webnovel

บทที่ 4 CLASS A

การเรียนปรับพื้นฐานเป็นไปด้วยดีตลอด 5 วันจนครบตามกำหนด โทสอนพื้นฐานที่ควรรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับพลังแห่งพรภูมิให้ทั้งคู่อย่างไม่มีกั๊ก ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ถือได้ว่าเด็กสองคนนี้ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่นิด แน่นอนว่าฑูรย์นั้นทำได้ดีสมกับที่เป็นนาคาแรงก์ A แม้จะพอดูออกว่าเป็นมือใหม่แต่ก็ถือว่าเป็นมือใหม่ที่ดูถูกไม่ได้ รอให้ชินกับพลังมากกว่านี้ก็คงไร้ที่ติ เป็นฮีลเลอร์หายากที่คงจะมีชื่อเสียงในอนาคตเป็นแน่

แต่ที่ทำให้โทแปลกใจกว่านั้นก็คงเป็นความสามารถของสัตตะที่เขาไม่อาจประเมินได้เลยจากแค่การทดสอบไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา โดยไม่ให้รู้ตัวโทเพิ่มความยากในการทดสอบสัตตะมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวัน และเด็กคนนั้นก็ผ่านแบบทดสอบได้อย่างง่ายดายอยู่ตลอด แม้กระทั่งบททดสอบที่ยากเทียบเท่ากับแรงก์ A

โทในฐานะอาจารย์ทั้งตกใจและตื่นเต้น เขาอยากจะทดสอบสัตตะอีกเรื่อย ๆ อยากจะรู้ความสามารถที่แท้จริงของเด็กคนนี้ โทรู้ดีว่าสัตตะยังพยายามปกปิดบดบังความสามารถที่มากกว่านั้นไว้ เพราะอะไรกันนะทั้งที่เป็นแค่เด็กแรงก์ F แต่กลับมีทักษะที่น่าทึ่ง หรือเพราะเป็นเด็กที่มาจากนอกกำแพง จึงมีทักษะที่แหลมคมกว่าเด็กในกำแพงหรือ?

ต่อให้ยังคิดไม่ตก แต่โทในฐานะอาจารย์ก็เบิกบานต่อเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เขาถูกใจไอ้เจ้าเด็กแรงก์ F คนนี้มากจริง ๆ

เนื่องจากในวันจันทร์หน้ามหาวิทยาลัยก็จะเปิดเรียนตามปกติแล้ว ดังนั้นวันสุดท้ายนี้จึงเป็นการสอบเลือกคลาสของทั้ง 2 คน โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของปีนี้มีจำนวน 200 คน แบ่งออกเป็น 4 คลาสคือ A-D ลดหลั่นกันตามความสามารถทั้งทางกายภาพและพลัง โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะแยกเป็นแรงก์หลัก ๆ ดังนี้

ห้องคลาส A แรงก์ S-C จำนวน 50 คน

ห้องคลาส B แรงก์ B-C จำนวน 50 คน

ห้องคลาส C แรงก์ C-F จำนวน 50 คน

ห้องคลาส D แรงก์ D-F จำนวน 50 คน

ทั้งนี้เพราะผู้มีพรภูมิในแรงก์ C-E มีจำนวนมากที่สุดจึงถูกจัดให้กระจายกันตามความสามารถทางทักษะการใช้สกิล ในการสอบแบ่งคลาสครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เผ่านาคาอย่างฑูรย์จะมีคะแนนสอบเพียงพอต่อการเข้าคลาส A เพราะตั้งแต่อดีตมาเผ่าพันธุ์แห่งนาคาก็มีระดับความสามารถขั้นสูงเหนือผู้ใดอยู่แล้ว

จะแปลกก็ตรงที่คะแนนของสัตตะเองก็สามารถเข้าคลาส A ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เรื่องนี้อาจารย์โทที่ได้สอนและสัมผัสกับสัตตะมาตั้งแต่ต้น ได้แอบทดสอบฝีมือการใช้สกิลในการรบของสัตตะเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเด็กคนนี้คือของจริง อาจารย์หนุ่มวิเคราะห์ไว้ว่าคงเพราะสัตตะเป็นเด็กนอกกำแพงถึงได้มีทักษะที่น่าทึ่ง เพราะอาจารย์โทเองก็เป็นนักรบคนหนึ่งที่เคยออกไปประจำการที่นอกกำแพง การได้คลุกคลีกับคนที่นั่นทำให้เขารู้ดีว่าแต่ละคนที่แม้เป็นนักรบไร้พลังนั้นมีทักษะในการป้องกันตัวสูงแค่ไหน

แต่แม้อาจารย์โทจะเข้าใจ กระนั้นคณะอาจารย์คนอื่น ๆ กลับไม่เห็นด้วยที่จะให้สัตตะเด็กแรงก์ F เกิดใหม่คนนี้เข้าไปอยู่ในคลาส A แม้ผลสอบจะออกมาดีมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นการประชุมคณะอาจารย์จึงเป็นไปด้วยความตึงเครียด

"อาจารย์โท ถึงคุณจะภูมิใจในเด็กคนนี้แค่ไหน แต่การให้เขาอยู่ในคลาส A มันก็เกินไปนะคะ"

