หลังจากที่แม่ทัพหนุ่มและหน่วยกำลังพลของเขา ก็พังทลายฐานลับของผู้ที่แอบซ่องสุมกำลังพลไว้อย่างผิดกฎหมายอย่างยับเยิน ทว่าพวกเขายังคงไม่มีหลักฐานสาวไปถึงต้นตอได้ แต่กระนั้นก็ยังมีเรื่องดีเกิดขึ้น เมื่อเขาได้ช่วยเหลือฟ่งหลันหลั่นกับหยวนจูวเย่ให้รอดปลอดภัยจากคนร้ายได้อย่างบังเอิญ
หลงอี้หลิงจะรู้สึกโกรธและไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ไปเจอสตรีน้อยของเขาอยู่กับหยวนจูวเย่ในสถานที่ซึ่งไม่สมควรเป็นไปได้ และยังมีเรื่องราวสำคัญให้เขาได้แปลกประหลาดใจเกี่ยวกับชาติกำเนิดของนางผู้นี้ มันชวนขบคิดอย่างน่าสงสัยและใคร่ที่ค้นหาคำตอบที่แท้จริง
เรือนหลงหลิง
หลายวันต่อมา แม่ทัพหนุ่มและทุกคนก็เดินทางกลับมาถึงเมืองอย่างปลอดภัย เนื่องด้วยเขาจำเป็นต้องเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อรายงานราชกิจต่อองค์ฮ่องเต้ แต่ก็ยังคงไม่วางใจว่าสตรีน้อยผู้ที่เขาหวงแหน จะสามารถทำตัวสงบนิ่งอยู่เงียบ ๆ ภายในเรือนหลงหลิง โดยไม่ออกไปสร้างปัญหาให้เขาต้องเป็นห่วงได้
ห้องหนังสือของหลงอี้หลิง
ฟ่งหลันหลั่นเดินผ่านประตูที่เปิดโล่งทั้งสองข้างไว้เพื่อรับลม เสียงฝีเท้าก้าวขาฉับ ๆ เข้าไปในห้องหนังสือของหลงอี้หลิง ดวงตากลมโตมองเห็นแต่ไกล ว่าผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังนั่งตรวจสอบงานเอกสารกองโตซึ่งตั้งวางบนโต๊ะอย่างเคร่งขรึม
นางจึงส่งเสียงกระแอมออกมาเบา ๆ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการมาของตน
อะ ฮึ่ม!
หลงอี้หลิงรู้ได้ถึงการมาของสตรีน้อยตั้งแต่ก่อนที่นางจะเดินก้าวขาผ่านธรณีประตูห้องแล้ว แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็น เพื่ออยากจะหยั่งเชิงอีกฝ่าย และพอเจ้าตัวส่งเสียงเป็นสัญญาณเช่นนั้น แม่ทัพหนุ่มจึงได้ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า และเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมปลาบจ้องพุ่งตรงมายังคนที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้ากลางห้องหนังสือ
แม้ภายในห้องจะมีลมโกรกเข้ามาด้านในโดยผ่านช่องบานประตูและหน้าต่างที่เปิดโล่ง แต่แวบหนึ่งที่เขาจ้องมองมา กลับชวนให้รู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเล็กน้อย
"ได้ยินว่าท่านกำลังให้คนตามหาตัวข้าอยู่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่" ผู้ที่ถูกตามหาเอ่ยถามเจ้าของเรือนด้วยท่าทีและน้ำเสียงน้ำเสียงกันเอง ราวกับคนตรงหน้าไม่มีฐานันดรศักดิ์ใดให้นางต้องยำเกรง
"อีกสองเค่อ ข้าจะเดินทางเข้าวังหลวงพร้อมกับจางเก่อและเข่อลั่ว แต่ทว่าท่านย่าได้ส่งคนมาบอกว่าให้ข้ากับเจ้าไปพบที่เรือนสกุลหลง ข้าเลยอยากให้เจ้าไปรอที่นั่นก่อน เสร็จจากทางนั้นเมื่อไร ข้าจะรีบตามไป"
หลังจากที่หลงอี้หลิงได้เห็นกล่องไม้เก่าในห่อผ้าของฟ่งหลันหลั่น เขาก็รู้สึกเป็นกังวลใจ หากจะต้องปล่อยให้นางอยู่รอที่เรือนหลงหลิงตามลำพัง โดยไร้ซึ่งเขา จางเก่อ หรือเข่อลั่ว คนใดคนหนึ่งอยู่กับนาง
ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้แม่ทัพหนุ่มคลายความกังวลใจนี้ลงไปได้ คือ ส่งตัวนางไปยังเรือนสกุลหลงนั่นเอง
ด้านฟ่งหลันหลั่นก็ตกปากรับคำอย่างง่ายดาย เพราะนางไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร แถมยังรู้สึกผ่อนคลายกับคนของเรือนสกุลหลงมากกว่าเรือนหลงหลิงด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยที่นั่นยังมีสตรีหรือสาวใช้นางอื่นให้นางได้ร่วมสนทนาอยู่บ้าง "ได้!"
