ไฟเบ่งบานกลางคืนหน้าร้อน "เทพพิทักษ์ก็คือวิญญาณดีที่ค่อยปกป้องสิ่งสำคัญไงจ้ะ เหมือนกับที่บ้านเรามีคุณปู่คุณย่าปกป้องอยู่"
หญิงสาวไขความกระจ่างให้ลูกชายฟัง สองเรียวแขนที่เหมือนก้านหลิวกระชับร่างตุ้ยนุ้ยให้มาอยู่ในอ้อมอก
"มีคนเคยบอกแม่ว่าถ้าเราอธิษฐานด้วยใจเชื่อมั่นมากพอ ตอนที่ดอกไม้ดอกสุดท้ายหลุดจากขั้วคำขอของเราก็จะเป็นจริง"
"หนูอยากขอบ้าง"
"ที่รักของแม่จะขออะไรเอ่ย" เธอถามอย่างประหลาดใจ จนเมื่อรู้ว่าเด็กน้อยของเธอต้องการเค้กปอนด์ใหญ่ในวันเกิดที่กำลังจะมาถึงก็ทำให้เธอระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง พร้อมเรียกเขาว่า 'เจ้าอ้วนน้อย' "สำหรับลูกแม่กับพ่อจะทำให้ความปรารถนาของลูกเป็นจริงเอง ไม่ต้องขอคุณต้นไม้หรอกจ้ะ"
"แล้วแม่เคยขอพรมั้ยฮะ แม่ต้องเคยแน่ๆ ใช่มั้ยฮะ"
"จ้ะ แม่เคยและตอนนี้แม่กำลังรอให้คำขอสัมฤทธิผลอย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ" หญิงสาวระงับความสุขสันต์ในใจขณะกล่าว เธอทอดมองกิ่งยืดยาวที่เต็มไปด้วยพ่วงดอกไม้สีชมพูโบกสะบัดตามแรงลม กลีบดอกที่หลุดร่วงลอยคุ้งราวกับผีเสื้อโบยบิน ทำให้กลิ่นหอมหวานประจำหน้าร้อนทวีความรุนแรงขึ้น เธอยิ้มออกมาแล้วเด็ดดอกกัลปพฤกษ์จากกิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดมาทัดหูลูกชาย เรือนผมสีดำเหลือบม่วงนั่นช่างเข้ากับดอกไม้สีชมพูยิ่งนัก ริมฝีปากที่เริ่มแห้งเป็นขุยบรรจงจุมติเบาๆ เหนือหน้าผากมน นัยน์ตาที่ถูกกาลเวลาสึกกร่อนเวลานี้มีแต่ความอ่อนโยน "อยากรู้ไหมว่าแม่ขออะไร"
เด็กน้อยยิ้มพิมพ์ใจมุดเข้าซอกแขนเธอแล้วใช้แขนป้อมสั้นกอดเธอไว้ หัวทุ้ยพยักหน้าพร้อมกับมองมารดาที่งดงามราวกับนางฟ้า
"แม่ขอว่า..."