"แต่คะแนนเขาก็ฟ้องอยู่นะครับว่าได้ แถมยังเป็นระดับหัวกะทิได้ด้วย"

"อาจารย์ คุณก็รู้อยู่ว่ามันไม่ใช่แค่การใช้คะแนน คลาส A มันเป็นห้องพิเศษเฉพาะพวกเด็กแรงก์สูง ซึ่งครอบครัวของเด็กพวกนั้นก็ล้วนเป็นคนระดับสูง การที่จู่ ๆ จะเอาเด็กแรงก์ F เข้าไปปะปนมันจะแย่เอานะครับ และต่อให้เด็กคนนี้จะมีคะแนนสูงแค่ไหนแต่แรงก์ของเขามันก็เข้าได้สูงสุดที่คลาส C เท่านั้น"

"จริงด้วยค่ะอาจารย์โท แค่พื้นเพเด็กคนนั้นก็เข้าคลาส A ไม่ได้แล้ว"

"ทำไมครับ ผู้มีความสามารถจะเกิดจากสามัญชนหรือคนนอกกำแพงไม่ได้เชียวเหรอ?"

"ค่ะ! นอกจากเป็นเด็กกำพร้าจากนอกกำแพงแล้ว พลังยังแค่แรงก์ F จะให้เข้าไปอยู่กับบรรดาลูก ๆ ของเผ่าเทวากับนาคาไม่ได้หรอกนะคะ แถมในนั้นยังมีลูกนักการเมืองที่สนับสนุนมหาวิทยาลัยของเรามากมายอีก ขืนให้เด็กคนนี้เข้าคลาส A ได้เป็นเรื่องแน่ค่ะ"

"ถ้าอย่างนั้นเราจะมีการสอบประเมินไว้ทำไม?"

"มันก็ใช้ได้สำหรับคลาส B-D ไงครับ แค่คลาส A เท่านั้นที่ไม่ควรแตะต้อง"

"จริงค่ะ อีกอย่างถ้าเกิดอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบกันคะ?"

"ผมไงครับ! ถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วต้องถามหาความรับผิดชอบ ถึงตอนนั้นผมจะรับผิดชอบเอง!"

"อาจารย์โท!!?"

"ในฐานะที่ผมดูแลเด็กปี 1 ทั้งหมดและเป็นที่ปรึกษาของคลาส A โดยเฉพาะ ผมจะขอใช้ชื่อนักรบแรงก์ S ของผมรับประกันเด็กคนนี้เอง ถ้าผู้ปกครองคนไหนมีปัญหาก็ให้เขามาคุยกับผมได้โดยตรง!"

"...."

"คำขอในฐานะนักรบแรงก์ S ที่เป็นสมบัติชาติ พวกคุณคงไม่ปฏิเสธใช่ไหมครับ"

คำพูดที่จู่ ๆ ก็โพล่งออกมาในที่สุดก็ทำเอาที่ประชุมเงียบสงัด ใช่แล้วอาจารย์โทคนนี้คือนักรบแรงก์ S ที่ถือเป็นสมบัติชาติของอาณาจักรอินทราที่ในอดีตมีเพียง 9 คนเท่านั้น และแม้ตอนนี้จะมีเด็กแรงก์ S กำเนิดใหม่ถึง 3 คน คือรัชทายาท บุตรของแม่ทัพลูกครึ่งนาคาและบุตรของราชครู แต่ก็ยังถือว่าเป็นเด็กจึงยังไม่อาจนับรวมได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เด็ก 3 คนนี้อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ก็จะถูกสลักชื่อเป็นสมบัติชาติเช่นกัน

และการที่สมบัติชาติเป็นคนออกปาก ต่อให้มีอำนาจแค่ไหนก็ไม่อาจขัดขวางได้เพราะมันคือกฎหมายสูงสุดที่ตราขึ้นจากดำรัสของราชาเพื่อให้คุณค่าแก่นักรบของชาติเป็นอันดับหนึ่ง

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้วันเปิดเรียนวันแรก ชื่อของสัตตะ นักเวทย์แรงก์ F ก็กลายเป็นที่โจษจันไปทั้งมหาวิทยาลัย เพราะเป็นเด็กแรงก์ F เพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้อยู่คลาส A ทั้งยังมีผู้หนุนหลังเป็นสมบัติชาติแรงก์ S อย่างอาจารย์โท นักรบผู้ทรงเกียรติ

"นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!!!??"

สัตตะได้แต่ยืนตาถลนพร้อมสบถในใจซ้ำไปซ้ำมาเมื่อมาเรียนในวันแรกแล้วพบว่ารายชื่อของตัวเองดันไปปรากฏที่ห้องคลาส A ที่เป็นแหล่งรวมของพวกคนแรงก์สูง! อีกทั้งยังเป็นคลาสของพวกลูกท่านหลานเธอที่โดยส่วนใหญ่จะยกคลาสกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยม จึงไม่แปลกเลยที่พอเขาเหยียบเข้าหน้าอาคารเรียนทุกสายตาในบริเวณนั้นก็จ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวพร้อมทั้งเสียงซุบซิบราวกับนกกระจอกแตกรัง

ในตอนแรกสัตตะก็นึกไปว่าคงเป็นแค่คำนินทาปรามาสที่เขาเป็นแค่ผู้มีสัญลักษณ์เกิดใหม่ที่มาจากนอกกำแพง ที่ไหนได้พอเห็นกระดานประกาศรายชื่อเท่านั้นแหละก็แทบเป็นลมล้มพับ เขาจำต้องแบกสายตากว่าร้อยคู่ที่มองตรงมาด้วยความหนักอึ้งแล้วรีบจ้ำพรวดปรี่เข้าคลาสเรียนตามแผนที่ เช่นกัน...ทันทีที่เหยียบเข้าไปในห้องนั้น สายตาทุกคู่ก็มุ่งตรงมา!