แม่ทัพหนุ่มเห็นสาวใช้จอมขัดคำสั่งตกปากรับคำอย่างง่าย มันทำให้เขารู้สึกไม่วางใจในตัวนางขึ้นมาทันที จึงพูดแกมพูดขู่ออกไปเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าตัวเกิดความยำเกรงในอำนาจของเขาบ้าง
"รับปากอย่างง่ายดายโดยไม่ต่อปากต่อคำ ช่างไม่สมกับเป็นเจ้าเสียเลย ข้าหวังว่าเจ้าจะตรงไปเรือนของท่านย่าทันที เพราะหากมีคนมารายงานว่าพบเจอเจ้ายังสถานที่อื่น ที่ไม่ใช่เรือนสกุลหลง เจ้าคงจะรู้ดีนะว่าคืนนี้จะเจอกับอะไร" ถ้อยคำราบเรียบ แต่น้ำเสียงกับแฝงไว้ซึ่งอำนาจเผด็จการ แถมสายตาที่เขาถ่ายทอดมองมายังสตรีน้อย แสดงออกถึงความหนักแน่นจริงจัง
ฟ่งหลันหลั่นยืนทำหน้าแป้น ฉีกยิ้มสดใสส่งกลับไปให้แม่ทัพ แต่ภายในใจกลับกำลังคิดท้าทายในอำนาจของเขาอย่างถือดี
'หึ! คิดว่าคำขู่แค่นี้ จะทำให้ข้ากลัวท่านได้เหรอ ฝันไปเถอะ'
'ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟัง คืนนี้ได้เห็นดีกัน' ด้านแม่ทัพหนุ่มเองก็กำลังคิดในใจเช่นกัน
ราวกับว่าทั้งสองคนล่วงรู้ในความคิดของกันและกัน
เมื่อการสนทนาจบลง ฟ่งหลันหลั่นก็ขอแยกตัวออกไป และปล่อยให้ แม่ทัพหนุ่มได้สะสางงานของเขา ก่อนที่จะเดินทางเข้าวังหลวง
ยามเว่ย[1] ฟ่งหลันหลั่นก็ได้เดินทางมาถึงเรือนสกุลหลง และพ่อบ้านใหญ่ก็พาตัวนางเข้าไปพบนายหญิงใหญ่ของเรือนอย่างง่ายดาย เพราะบ่าวไพร่ทุกคนในเรือนล้วนแต่เป็นมิตรและให้การต้อนรับนาง เสมือนหนึ่งว่าเป็นเจ้านายอีกคนของพวกเขา ซึ่งสตรีน้อยเองก็รับรู้ได้ถึงการให้เกียรติจากทุกคน
[1] ยามเว่ย (未:wèi) คือ 13.00 - 14.59 น.