จังหวัดบุปผา ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศแพเทอริค แต่หลังการโจมตีของประเทศแถบตะวันตกซึ่งใช้ประเทศเพื่อนบ้านติดชายแดนเหนือเป็นทางผ่าน ทำให้เมืองหลวงถูกยึดไปช่วงเวลาหนึ่ง แม้ภายหลังจะชิงนครคืนมาและปกป้องชาติสำเร็จ แต่รัฐบาลจะไม่ยอมให้ต่างชาติใช้แผนเดิมซ้ำสอง เมืองหลวงจึงย้ายไปอยู่ใจกลางประเทศ ที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลานาน้ำและห่างจากทะเลไปไม่ใกล้ไม่ไกลแทน
อย่างไรก็ดีแม้จะถูกเปลี่ยนให้เพียงจังหวัดหนึ่งของประเทศ แต่จังหวัดบุปผาไม่ได้ลดมนตร์ขลังลง และวัฒนธรรมที่หลงเหลือจากชาติตะวันตกก็ช่วยเสริมให้จังหวัดที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดกลายเป็นจังหวัดแห่งประวัติศาสตร์
และทุกเขต (อำเภอ) ในเมืองนี้จะถูกเรียกด้วยชื่อสี อาทิเช่น เขตสีฟ้า เขตสีแดง หรือเขตสีม่วง สาเหตุมาจากสมัยที่ประเทศยังปกครองด้วยระบอบสมบูรณายาสิทธิราช ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน จักรพรรดิพระองค์หนึ่งทรงชื่นชอบดอกไม้เป็นอย่างยิ่ง ท่านทรงกระแสรับสั่งให้ข้าราชบริพารปลูกพืชมีดอกทั่วทั้งเมือง โดยแบ่งเป็นเขตละสี จนครบทั้งเจ็ดตามสีของสายรุ้ง
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเมืองแห่งนี้จึงถูกเรียกว่าจังหวัดบุปผา
อนึ่งมีสีหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนวัย ความรัก และการเริ่มต้น จักรพรรดิแต่งตั้งให้มันเป็นสีประจำโอรสคนโปรดของพระองค์ สีที่ไม่ถูกบรรจุเป็นสีมาตรฐานของสายรุ้ง
สีชมพู
และเรื่องราวของเราเริ่มขึ้นที่เขตสีชมพู เขตนี้เอง
ตีนหุบเขาที่ต้นไม้ทั้งลูกพร้อมใจแตกใบอ่อนเพื่อรอคอยการมาถึงของหน้าฝนอย่างใจจดใจจ่อ โรงเรียนทรงประยุกต์ที่ผสมผสานระหว่างตึกสไตล์โบราณกับความร่วมสมัยตั้งโดดเด่นอยู่ตรงนั้น อาคารเรียนทั้งสามหลังเรียงกันประหนึ่งโดมิโนหันหลังให้ภูเขาเขียวขจี มีถนนสีเทาราดจากปากทางเข้าเรื่อยลงมาจนถึงหอพักสองหลังที่ตั้งประจันหน้าสองข้างทาง ฟากหนึ่งเขียนว่าหอพักหญิง อีกฟากเขียนว่าหอพักชาย ทั้งสองตึกหน้าตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
เวลานี้เองก็มีเด็กหนุ่มท่าทางแบบเดียวกับทหารพลางเดินออกมาจากหอพักชาย เขาเป็นเด็กอ้วนที่สวมเสื้อคลุมสีดำ ใส่แววตาหนาเตอะ ผมยาวกระเซอะกระเซิง บนหน้าผากคาดผ้าสีแดงปักคำว่า 'ชมรมพลังจิต' เด่นหรา เป้ลายพรางยัดอุปกรณ์บางอย่างที่ประกอบด้วยเสาส่งสัญญาณ บางส่วนโผล่ออกมาเพราะมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะยัดลงกระเป๋า แน่นอนว่าคนแบกอย่างคินต้องหอบแฮกเพราะห้องของเขาอยู่ชั้นเจ็ด ห้องบนสุดและตึกนี้ก็ไม่มีลิฟต์ดังนั้นเขาจึงต้องแบกลงบันได