'ทำไมกูถึงมาอยู่ที่นี่วะ? แรงก์ F ต้องอยู่คลาส C หรือไม่ก็ D สิ ทำไมถึงเหาะมาอยู่คลาส A เนี่ย? เครื่องคำนวณผิดเปล่าวะ!?'

สัตตะได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเดินไปเลือกนั่งตรงโต๊ะหลังสุดริมหน้าต่างเพื่อหยั่งเชิงสายตาเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ พลางคิดว่าอาจเป็นแค่ความผิดพลาดของการประเมินคลาส อีกเดี๋ยวคงมีใครสักคนมาบอกให้ย้ายคลาสแน่ เพราะนี่มันไม่ปกติ ถึงยังไงก็ไม่ปกติ!

ในขณะที่สัตตะกำลังสติแตก เสียงซุบซิบในห้องกับสายตาที่มองมาก็ยังคงทิ่มแทงกันไม่หยุด

'คนนั้นใช่แรงก์ F เกิดใหม่ใช่มะ หน้าไม่คุ้น ทำไมมาอยู่คลาสนี้?'

'ได้ยินจากพ่อว่าเป็นเด็กมาจากนอกกำแพงด้วยนะ'

'เด็กนอกกำแพง เกิดใหม่ แถมแรงก์ F แต่ได้มาอยู่คลาส A เนี่ยนะ? ขนาดแรงก์ C หัวกะทิยังต้องพยายามแทบตาย แล้วหมอนั่นฝีมือเทพมาจากไหนวะ? พ่อแม่เป็นใคร?'

'ได้ข่าวว่ากำพร้าน่ะ'

'บ้าบอเหอะ!'

'นี่กำลังอำกันหรือเครื่องประเมินมีปัญหาวะ?'

'อย่าเสียงดังไป ข่าววงในบอกว่าอาจารย์โทที่เป็นนักรบแรงก์ S เป็นคนรับรองหมอนี่ให้น่ะ'

'เห? เด็กเส้นเหรอ? มาจากนอกกำแพงเนี่ยนะ'

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนของคนที่เดินเข้ามา ในขณะที่สัตตะกำลังจะทนกับสภาพนั้นไม่ไหวก็พอดีกับที่ฑูรย์เดินเข้ามาด้วยความประหม่าแล้วก็เกิดตาเป็นประกายขึ้นทันทีที่หันมาเจอเข้ากับสัตตะ

"สัตตะ!! ดีใจจังที่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ผมตื่นเต้นแทบแย่แน่ะ"

นาคาหนุ่มรีบปรี่เข้ามานั่งข้างกันกับสัตตะ แบบไม่สนไม่แคร์สายตาใครหน้าไหน สัตตะขมวดคิ้วเล็กน้อยกับสภาพของอีกฝ่าย พลางคิดขึ้นได้ว่า

'แหงสินะ…นาคาแรงก์ A ต่อให้เกิดใหม่ก็ยังสูงส่ง คงไม่ต้องสนใครอยู่แล้ว'

และต่อให้สัตตะคิดเช่นนั้นหรือกำลังทำสีหน้าเหม็นเบื่อแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้ฑูรย์ที่กำลังปรี่เข้ามาชะงักไปได้ เพราะตลอด 5 วันที่ได้เรียนมาด้วยกันมันทำให้ฑูรย์เกิดความสนิทสนมกับสัตตะอยู่ฝ่ายเดียวอย่างเหนียวแน่นไปแล้ว จากที่ประหม่าในตอนแรกเพราะเป็นเด็กใหม่ไม่รู้จักใคร พอเห็นว่าเพื่อนเพียงคนเดียวที่มีตั้งแต่ปลุกพลังได้มาอยู่ห้องเดียวกันจึงทำให้ฑูรย์โล่งอก และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างถึงที่สุด

"ดีใจอะไร? เขาน่าจะส่งฉันมาผิดเดี๋ยวก็คงมาย้ายตัวไปแล้ว" สัตตะกระซิบกลับด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มประดา

"อ้าว ทำไมล่ะ ผมไม่เคยได้ยินว่าผลการประเมินของที่นี่จะเคยผิดพลาดนะ สัตตะเก่งจะตายไม่ผิดห้องหรอก" แต่ฑูรย์กลับคัดค้านความคิดนั้น

"แต่ฉันแรงก์ F นะ คลาสนี้อย่างต่ำก็หัวกะทิแรงก์ C แล้วมันจะไม่ผิดได้ยังไง?" สัตตะแทบอยากจับหัวเพื่อนที่ยังคงเถียงตาใสโขกโต๊ะเรียกสติ แต่ก็ไม่ทันกับที่อีกฝ่ายคัดค้านความคิดของเขาขึ้นมาอีกครั้ง