ทว่านางคงยืนยันว่าตนเองก็มีฐานะเป็นสาวใช้ของเรือนหลงหลิง และปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม ไร้ซึ่งชนชั้นหรือบรรดาศักดิ์ เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญชน แม้ว่าตัวเองจะจำจดความจริงในชาติกำเนิดของตนได้แล้วก็ตาม
หลงฮูหยินกำลังนั่งจิบชาอยู่ภายในศาลพักผ่อนในสวนหย่อมข้างเรือนพักของหลงอี้หลิง และกำลังพูดคุยเรื่องจิปาถะทั่วไปกับยายเมิ่ง
จังหวะที่สายตายาวของหญิงชราสูงศักดิ์มองกวาดออกไปรอบนอกศาลา นางก็เหลือบมองไปเห็นผู้มีพระคุณของตน เดินยิ้มหน้าตาสดใสมาแต่ไกล แต่ไร้ซึ่งหลานชายสุดรักหรือคนสนิทของเขา ร่วมเดินประกบข้างมาด้วย นางจึงหยุดการสนทนากับสาวใช้ของตน และหยิบถ้วยน้ำชาตรงหน้าขึ้นจิบอย่างใจเย็น
ฟ่งหลันหลั่นเดินเข้ามาถึงศาลาพักผ่อน นางหันไปผงกศีรษะลงเล็กน้อยให้กับยายเมิ่งเพื่อเป็นการทักทาย จากนั้นก็เบนสายตากลับมายังเจ้าของเรือน และยืนรอให้อีกฝ่ายจิบน้ำชาในถ้วยให้เสร็จก่อนอย่างเงียบ ๆ
และทันทีที่หลงฮูหยินวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ นางก็ได้ทำการคารวะผู้ที่อาวุโสกว่า พร้อมกับกล่าวทักทายด้วยความเคารพนอบน้อม
"คารวะนายหญิง ไม่เจอท่านหลายวัน ไม่ทราบว่าท่านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ"
"ข้าสบายดี ว่าแต่เจ้าเถอะ! ข้าได้ข่าวว่าเจ้าเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของเจ้าที่เมืองจิ่วตามลำพังโดยไม่มาบอกลาข้าสักคำ หึ! คงไม่มีใครเห็นหัวยายแก่อย่างข้าแล้วสินะ"
หลงฮูหยินเองก็เป็นผู้ที่กว้างขวาง แถมตระกูลของนางก็มีอำนาจทางด้านการทหารมานาน ดังนั้นไม่ว่าจะมีสิ่งใดเคลื่อนไหวหรือเกิดขึ้นภายในเมืองหลวง จึงไม่อาจรอดพ้นหูตาของนางไปได้
พอสตรีน้อยได้ยินคำกล่าวน้อยใจของหลงฮูหยินเช่นนั้น ทำให้นางรู้สึกผิดขึ้นมาในใจทันที จึงได้รีบอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจในเหตุผลของตน
"ข้าต้องขออภัย หากการกระทำอันขาดความไตร่ตรองของข้า ทำให้หลงฮูหยินรู้สึกไม่ดีเช่นนั้น แต่ข้าให้ท่านทราบไว้เถิดว่า ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะหยามหรือดูหมิ่นท่านเลยแม้แต่น้อย ข้าเพียงคิดถึงตาเฒ่า และนี่ก็ร่วมเกือบร้อยวันที่เขาจากไป ข้าจึงเพียงต้องการกลับไปรำลึกความหลังกับเขาเท่านั้น"
ฟ่งหลันหลั่นกล่าวพลางก็เผยสีหน้าเศร้าใจขึ้นมา เมื่อต้องเอ่ยถึงตาเฒ่าของตนอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นได้ส่งผ่านมาถึงฮูหยินเฒ่า และนางก็รับรู้ได้ว่าสตรีน้อยผู้นี้ไม่ได้เสแสร้งกระทำแต่อย่างใด
เจ้าของเรือนจึงได้วางความน้อยใจลงและกวักมือเรียกสตรีน้อยให้มานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างตน อย่างเอ็นดู