"โอ๊ย! จะตาย จะตายแล้ว เลโอช่วยฉันด้วย" เขาโก่งตัวพิงกำแพงทางเข้าอย่างหมดลม แดดตอนบ่ายหนึ่งทิ่มแทงหนังหัวจนเหงื่อไหลบ่าประหนึ่งน้ำพุกลางหุบเขา ไม่ไกลจากจุดที่คินกำลังจะตายเพราะบันไดเจ็ดชั้นมีกลุ่มก้อนของเด็กม. ปลายที่แต่งตัวเหมือนเขา ทั้งหมดเห็นเขาแล้วจึงตะโกนเรียก แต่ไม่มีใครคิดจะมาช่วยเขาแบกเป้เลยสักคน
ใครใช้ให้เขาเป่ายิงฉุบแพ้กันเล่า
"ใจร้ายชะมัด ไอ้พวกใจดำ" เขารำพึงเสียงกัดฟัน
จังหวะเดียวกันนั้นก็มีอีกคนเดินตามหลังลงมา เสียงรองเท้าบูตที่ขัดจนดำเหลื่อมแตะพื้นกระเบื้องเป็นทำนอง เส้นผมสีดำเหลือบม่วงราวกับขนนกราเวนเปล่งประกายยามพระอาทิตย์ตกกระทบ ดวงตาสีออบซิเดียนถูกเงาขนตาบดบังไปเสียครึ่ง ผิวสีงาช้างอันเป็นลักษณะของชาวพื้นเมืองดูแตกต่างเมื่ออยู่บนตัวของเขา ริมฝีปากสีแอปพริคอตเรียบนิ่งไร้รอยหยัก
เขาดูเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบหรือไม่ก็หยกที่ผ่านการแกะสลักจากช่างฝีมือชั้นครู เชิ้ตขาวแขนสั้นกับกางเกงเหนือเข่ายิ่งทำให้ผิวของเด็กหนุ่มคล้ายจะเปลี่ยนเป็นพระอาทิตย์เดินได้อีกดวง
ด้วยใบหน้านี้คงชวนให้คนเข้าใจผิดง่ายๆ ว่าเขาเข้าผิดหอหรือไม่ คินเองก็ตกใจเช่นกันตอนที่รู้ว่ารูมเมตตนคือเลโอ เขาถึงขนาดคิดว่าหออนุญาตให้ผู้หญิงมาพักรวมกับผู้ชายได้ตั้งแต่เมื่อไร จนกระทั่งเห็นบัตรประจำตัวนักเรียนของเลโอนั่นแหละเขาถึงตื่นจากฝัน
"ให้ช่วยไหม"
แต่ถึงอย่างนั้นคินก็เชื่อว่ามีหลายคนยอมแลกห้องนอนกับเขาเพื่อให้ได้อยู่ใกล้เลโอ
"นายคือเทวดาของฉัน" ของในกระเป๋าเป็นผลการทดลองที่แลกมาด้วยเลือดและเหงื่อของคนในชมรม ถึงจะหนักอย่างไรคินก็ตัดใจวางกับพื้นไม่ลง แน่ละ ถ้าเขาทำอย่างนั้นมีหวังรุ่นพี่บางท่านได้กระโดดกัดคอเขาขาดแน่
ของที่คินคิดว่ามีน้ำหนักเท่าโลกทั้งใบถูกหิ้วง่ายๆ ด้วยมือเพียงข้างเดียว รอให้เขาหายใจหายคอคล้องถึงกลับไปแบกต่อ ระหว่างนั้นก็พูดชวนเลโอแบบเดียวกับตอนก่อนจะออกจากหอ
"นายไปกับพวกเราได้นะ ถึงคนในชมรมจะถูกหาว่าเป็นพวกเพี้ยนแต่รุ่นพี่ใจดีมาก ขึ้นไปสำรวจป่านายจะได้ถ่ายรูปด้วย"
"ผมขอผ่าน" เลโอก็ปฏิเสธแบบเดียวกับเมื่อเช้า "ผมจะไปสวนข้างโรงพยาบาลที่นั่นเองก็มีป่าแบบเดียวกัน อีกอย่างผมไม่สนใจเรื่องลี้ลับเท่าไร"