"การคัดเลือกคลาสจะใช้การทดสอบทั้งข้อเขียน การต่อสู้ และการใช้พลัง อย่างที่เราเพิ่งสอบกันไป จริงอยู่ว่าส่วนใหญ่ผลคะแนนความสามารถก็จะลดหลั่นลงไปตามแรงก์ แต่ว่าถ้ามีทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งที่โดดเด่นอย่างชัดเจนออกมาจนทำให้ผลคะแนนนั้นเพียงพอ ต่อให้แรงก์ต่ำก็สามารถเกาะกลุ่มกับพวกแรงก์สูงได้เหมือนกัน"

"..." พอได้ฟังสัตตะก็ได้แต่กลอกตามองบน แน่ล่ะว่าสิ่งที่ฑูรย์เอ่ยออกมานั้นไม่ผิด เขาเองก็เข้าใจกฎเกณฑ์นั้นเป็นอย่างดี ทว่าในการทดสอบเขาก็ทำแค่ส่ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านทักษะหรือพลัง แล้วทำไมมันถึงได้ยังออกผลให้มานั่งอยู่ตรงนี้? นั่นต่างหากล่ะที่ไม่เข้าใจ

การเงียบไม่เถียงต่อของสัตตะ ในที่สุดก็ทำให้ฑูรย์หน้าหงอยลงไป

"อย่าย้ายเลยนะครับ อยู่เป็นเพื่อนผมที่นี่เถอะ"

เห็นแบบนั้นสัตตะก็ยิ่งขมวดคิ้วพลางเม้มริมฝีปากด้วยความไร้หนทางตอบโต้ เออ! สัตตะยอมรับว่าเขามันใจอ่อนมาแต่ไหนแต่ไร เพราะงั้นแม้ตอนแรกจะตั้งใจว่าจะคบกับเจ้านี่ที่เป็นพวกแรงก์สูงเพียงผิวเผิน แต่พออยู่กับฑูรย์มาได้ระยะหนึ่งเขาก็เผลอใจอ่อนกับความซื่อบื้อของอีกฝ่ายเสียได้ เพราะแบบนั้น สุดท้ายสัตตะก็ได้แต่บ่นกับตัวเองอย่างอ่อนใจ

'ปู่ฮะ แผนทำตัวไม่ให้เด่นของปู่พังพินาศตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าเรียนเลยฮะ'

สัตตะถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนฟุบตัวเองลงบนโต๊ะ ตั้งใจตัดขาดจากโลกภายนอกสักระยะ ทว่า…

"ที่ตรงนี้เป็นที่นั่งของสหัส นายไม่มีสิทธิ์มานั่งนะ!"

เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะขณะที่สัตตะกำลังหลบหนีจากโลกแห่งความจริงอยู่ เสียงนั้นเป็นเสียงแหลมสูงของหญิงสาวที่กำลังมาทวงสิทธิ์อะไรสักอย่างจากเขา

"..." ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวสะสวยคนหนึ่งจริง ๆ พร้อมพ่วงด้วยบริวารที่ด้านหลังอีกสี่คน

"นี่! พูดไม่ได้ยินหรือไง? ฉันบอกให้นายเปลี่ยนที่ซะ!"

พอเห็นว่าสัตตะไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่ก็ยังไม่ยอมขยับ สาวสวยหน้าบึ้งก็ขับไล่เขาอย่างต่อเนื่อง

สัตตะนิ่งฟัง แม้จะไม่พอใจนักแต่ก็ไม่คิดจะขัดขืน แค่การมาอยู่ตรงนี้ก็เด่นพอแล้ว หากเผลอไปมีเรื่องกับคนในห้องนี้อีกมีหวังโด่งดังเป็นพลุแตกอีกแน่ เขาต้องทำสิ่งที่แรงก์ F ทำกัน นั่นคือการก้มหัวให้พวกแรงก์สูงกว่า

ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดอะไร ก็มีคนพุ่งออกมาปกป้องกันเสียก่อน

"เพิ่งเปิดเทอมวันแรกเอง พวกผมมาถึงก่อนก็ต้องได้นั่งก่อนสิ"

เป็นฑูรย์ที่ออกหน้า พลางเอ่ยคัดค้านหญิงสาวคนนั้นด้วยสีหน้าซื่อบื้ออย่างเป็นธรรมชาติ สัตตะได้แต่มองด้วยความทึ่ง ว้าว…เพื่อนแรงก์สูงมันดีจริง ๆ ด้วย!

