娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 10 คาดเดา
บริษัทเจียงหัวได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อหกสิบปีก่อนโดยจ้าวซินหง เริ่มแรกก็เป็นแค่ธุรกิจร้านอาหารและบาร์ทั่วไป แต่หลายปีมานี้ก็ได้ขยายตลาดและพัฒนาความยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนวิสาหกิจจงหนานของตระกูลเฝิงนั้นอยู่ที่ฮ่องกง พวกเขาทำธุรกิจบาร์เช่นกัน ตระกูลเฝิงสนใจที่จะขยายตลาดจึงร่วมมือกับบริษัทเจียงหัวของตระกูลจ้าว
ตระกูลจ้าวนั้นร่ำรวย มีเส้นสายก็จริงอยู่ แต่ถ้าฟังจากที่แซนดี้พูดมาเมื่อกี้นี้ การที่สามารถร่วมมือกับกลุ่มทหารแถมยังสามารถขอปืนมาใช้ในการแสดงหนัง เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด
ถึงแม้ว่าตระกูลจ้าวจะไม่ได้พื้นเพที่เกี่ยวข้องกับทหาร แต่ตระกูลเฝิงมี
เมื่อหลายปีก่อนเฝิงจงเหลียงก็ได้เข้าร่วมกองพลทหารปฏิวัติ ถึงตอนหลังมานี้ฮ่องกงจะพัฒนาขึ้นมามากแล้ว แต่เพื่อนเก่าของเขาที่เคยเป็นทหารด้วยกันก็ยังมีอำนาจอยู่มาก
และข้อนี้เองที่เป็นเหตุผลที่ตระกูลจ้าวในตอนแรกสนใจเฝิงหนาน ให้เธอและทายาทตระกูลจ้าวไปทานข้าวด้วยกัน
เจียงเซ่อนึกถึงเหตุผลที่น่ากลัวขึ้นมาได้ข้อหนึ่ง คือเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับ ‘เฝิงหนาน’ ไม่ผิดแน่
เธอนึกถึงบทสนทนาในกองถ่ายอีกครั้ง บทสนทนาของจางจิ้งอานและหลิวเย่ จางจิ้งอานได้พูดถึง ‘วิสาหกิจจงหนาน’ ของตระกูลเฝิง และนั่นทำให้สีหน้าของเธอดูแย่ลงมาก มือบางกำหมัดแน่น
เป็นไปไม่ได้ที่เฝิงจงเหลียงจะมาสนใจกับการลงทุนถ่ายทำหนังอะไรพวกนี้ แถมยังใช้ความเกี่ยวข้องกับทหารของตัวเองอีกต่างหาก ที่เป็นไปได้ก็น่าจะมีแค่ ‘เฝิงหนาน’ เป็นคนตัดสินใจทำเองแน่
แต่ว่าทำไม ‘เฝิงหนาน’ ถึงทำได้ล่ะ เจียงเซ่อเม้มปากแน่นแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เผยอี้”
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน เป็นดั่งพี่น้อง
แต่ว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอต้องไปกินข้าวกับทายาทของบริษัทเจียงหัวทำให้ต้องเลื่อนนัดของเผยอี้จนเขาเสียใจ เขาโกรธเธอเลยหนีไปฝรั่งเศส แต่ว่าเจียงเซ่อเชื่อว่าเขาโกรธเธอไปได้ไม่ตลอดหรอก
ขอแค่ ‘เธอ’ ไปขอร้อง เผยอี้จะต้องตกลงแน่ๆ
ตำแหน่งทางกองทัพของตระกูลเผยในหัวเซี่ยก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร เผยอี้เป็นเหลนรักของตระกูล เป็นเหลนหัวแก้วหัวแหวน ถ้าให้เขาเป็นคนออกหน้าทุกอย่างจะต้องราบรื่นแน่
เจียงเซ่อกัดฟันแน่น เมื่อคิดถึงตรงนี้สีหน้าเริ่มเครียดกว่าเดิม ในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก
“เธอว่าอะไรนะ?”