"แต่สัปดาห์ก่อน สัปดาห์ก่อนๆ นายก็ไป-"
คินทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่เลโอผละไปเสียแล้ว ทิ้งไว้แค่แผ่นหลังสุดเท่และโบกมือลา เด็กหนุ่มร่างท้วมถอนหายใจทำเพียงโบกมือตอบแล้วก็แบกเป้เดินไปหาเพื่อนร่วมชมรมที่รออยู่ คนทั้งหมดกระซิบกระซาบกันตอนคินรวมกลุ่ม ก่อนจะมีเสียงโห่คลื่นใหญ่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผิดหวังที่คินชวนเลโอไม่สำเร็จอีกแล้ว
แต่เด็กหนุ่มผมดำเงากลับไม่ได้รับรู้ถึงความต้องการนั้น สองขาดั่งก้านไผ่ไต่ลงจากเนินเขาไปยังหมูบ้านข้างล่างอย่างรวดเร็ว ร่มเงาของต้นไม้สองข้างทางลดทอนความร้อนของแสงอาทิตย์ทำให้บนร่างกายแทบไม่มีเหงื่อสักหยด คูน้ำไหลจากกลางภูเขาส่งเสียงคลอไปกับจักจั่นที่ลอกคราบเสร็จแล้ว ถึงจะเป็นเขตสีชมพูแต่เมื่อเข้าใกล้หน้าฝนดอกไม้ที่บานเกือบทั้งปีก็หลุดร่วงจนหมด ทิ้งเศษซากสีน้ำตาลเกลื่อนพื้นรอคนทำความสะอาด
เขตสีชมพูติดต่อกับภูเขาโอบล้อมทั้งสองทิศ ตรงกลางหมู่บ้านเป็นทะเลสาบกินพื้นที่เกืแบร้อยไร่ บ้านเรือนจึงปลูกสร้างในลักษณะของจันทร์เสี้ยวเรียงรายจากตีนเขาไปถึงริมทะเลสาป
จุดหมายปลายทางของเลโอคือโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่อีกฟากของหมู่บ้านซึ่งเป็นปลายเสี้ยวของพระจันทร์ ที่นั่นมีสวนกัลปพฤกษ์ห้าร้อยปีรอเขาอยู่
ตลอดทางมีเด็กหนุ่มคนสาวรุ่นราวกับเดียวเลโอเดินสวนบ้างประปราย ทั้งหมดไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้าชวนตะลึงของเลโอได้ แต่เพราะกำแพงใสๆ ที่สร้างจากท่าทางเงียบขรึม การพูดแบบเดียวกับหุ่นยนต์ และการปฏิบัติตนราวกับหนังสือกฎระเบียบเดินได้ ทำให้น้อยนักจะกล้าพูดคุยกับเลโอ น่ากลัวว่าถ้าคินไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องก็คงไม่มีใครพอจะเรียกว่าเพื่อนสนิทของเลโอได้
ระยะทางจากโรงเรียนไปถึงโรงพยาบาลนับว่ายาวมาก ต้องใช้เวลาชั่วโมงครึ่งจึงจะถึง แต่นั่นทำอะไรเลโอไม่ได้เขาใช้เวลาถ่ายรูปไปตลอดทางด้วยกล้องสีดำที่ติดโลโก้คุ้นตา
แชะ
แมวขนาดเท่าถังแก๊สปิกนิกนอนเกลือกกลิ้งข้างยอดหญ้าที่พลิวตามแรงลม
แชะ
เด็กหญิงที่กำลังปั่นจักรยานสีแดงย้อนขึ้นไปบนภูเขาด้วยสีหน้าจวนเจียนจะร้องไห้
แชะ
คุณตาที่กำลังเล่นกับหมาขนสีทองอร่ามหลังประตูรั้วทำจากไม้ ใบหน้ายับย่นจากการยิ้มเหมือนกับโกลเด้นตัวใหญ่ที่เลียหน้าคุณตาอย่างรักใคร่