"นายเป็นใคร? พวกแรงก์ต่ำไม่ต้องสอดปากเข้ามายุ่ง…" คงเพราะถูกขัดคอ สาวสวยจึงหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิมถึงได้ตวาดกลับฑูรย์อย่างไม่ไว้หน้า แต่ในขณะนั้นเองบริวารข้างหลังหล่อนก็ดึงเอาไว้

'เบาก่อนมีราห์ คนนี้คือนาคาแรงก์ A ญาติของธชาเขาน่ะ' เสียงกระซิบบางเบา แต่สัตตะได้ยินเต็มสองหู

และทันทีที่ได้ยินแบบนั้นสาวเจ้าก็หน้าเจื่อนไป

สัตตะคิดทบทวนเมื่อได้ยินชื่อหญิงสาว ถ้าจำไม่ผิดในใบรายชื่อที่เขาเห็นเมื่อเช้า มีราห์ คือนักรบแรงก์ A อ๋อ…ต่อให้แรงก์เท่ากันแต่พงศ์พันธุ์ของนาคาย่อมเหนือกว่าสินะ สัตตะคิดพลางลอบยิ้ม เห้ย ๆ คบไอ้นาคาเด๋อนี่เป็นเพื่อนเหมือนจะคุ้มค่าเว้ย

ขณะที่พวกมีราห์กำลังละล้าละลังว่าควรจะเอายังไงต่อ เสียงอื้ออึงในห้องจู่ ๆ ก็เงียบลงพร้อมกับคนสองคนที่เข้ามาใหม่

สองคนที่แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าสองคนนั้นคือเทวาแรงก์ S เพราะทั้งรูปร่างหน้าตาและออร่ามันโดดเด่นเสียจนแสบตาไปหมด

'สหัสกับธชามากันแล้ว'

'ปีนี้ในที่สุดก็ได้อยู่คลาสเดียวกัน ดีใจจัง'

'หล่อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย'

'เทวานี่ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเรา ๆ เลยเนอะ แค่มองก็แทบละลายแล้วง่า'

จากที่เงียบไปครู่ สักพักเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นมาใหม่ และเพราะความหล่ออร่าของผู้มาใหม่ทั้งสองมันล้นหลามจนแก๊งทวงที่ถึงกับลืมภารกิจ เพราะทุกคนหันไปกรี๊ดหนุ่มหล่อจึงทำให้ความสนใจในเจ้าตัวประหลาดแรงก์ F คนนี้ถูกละออกไปได้ระยะหนึ่ง

แม้แต่สัตตะเองก็ยังมองตามสายตาทุกคู่ไปยังสองคนนั้น

'เชี่ย...พวกเทวา ออร่าน่ากลัวฉิบ ท่องไว้ห้ามเข้าใกล้พวกมันเด็ดขาด' ยิ่งเห็นถึงความเก่งกาจสัตตะก็ยิ่งต้องท่องกับตัวเอง ปู่สั่งไว้ว่าห้ามเอาตัวเข้าไปเกี่ยวพันกับพวกเทวาเด็ดขาด ขืนถูกมองออกว่าเราเป็นตัวอะไรมีหวังโดนจับบูชายัญแหง!

แค่คิดสัตตะก็ขนลุกขนพองไปทั้งแผ่นหลัง จึงรีบก้มหน้าฟุบลงกับโต๊ะอีกครั้ง

ก็อุตส่าห์คิดว่าการตัดขาดจากโลกแห่งความจริงนี้จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายแล้วนะ ไม่นึกเลยว่าปัญหามันจะพุ่งเข้ามาหาเขาเองแบบไม่ตั้งตัวเสียได้

เสียงอื้ออึงในห้องเงียบสงัดลงอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกถึงออร่าบางอย่างที่มายืนอยู่หน้าโต๊ะ

…อย่าบอกนะว่า

"เอ่อ สหัสคะ มีราห์บอกเขาแล้วว่าตรงนี้เป็นที่ของสหัสแต่เขาก็ไม่ยอมย้ายไป เดี๋ยวมีราห์รีบจัดการให้นะคะ"

เสียงหญิงสาวเอ่ยอย่างร้อนรนด้วยร่องเสียงสอง สาม สี่ สัตตะนิ่งฟังก็จำได้ว่าเป็นเสียงของสาวสวยนามว่ามีราห์ที่ตะคอกเขาปาว ๆ อยู่เมื่อครู่ อยากจะเงยหน้าขึ้นไปมองแต่ออร่าที่หนักราวกับแผ่นศิลาทับอยู่บนหัวนี่มันอะไรวะ!?

"ไม่เป็นไรผมนั่งที่อื่นก็ได้"

สัตตะสะดุ้งเฮือกเพียงแค่ได้ยินประโยคนั้น จู่ ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็พวยพุ่งออกจากอกอย่างไม่รู้ที่มาราวกับว่าตรงกลางอกมันมีรูรั่ว เสียงทุ้มต่ำนั้นกังวานน่าฟังทั้งยังมีพลังแฝงเร้น และยิ่งไปกว่านั้นมันอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง!

ความกดดันนั้นทำให้สัตตะต้องเงยหน้าขึ้นมอง ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกคิดผิด สัตตะนิ่งอึ้งไปกับการประสานสายตากับเจ้าเทวาแรงก์ S อยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาที่ทองเยียบเย็นที่จ้องมองลงมาทำเอาขนลุกไปทั้งร่าง

'ห่า! นั่นไม่ใช่สายตาของคนที่บอกว่านั่งที่อื่นก็ได้เลยสักนิด!'

"ผมย้ายเองครับ!!"