แซนดี้คิดว่าที่เจียงเซ่อพูดออกมาว่า ‘เผยอี้’ คือคุยกับเธอ
แต่เสียงของเจียงเซ่อเบาไปหน่อยจึงได้ยินไม่ชัด หล่อนจึงถามดู
เจียงเซ่อส่ายหัว เธอกำหมัดแน่นพยายามเก็บอาการเอาไว้แล้วตอบออกไปเสียงเบา
“เปล่าค่ะ”
แต่หน้าของเธอซีดมาก คิ้วก็ขมวดกันแน่น ดูไม่เหมือนไม่มีอะไรเลยสักนิด
แต่แซนดี้ก็ไม่คิดอะไรมาก หล่อนคิดแค่ว่าอาจเพราะเจียงเซ่อยืนตากแดดนานเกินไปจนเป็นไข้แดดก็ได้ หล่อนจึงกังวลว่าถ้าเธอต้องไปถ่ายฉากต่อไปแล้วจะไม่ไหวเอา
“ในกองมียาสมุนไพรอยู่นะ ฉันเห็นว่าเธอตากแดดนาน คงจะเป็นไข้แดดน่ะ”
ในใจของเจียงเซ่อตอนนี้รู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด แต่เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย เธอจึงทำได้แค่มองไปที่แซนดี้
“แซนดี้ ขอบคุณนะ”
แซนดี้ขยิบตาให้เธอ แล้วตอบกลับ
“ไม่เป็นไร แต่ถ้าวันไหนดังขึ้นมา ฉันยังรอการสนับสนุนของคุณผู้หญิงอยู่นะคะ” เธอพูดทีเล่นทีจริงและเอาอกเอาใจ
“ฉันออกไปเอายานะ เธอนั่งอีกพักนึงแล้วออกมาแต่งหน้าทำผมนะ”
แล้วหล่อนเตือนขึ้นมาอีก
“อย่าช้ามากนะ สายมากแล้ว”
จางจิ้งอานเป็นผู้กำกับใหญ่ คงไม่มีเวลามารอเธอหรอก ดังนั้นเธอจะต้องรีบทำเวลา
เจียงเซ่อกดอารมณ์ตัวเองไว้แล้วขอบคุณหล่อนอีกครั้ง
พอแซนดี้ออกไปเธอถึงเงยหน้าขึ้นมา แววตาของเธอดูโกรธมาก
เธอเป็นเจียงเซ่อมานานถึงครึ่งเดือน ทำตามกฎที่ตัวเองตั้งไว้มาโดยตลอด เธอจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของเจียงเซ่อเด็ดขาดเพราะกลัวว่าจะทำให้ชีวิตของหล่อนวุ่นวาย
เธอไม่แน่ใจว่าเธอจะยังได้กลับไปเป็น ‘เฝิงหนาน’ เหมือนเดิมไหม แต่ทุกวันนี้ที่เธออยู่ในร่างของเจียงเซ่อเธอก็พยายามใช้ชีวิตให้เหมือนเจียงเซ่อคนก่อนหน้านี้ทุกอย่าง
แม้แต่ตอนที่เธอไม่มีเงิน อยากจะหางานทำเธอก็ยังเลือกงานที่เป็นความฝันของเจียงเซ่อ มาเป็นตัวประกอบ ทำงานอะไรที่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง
เธอคิดแค่ว่า ถ้าในอนาคตเธอกลับไปเป็นเฝิงหนานเหมือนเดิม จะได้ไม่ทำให้เจียงเซ่อตัวจริงเดือดร้อน ไม่ทำให้ชึวิตคนอื่นยุ่งเหยิง
เธอเคยคิดมาตลอดว่าตอนนี้ ‘เธออีกคน’ จะเป็นยังไงบ้าง เธอเคยคาดเดาเอาว่าเจียงเซ่อตอนนี้จะกลายเป็นเฝิงหนานไปรึเปล่า หรือไม่งั้นก็คงเกิดเรื่องขึ้นกับตัวเฝิงหนานแน่
ตั้งแต่เด็กๆ ที่จากฮ่องกงมาพร้อมกับเฝิงจงเหลียง จากพ่อแม่ตัวเองมา ปู่ของเธอเป็นคนหัวโบราณและเข้มงวด เขาเลี้ยงเธอมาอย่างเข้มงวดจริงจัง เธอจึงเติบโตขึ้นเป็นคนที่ค่อนข้างรอบคอบและเก็บเรื่องทุกอย่างไว้ในใจ
ในวันที่เธอกลายมาเป็นแบบนี้ เธอจึงไม่เคยคิดทำอะไรวู่วาม ไม่เคยสัพเพร่า แต่เธอก็มักจะทรมานเพราะเรื่องนี้ เฝ้า คิดหาวิธีว่าทำอย่างไรถึงจะได้ ‘กลับไป’
เธอคิดอะไรมากมาย แต่สิ่งเดียวที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนคือตอนนี้มีคนมาอาศัยอยู่ใน ‘ร่างของเธอ’ และพยายามจะยึดเอา ‘ทุกสิ่งทุกอย่าง’ ของเธอไป ใช้ร่างของเธอทำอะไรหลายๆ อย่างที่เธอไม่รู้!