ภาพทั้งหมดบ่งบอกถึงฝีมือแสนวิจิตรของคนถ่าย แสงเงารวมถึงองค์ประกอบถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งพอเหมาะ ไม่น่าแปลกที่ภาพที่เขาถ่ายจะถูกนำไปจัดแสดงหน้าบอร์ดโรงเรียน
พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยจากกลางศีรษะไปหาขอบฟ้าอย่างเงียบงัน เขามาถึงสวนกัลปพฤกษ์ก็ตอนที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ทะเลสาบถูกสายลมสร้างระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าส่องประกายดุจอัญมณี ต้นกกแทงขึ้นบริเวณน้ำตื้นมีนกกระจาบบินมาเกาะ ตรงกลางทะเลสาบมีเรือลำน้อยที่กำลังถูกถ่อเข้าฝั่ง
ในอดีตเขตสีชมพูเคยเป็นจุดที่ทหารต่างชาติมายึดครองร่วมสามปี หลังพ่ายแพ้สงครามพวกเขาจึงขนคนกลับแต่สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกไม่ได้จางหายไปด้วย โรงพยาบาลแมร์รี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญเพราะแรกเริ่มที่นี่เดิมคือศูนย์บัญชาการของต่างชาติ ตึกสีขาวมีเหลี่ยมมุมคดโค้งลายก้นหอย หน้าต่างทำให้เหมือนดอกบัวตูม และมีรูปปั้นเทพสงครามบนยอดด
แม้ภายหลังรูปปั้นจะถูกทุบทำลายลงแต่ด้วยความเสียดายตัวอาคาร รัฐบาลจึงสั่งให้หมอและพยาบาลใช้ที่นี่ต่างโรงพยาบาลก่อนจะกลายเป็นโรงพยาบาลแมร์รี่ในปัจจุบัน
ไม่ต่างจากต้นไม้บนภูเขาโดยรอบ สวนกัลปพฤกษ์เองก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวอย่างที่ควรเป็น เลโอไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาที่นี่ทุกสัปดาห์ ใช่ ทุกสัปดาห์ผู้ป่วยที่มองจากหน้าต่างโรงพยาบาลจะเห็นร่างเล็กสวมชุดสีขาวสะอาดกับกล้องหนึ่งตัวมาที่นี่ เขาจะเดินไปทั่วราวกับตอกย้ำรอยเท้าของสัปดาห์ก่อนแล้วมาหยุดที่ต้นกัลปพฤกษ์อายุห้าร้อยปีซึ่งปลูกชิดริมน้ำเห็นได้ชัดว่าพงเผ่าของมันแผ่ขยายไปจนกินพื้นที่ทั่วทั้งเขตสีชมพู
รากบางส่วนยื่นออกไปดูคล้ายกับชะแง่งหินในถ้ำมากกว่ารากไม้ รั่วที่ทำจากเหล็กกันยาวครอบคลุมบริเวณที่โรงพยาบาลเห็นว่าเป็นอันตรายต่อคนไข้ผู้ต้องการพักผ่อนข้างสระ
ใต้ต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดมีม้านั่งที่เก่าแก่ไม่แพ้กัน มันคือม้านั่งตัวเดียวกับความทรงจำที่ยังแจ่มชัดในสมองของเลโอ เขานั่งลงหลังจากถ่ายรูปจนสาแก่ใจ สายลมอบอุ่นละเลียดผิวกายนอกลมผ้า เงาที่ทอดลงมาทำให้เขา ผู้ซึ่งเย็นชาราวกับน้ำแข็งไร้วันละลายเวลานี้ช่างดูโดดเดี่ยว
"หนูต้องเป็นช่างถ่ายรูปที่เก่งที่สุดเมื่อโตขึ้นแน่นอน แม่เชื่ออย่างนั้น"
แม่ของเขาพูดในวันที่มอบกล้องตัวแรกเป็นของขวัญวันเกิดครบเจ็ดขวบ