ทันทีที่รู้สึกตัวสัตตะก็ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นพร้อมหลับหูหลับตาตะโกนออกไปเสียงดัง พลันคว้ากระเป๋าโกยข้าวของทุกอย่างของตัวเองกระโดดผลึงเดียวออกจากโต๊ะริมหน้าต่างเจ้าที่แรงตรงนั้นแล้วแจ้นไปนั่งโต๊ะตัวสุดท้ายตรงหน้าประตูหลังที่ยังว่างอยู่แทน

ห่างกันคนละฝั่งห้องยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่แผดเผามา สัตตะแอบชำเลืองไปก็เห็นว่าฝ่ายนั้นหย่อนตัวลงนั่งโต๊ะที่แสนหวงแหนอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับมีกลุ่มสาว ๆ คอยกลุ้มรุมอยู่ไม่ห่าง ส่วนเทวาอีกคนก็นั่งลงตรงโต๊ะด้านหน้าของเจ้านั่น

'…อา เกือบไปแล้ว' สัตตะได้แต่คิดในใจพลางกอดกระเป๋าฟุบกับโต๊ะเป็นรอบที่สาม ยังไม่ทันเริ่มเรียนเลยพลังชีวิตก็เหมือนจะถูกสูบจนหมดร่างแล้วเนี่ย!

"นี่ อย่าคิดมากเลยนะ สหัสเขาก็เป็นแบบนั้นแหละ เขาไม่ค่อยชอบยุ่งกับใครหรอก"

จู่ ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นใกล้ ๆ พอเงยขึ้นมองก็เห็นเจ้าบื้อฑูรย์นั่งยิ้มแผล่ให้จากโต๊ะด้านหน้า 'ย้ายตามมาด้วยแฮะ'

"แหะ ๆ ขอโทษด้วยนะ สหัสเขาฐานะสูงกว่า ผมเลยช่วยไม่ได้" ฑูรย์เกาหน้าแก้เขิน

"นายรู้จักเทวาแรงก์ S พวกนั้นด้วยเหรอ? โห ไม่เบานะเนี่ย" สัตตะแกล้งยอ

"ผมเป็นญาติห่าง ๆ กับธชาครับเลยพอได้เจอกับสหัสเขาอยู่บ้าง แต่ผมไม่สนิทกับเขาหรอก"

เจ้านาคาตอบเสียงใส สัตตะก็พยักหน้ารับรู้ไว้พลางส่งเสียง 'อา' ออกมา

เอาเถอะเขาก็ไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวนักหรอก ภาวนาว่าขอไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอีกเลยจะดีที่สุด

และแล้วเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นก็คลี่คลายลงได้ ครู่ใหญ่ต่อมาอาจารย์โทที่เป็นที่ปรึกษาของปี 1 ก็เข้ามาแนะแนววิธีการเรียนการสอนต่อจากนี้ของเหล่าผู้มีพลังที่มันจะแตกต่างจากที่เคยเรียนมาตอนมัธยมอย่างสิ้นเชิง ในตอนนั้นไม่ว่าอาจารย์โทคนนั้นจะพูดอะไรก็ไม่เข้าหูสัตตะหรอก เพราะเขากำลังแอบก่นด่าอาจารย์ที่ดันจับเขามาโยนใส่ในดงเสือดงจระเข้อย่างคลาส A นี้อยู่

'ฆ่ากันชัดๆ!!'

เนื่องจากเป็นวันแรกที่เรียนจึงยังไม่มีอะไรมากนอกจากการแนะนำสายวิชาต่าง ๆ ให้นักศึกษาได้เลือก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะให้เลือกเรียนตามสายที่ตนเองถนัด หรือสายพลังของพรภูมิพื้นฐานของตัวเอง โดยเน้นย้ำว่าการฝึกในระดับมหาวิทยาลัยนี้คือการต้องต่อสู้กับอสูรของจริง ทุกคนต้องได้รับการฝึกปฏิบัติที่เหมาะสมเพียงพอให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ เพราะหน้าที่ของผู้มีพลังคือการปกป้องพลเมืองจากอันตรายจากเหล่าอสูรที่จะมารุกรานเมื่อไหร่ก็ไม่อาจคาดเดา

หากเป็นห้องของคลาสอื่น ๆ ก็คงไม่มีอะไรมากโดยเฉพาะกับพวกแรงก์ F ที่จะถูกจำกัดการต่อสู้ เพราะไม่จำเป็นต้องร่วมสู้เพียงแต่ต้องรู้ไว้เนื่องจากต้องเข้าสังกัดกองพลอพยพพลเมืองฉุกเฉิน เมนูการฝึกฝนหรือฝึกออกรบก็จะแตกต่างออกไปจากแรงก์อื่น ๆ อยู่พอสมควร

ทว่านี่ไม่นับรวมสัตตะ เพราะอาจารย์โทประกาศชัดเจนตั้งแต่วันแรกว่าทุกคนในคลาส A จะต้องฝึกเมนูเดียวกัน นั่นหมายความว่าแรงก์ F อย่างสัตตะก็ไม่ได้รับการยกเว้น

'ไอ้อาจารย์ที่ปรึกษาคนนี้จ้องฆ่ากูแน่แล้ว!'