คนหัวโบราณเข้มงวดแบบเฝิงจงเหลียง ดาราที่เขารู้จักก็มีแค่ในหนังเท่านั้นแหละ การที่ ‘เฝิงหนาน’ คนนั้นเข้าไปก้าวก่ายเรื่องพวกนี้ ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตตระกูลเฝิงจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง
แล้วก็ไม่รู้เลย ว่าตอนนี้ ‘เจียงเซ่อตัวจริง’ กำลังวุ่นวายอะไรกับชีวิตของเธอบ้าง!
พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็แทบจะสงบสติไม่ได้อีกต่อไป
ในใจเธอมันวุ่นวายไปหมด นั่งอยู่ได้ครู่เดียวสุดท้ายก็ลุกพรวดขึ้นมา
เรื่องนี้เธอต้องรู้ให้ได้ว่าตอนนี้ใครกันที่เป็น ‘เฝิงหนาน’ ไม่ว่าจะเป็นใครเธอก็ต้องสืบมาให้ได้!
ด้านนอก แซนดี้เตรียมยาสมุนไพรไว้ให้เจียงเซ่อเรียบร้อยแล้ว ดื่มยาเข้าไปแล้วแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ไฟร้อนในใจของเธอคลายลงได้แม้แต่น้อย
ในขณะที่แซนดี้ช่วยเป่าผมให้เธอช่างแต่งหน้าก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับกล่องเครื่องสำอาง ที่แท้ก็เป็นช่างแต่งหน้าในกองที่ชื่อโทนี่นี่เอง
เขาไม่ทันได้ทักทายเธอก็รีบเปืดกล่องลงมือแต่งหน้าให้ทันที
คราวนี้ไม่ได้มาแต่งให้เธอดูแย่แล้ว ดังนั้นตอนที่เลือกรองพื้น เขาจึงไม่ได้เลือกรองพื้นสีเข้มแล้ว แต่หยิบเอาซีซีครีมสีเนื้อขึ้นมาแทน แต่พอลงไปบนผิวหน้าของเธอเขาก็ขมวดคิ้วทันที
“รองพื้นนี้ก็ขาวมากแล้วนะ แต่ผิวของคุณเจียงยังขาวมากกว่าซะอีก”
แต่พอเขานึกถึงฉากที่เจียงเซ่อต้องถ่าย เขาก็ตัดสินใจใช้ครีมเบอร์นั้นลง
เครื่องหน้าของเจียงเซ่อดูงดงามประณีต แค่เขาแต่งเพิ่มนิดแต่งหน่อยเธอก็ดูงดงามเปล่งประกาย
ก่อนหน้านี้เขาได้รับคำสั่งมาจากผู้ช่วยผู้กำกับว่าจะให้เจียงเซ่อลองเล่นบทหญิงสาวที่ยอมโดนฆ่าตายดีกว่ายอมศิโรราบให้พวกกบฏ เขาจึงแต่งหน้าเธอตามบทบาทที่ได้รับ เขาลงสีบนเปลือกตาให้ดูเข้มแล้วเขียนหางตาเธอให้ดูคมขึ้น ริมฝีปากไม่ลงลิปสติกสีฉูดฉาดแต่ใช้ลิปสีชมพูสีอ่อนสุด ตรงกลางลงลิปสติกสีขาวและเติมรอยแผลบนใบหน้าของเธอ