นิ้วเรียวเลื่อนภาพในกล้องไปเรื่อยๆ ทั้งที่เป็นคนถ่ายแต่เลโอกลับไม่รู้สึกว่ามีภาพไหนสวยพอจะทำให้หยุดมองได้เป็นครั้งที่สอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนชอบการถ่ายรูปจริงๆ หรือเปล่า
นิ้วสีขาวซีดเลื่อนรูปจำนวนหลายพันรูปจนถึงหน้าร้อนเมื่อหกปีก่อน ภาพนั้นถูกถ่ายโดยนางพยาบาล มีสามคนพ่อแม่ลูกนั่งอยู่ใต้กัลปพฤกษ์ที่ออกดอกบานสะพรั่ง
เด็กน้อยยิ้มร่า ในขณะที่สองคนด้านข้างก็ส่งยิ้มมุมปากให้กล้อง หญิงสาวในภาพดูทรุดโทรมราวกับถูกโลกทั้งใบกดทับ ใบหน้าของเธอซูบตอบอย่างน่ากลัว เส้นผมที่เคยเงางามกลับเป็นเป็นสีขาวโปร่งแสงตัดกับชุดสีฟ้าอ่อนของโรงพยาบาล
เลโอลูบภาพนั้นราวกับต้องการยืนยันว่านี่เป็นเพียงฝันร้ายที่แสนยืดยาว
ความจริงบ้านของพวกเขาอยู่ในเขตสีม่วง ใหญ่กว่าเขตสีชมพูถึงสามเท่า ดอกไม้ที่เขาเห็นจนชินตาคือดอกไฮเดนเยียไม่ก็วิสทีเรีย เขาชอบพวกมันนะ แต่หลังจากแม่ของป่วยเป็นโรคหายากที่พบได้แค่หนึ่งในสิบล้านทั้งสามเลยต้องย้ายที่อยู่ชั่วคราว
เขตสีชมพู บ้านใหม่ของพวกเขา
โรงพยาบาลของบ้านเก่ามีเยอะกว่าเขตสีชมพูแต่เพราะที่นี่มีหมอซึ่งเชี่ยวชาญโรคที่ว่าประจำอยู่ เลโอวัยเจ็ดขวบจึงต้องเปลี่ยนมาชอบดอกเชอร์รี่บลอสซั่มกับกัลปพฤกษ์แทน
หลังรักษาตัวอยู่สามปี แม่ก็ค่อยๆ ถูกกะเทาะเปลือกแสนสวยงามจนเหลือแค่ร่างเหี่ยวแห้งเหมือนต้นไม้ที่ถูกด้วงกัดกิน รอวันหักโค่นและตายในที่สุด
บางครั้งเขามักจะถามกับตัวเองว่าทำไมโรคพวกนี้ถึงมาเกิดกับแม่ หนึ่งในสิบล้าน นั่นมันมีเลขศูนย์ตามหลังเลขหนึ่งถึงเจ็ดตัวเชียวนะ หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์เขาก็รู้ว่าสิบล้านมีปริมาณเยอะขนาดไหน
-แม่แค่โชคร้าย... พ่อของเลโอตอบคำถามของเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
บางทีเลโออาจไม่ได้ชอบการถ่ายรูปจริงๆ แต่ชีวิตเขาคงว่างเปล่าถ้าไม่ได้ถ่ายไปเรื่อยๆ
"อ่า ช่างภาพตัวน้อย ถ้าแม่กลายเป็นแม่ไก่แก่ๆ ลูกก็ต้องถ่ายรูปให้สวยๆ นะ"
...เพราะว่ามัน
"ที่รัก ดูสิ ฝีมือของแม่ก็ไม่เลว"
เพราะว่ามัน...เป็นสิ่งเดียว
"แม่รักลูกจ้ะ"
เป็นสิ่งเดียวที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้
แม่เคยบอกว่าถ้าอธิษฐานใต้ต้นกัลปพฤกษ์ตอนที่ดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่งถึงขีดสุด แม่เคยบอกว่าถ้าอธิษฐานด้วยใจเชื่อมั่นมากพอความปรารถนาใดๆ ก็จะเป็นจริง ดังนั้น
"หนูขอให้"
บนม้านั่งตัวนี้