สัตตะได้แต่นึกพลางลอบสะอึกสะอื้นอยู่ในใจ

"วันนี้ผมขอแนะแนวแค่นี้ก่อน พวกคุณจะได้มีเวลาไปเลือกลงทะเบียนวิชาเลือกเสรีกับชมรม เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาเริ่มวิชาแรกกัน ไปกันได้แล้วเดี๋ยวไม่ทันเอานะ"

อาจารย์โทกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนกับรอยยิ้มบนหน้า แล้วเอ่ยลาขณะไล่นักศึกษาให้รีบออกไปจัดการลงทะเบียนวิชาเสรีให้ครบ

สัตตะถูกฑูรย์ลากตัวออกไปทันทีที่ได้รับอนุญาตเพราะนาคาหนุ่มต้องการไปดูวิชาเลือกที่อยากจะเรียนเร็ว ๆ และแน่นอนว่าต้องเรียนกับสัตตะด้วย

ระหว่างเดินออกจากห้องไปเสียงซุบซิบนินทาก็เข้าหูสัตตะไม่ขาด ดูเหมือนเรื่องเล่าจากคลาส A จะแพร่สะพัดได้รวดเร็วมาก เพราะเสียงหยามหยันที่ว่าเจ้าแรงก์ F นั่นก็ไม่เท่าไหร่ เจอแรงก์ S เข้าไปก็วิ่งหนีหางจุกตูดมันกระแทกเข้าหูเขาทันทีที่เดินออกมาจากห้อง

"เจ้าคนพวกนี้พูดเก่งทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างจริงๆ"

ฑูรย์ดูจะโมโหกับเรื่องนี้มากกว่าคนถูกว่าอย่างสัตตะเสียอีก เพราะนาคาหนุ่มไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วแบบนี้มันเป็นเรื่องดีสำหรับสัตตะมากกว่า

+

+

+

+

+

"สหัส ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ"

โทเรียกขึ้นก่อนที่สหัสกับธชาและผู้ติดตามโขยงหนึ่งจะออกจากห้องไป ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนผละออกจากกลุ่มนั้นตรงมาหาโทอย่างว่าง่าย เพราะแท้จริงตั้งแต่เด็กมา อาจารย์โทคนนี้นี่แหละที่คอยฝึกฝนสหัสจนเก่งกาจยิ่งกว่าแรงก์ S

"ครับอาจารย์?"

"นายเลือกได้หรือยังว่าจะให้ใครเป็นคู่พันธะ?" โทถามขึ้น "ราชครู…พ่อนายฝากฝังผมมา ตอนนี้นายอายุ 18 ปีเต็มแล้ว จำเป็นต้องมีคู่พันธะของตัวเองเสียที ถ้าไม่อยากได้คนข้างนอกจะลองดูคนในคลาสก็ได้นะ ถ้าสนใจผมก็จะช่วยดูให้อีกแรง"

"…ผมไม่อยากได้คนนอกเพราะมันยุ่งยาก แต่ก็ไม่อยากได้คนในคลาสเพราะยุ่งยากกว่า"

สหัสตอบตามความจริง ที่ผ่านมาเขารับเลือดจากพ่อที่เป็นฮีลเลอร์ผ่านทางจอกเวทย์มาตลอด แต่พออายุเต็ม 18 ปี เขาก็ไม่อาจรับเลือดจากคนที่ไม่ใช่คู่พันธะได้อีกเพราะไม่ใช่ผู้เยาว์อีกต่อไปแล้ว ครั้นจะให้รับเลือดจากคนด้านนอกที่ไม่คุ้นเคยเขาก็ไม่อาจทนไหว ส่วนพวกนักเวทย์และฮีลเลอร์ที่เรียนด้วยกันมาก็ไม่รู้สึกอยากได้ คนพวกนั้นพอรู้ว่าเขาเป็นเทวาก็เข้าหาไม่ขาดเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางสายตระกูล แบบนั้นมันยิ่งน่าอึดอัดกว่าอีก

"พ่อนายก็บอกมาเหมือนกันว่าให้หาคู่พันธะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันจะสะดวกใจกว่า แต่ว่าฮีลเลอร์กับนักเวทย์ตั้งแต่คลาส B ลงไปคงเป็นคู่ให้นายไม่ไหวหรอกพลังเขาไม่มากพอ แม้แต่ในคลาสนี้พวกนักเวทย์แรงก์ B ปลาย ๆ หรือแรงก์ C ก็ยังมีพลังไม่พอ ถ้าท้ายที่สุดแล้วนายไม่อยากได้คนนอกจริง ๆ ก็ต้องเลือกจากคนในคลาส A นี้ที่แรงก์สูงหน่อยเท่านั้น…รีบหน่อยดีกว่า นายอายุเลย 18 มาสักพักแล้ว ไม่ได้รับเลือดนาน ๆ มันจะแย่เอานะ"

คำพูดของโทมีเหตุผล และนั่นก็ยิ่งทำให้สหัสหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะแท้จริงเขาไม่ต้องการผูกพันธะกับใครทั้งนั้น แม้มันจะเป็นเพียงแค่การรับเลือดอีกฝ่ายผ่านทางจอกเวทย์ก็เถอะ เขาเกลียดการที่ต้องผูกมัดไม่ว่ากับใครก็ตาม

"…ฑูรย์" คือชื่อแรกที่ออกจากปากของสหัส เพราะเป็นฮีลเลอร์เกิดใหม่แรงก์ A ที่มีคุณสมบัติเพียงพอ อีกทั้งยังพอรู้จักกันอยู่บ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการฝ่ายนั้นจริง ๆ หรอก

เพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าฑูรย์มีเจ้าของ

"ฑูรย์ไม่ได้! หมอนั่นมีเจ้าของ อีกเดี๋ยวพอธชาอายุเต็ม 18 ปีเขาก็ต้องผูกพันธะกันแล้ว นายเลือกคนอื่นเลย อยากผิดใจกับเพื่อนซี้หรือไง?" โทรีบห้ามความคิดของสหัส ซึ่งนั่นทำให้สหัสรีบแก้ต่างอย่างหัวเสีย

"ผมรู้อยู่แล้วล่ะน่า ก็แค่ไม่มีชื่อคนอื่นในหัว"

"เอางี้ ผมมีตัวเลือกเสนอให้" โทยิ้มพลาง ยื่นกระดาษจำนวน 4 แผ่นมาให้ "ถ้าตัดฑูรย์ออกไป ในคลาส A ที่แรงก์สูงพอจะเป็นคู่พันธะให้นายได้ก็จะเหลือนักเวทย์กับฮีลเลอร์อยู่ทั้งหมด 4 คน คือฮีลเลอร์แรงก์ B 1 คน นักเวทย์แรงก์ A 1 คน แรงก์ B 1 คนและ…นักเวทย์แรงก์ F 1 คน"

"…??" ตัวเลือกคนสุดท้ายที่โทเสนอมาทำเอาสหัสขมวดคิ้วสงสัย "แรงก์ F? ไหนอาจารย์บอกว่าพวกต่ำกว่าแรงก์ B มีพลังไม่พอไง?"

โทยิ้ม "นายคิดว่าถ้าพลังเขาไม่พอจะได้มาอยู่คลาส A เหรอ?"

"ผมรู้ว่าเขาอาจมีฝีมือเรื่องการต่อสู้ หรืออาจมีทักษะที่ติดตัวมาจากนอกกำแพง แต่ยังไงพลังเวทย์เขามันก็แค่แรงก์ F อยู่ดี" สหัสยังคงไม่เห็นด้วยกับความคิดของโท

ทว่าคำอธิบายต่อมาของอาจารย์หนุ่มก็ทำให้สหัสฉุกคิด

"ผมเคยแอบทดสอบพลังเวทย์เขา บอกเลยว่าล้มอสูรแรงก์ A ได้สบาย"

"ว่าไงนะครับ?"

"ผมก็ยังสรุปพลังที่แท้จริงของเขาไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะ และก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมสัญลักษณ์ของเขากับเครื่องวัดพลังถึงวัดออกมาได้แค่แรงก์ F แต่ผมมั่นใจว่าผมคิดไม่ผิด"

"..."

"ถ้านายรู้สึกอึดอัดกับการต้องเลือกพวกแรงก์สูง เพราะไม่ต้องการยุ่งยากกับเรื่องสายสัมพันธ์ของครอบครัวเทือกนั้นล่ะก็ แรงก์ F คนนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามนะ" โทเน้นย้ำพลางยื่นกระดาษทั้ง 4 แผ่นให้ลูกศิษย์อีกครั้ง "เอาไปคิดทบทวนให้ดี"

"ขอบคุณครับอาจารย์" สหัสเอ่ยพลางเลือกหยิบกระดาษที่โทส่งมาให้ไป 1 แผ่น แล้วหันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

"ถ้าไม่อยากให้ใครเข้ามาวุ่นวายก็รีบเลือกคู่พันธะซะนะ"

โทตะโกนไล่หลัง แต่ไม่ได้รับเสียงตอบอะไรกลับมา

เมื่อพ้นออกจากห้องที่โทอยู่มาได้ระยะหนึ่ง สหัสก็หยุดเดินแล้วจ้องไปที่กระดาษในมือที่ถูกเขากำแน่นจนยับย่น มันคือเอกสารประวัติและรูปภาพของสัตตะ นักเวทย์แรงก์ F เกิดใหม่ผู้มาจากนอกกำแพง

คนที่ประวัติใสสะอาดที่สุดจากบรรดาผู้มีสิทธิ์เป็นคู่พันธะทั้งหมดของเขา

ดวงตาสีทองเย็นเยียบจ้องมองที่รูปถ่ายของอีกฝ่ายนิ่ง

"ขอทดสอบหน่อยแล้วกันนะ เจ้าแรงก์ F ประหลาด"

อนาคีชอบอนิเมะและการ์ตูนต่อสู้แนวโชเนนมากค่ะ แถมยังชอบเล่นเกมออนไลน์แนวที่ต้องสู้เป็นปาร์ตี้อยู่เป็นกิลด์ จึงทำให้การแต่งเรื่องนี้มีกลิ่นอายของหลาย ๆ เรื่องรวมกัน แต่เพราะอนิเมะและเกมเหล่านั้นไม่มีวาย อนาคีเลยเก็บกดจนต้องเอามาเขียนให้มันวายเท่านั้นเองค่ะ แต่ถึงแม้ว่าเนื้อหาบางส่วนจะเป็นเรื่องของนักรบ ฮีโร่ แต่เพียงแค่แนวเรื่องเท่านั้นนะคะ เนื้อหาหลักจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของพระเอก-นายเอกที่ไม่เน้นบู๊แต่เน้นรักค่ะ 555

ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ

รักเสมอ

อนาคี99

Thearboo_AB99creators' thoughts