"หนูขอให้แม่หายป่วย"
เด็กน้อยร่ำร้อง
"หนูจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซน หนูสัญญา"
เอ่ยคำสัญญา
"ช่วยทำให้แม่ของหนู"
และอธิษฐาน
"ช่วยทำให้แม่หายป่วยด้วยเถอะ"
-ต่อให้แลกด้วยทั้งหมดของหนู หนูก็ยอม
...น่าเสียดาย วันที่ดอกไม้ดอกสุดท้ายปลิดปลิวไปกับสายลม ชีวิตที่ผ่านสายฝนและพายุคะนองของแม่ก็ปลิวหายไปกับดอกไม้...แม่จากไปในหน้าร้อนปีเดียวกับรูปถ่าย
ดอกไม้หลุดร่วงจนเหลือแค่กิ่งโล่งเตียน ไม่นานก็จะแตกใบอ่อนสีเขียว วันเวลาทำให้เลโอรู้ว่าเรื่องเล่าของแม่ก็เป็นแค่ตำนานที่ตั้งขึ้นเพื่อให้คนชื่นชมกับความงามของดอกไม้ มันไม่เคยทำใครหายป่วย และไม่เคยทำใครฟื้นจากความตาย ไม่เคยทำความปรารถนาของใครเป็นจริง
ทั้งที่เป็นแบบนั้น
เลโอจ้องมองเด็กน้อยผู้ยิ้มอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
...ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ทำไมเขายังดื้อด้านจะเชื่อกันนะ
สายลมโหมกระหน่ำจนนกกระจาบพากันแตกฮือ ทำเอาผมที่ถูกจัดมาเรียบร้อยกระจายไปด้านข้าง เลโอหลับตาพร้อมกับแสงสุดท้ายที่กำลังจะเลือนหายไปจากฟากฟ้า ไฟส่องสว่างจุดติดทีละดวงทีละดวง อย่างไรก็ตามแทนที่จะได้ยินเสียงของจิ้งหรีดแต่กลับมีเสียงแหบห้าวของคนวัยหนุ่มดังขึ้นมาแทน
"นี่ นายเป็นช่างถ่ายภาพเหรอ"
เสียงนั้นไม่เหมือนกับคนป่วย หรือเป็นเสียงของบุรุษพยาบาลที่มักเข้ามาพูดคุยกับเลโอ ตอนนี้รอบข้างเปลี่ยวร้างจนพาให้เด็กหนุ่มคิดถึงเรื่องลี้ลับที่รูมเมตกลอกหูแต่เขาไม่กลัวผี เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง "มองไปทางไหนข้างบนหัวนายต่างหาก"
ร่างโปร่งลุกพรวด เงาอันเกิดจากไฟส่องสว่างกลืนกินครึ่งหน้าของเขา มันทำให้เด็กหนุ่มเหมือนตุ๊กตาในตู้โชว์ แต่นั่นไม่น่ากลัวเท่าร่างของใครบางคนบนต้นไม้
เป็นเวลาเดียวกับที่เลโอลุกขึ้น เจ้าของเสียงนุ่มนวลราวกับพระอาทิตย์ตอนเช้าก็ร่อนลงมาจากกิ่งไม้ ไม่ผิด เขานั่งบนกิ่งไม้นั้นตรงหัวเลโอพอดี
แสงไฟสาดใส่ผู้มาใหม่ เส้นผมสีบอร์นราวกับฟากที่ตากแดดมาแรม และยาวพอสำหรับใช้ริบบิ้นสีแดงเบอกันดีผูกไว้หลวมๆ สีของริบบิ้นตัดกับแก้วตาสีฟ้า ชายหนุ่มขาวมากและสูงมากเช่นกัน หากมายืนเทียบ เลโอที่สูง 174 เซนติเมตรคงสูงประมาณคางของเขา เสื้อกั๊กสีเขียวมาลีนพลิวไหวตอนเขาขยับมาใกล้ เสื้อเชิ้ตขาวสะอาดตัวหลวมกับกางเกงสแล็คสีดำ เขาน่าจะอายุยี่สิบต้นๆ ลามไปถึงยี่สิบกลางๆ
"ไง อึ้งขนาดนี้ ไม่เคยเห็นเทพบุปผาเหรอ"