"เจ้ามานั่งลงข้าง ๆ ข้านี่มา ไหนมาเล่าให้ข้าฟังซิว่า สมัยก่อนเจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองจิ่วเช่นไรบ้าง และตาเฒ่าที่เจ้าพูดถึงเป็นคนแบบไหนกัน ถึงได้เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่มาอย่างดีเช่นนี้"
หลงฮูหยินกล่าวร่ายยาว น้ำเสียงและแววตาของนางที่สื่อสารออกมาเต็มไปด้วยความรักและอ่อนโยน ทุกถ้อยคำล้วนมาจากใจ
ฟ่งหลันหลั่นไม่อยากเสียมารยาท จึงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ เจ้าของเรือนอย่างว่าง่าย ส่วนยายเมิ่งก็ได้ปลีกตัวไปนำชาและขนมหวานมาให้ทั้งสองคน
หญิงชราสูงศักดิ์กับสาวน้อยผู้รักความยุติธรรมนั่งคุยกันอยู่ที่ศาลาพักผ่อนอย่างถูกคอ เสียงพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันราวกับคนสนิทสนมคุ้นเคยมานาน
หลงฮูหยินรู้สึกแปลกประหลาดใจทุกครั้งที่ได้มีการพูดคุยและปฏิสัมพันธ์กับสตรีน้อยตรงหน้า ทั้งวิธีการพูดและแววตาสดใสจากดวงตากลมโตคู่นี้ นางช่างรู้สึกคุ้นตาและคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
จู่ ๆ แววตาและท่าทีของฮูหยินเฒ่าก็เปลี่ยนไปในบัดดล
เฮ้อ....
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของหญิงชราสูงศักดิ์ทำให้สตรีน้อยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างห่วงใย
"เหตุใดหลงฮูหยิน ถึงได้ถอนหายใจเศร้าสร้อยเยี่ยงนี้ มิทราบว่าท่านมีเรื่องใดกังวลอยู่กระนั้นหรือ"
ฟ่งหลันหลั่นหลุดปากถามออกมา โดยลืมไปว่าสถานะของตนตอนนี้ไม่สมควรที่จะถามเยี่ยงนี้ได้ พอนึกขึ้นมาได้ก็รีบกล่าวคำขอโทษออกมาทันที
"ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทล่วงเกินและถามไถ่เรื่องส่วนตัวของหลงฮูหยิน"
ฮูหยินเฒ่ากลับไม่ได้รู้สึกว่าสตรีน้อยคนคู่สนทนาเป็นคนอื่นคนไกล นางเอื้อมมืออันเหี่ยวย่นไปวางสัมผัสลงบนหลังมืออ่อนหนุ่มของสาวน้อย พร้อมกับกล่าวขึ้นอย่ามีสติ
"จะกล่าวขอโทษข้าไปไย ในเมื่อเจ้าเองก็เปรียบเสมือนคนในครอบครัว ข้ากลับดีใจเสียอีก ที่เจ้าใส่ใจยายเฒ่า ซึ่งไม่ต่างจากไม้ใกล้ฝั่ง เวลาเหลือน้อยเต็มทีเยี่ยงข้า"
"เหตุใดหลงฮูหยินกล่าวเยี่ยงนั้น ท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ให้ลูกหลานได้อีกนานเจ้าค่ะ อีกอย่างหากท่านด่วนจากไปเร็วเยี่ยงนั้น แล้วผู้ใดจะเป็นคนอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานของท่านแม่ทัพกันล่ะเจ้าคะ เพราะถ้าขืนปล่อยให้รายนั้นเลี้ยงดูเอง เห็นทีพวกเด็ก ๆ คงจะโตมาเป็นเด็กมีปัญหาแถมมนุษยสัมพันธ์คงจะแย่ และขาดรอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยงบิดาเป็นแน่"
ฟ่งหลันหลั่นรีบกล่าวขอโทษอีกครั้งทันที เพราะเผลอพูดออกไปโดยไม่ทันคิด แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะขึ้นอย่างชอบใจ
ฮะฮ่าฮ่า!....
"เจ้าพูดถูกทีเดียว หากปล่อยให้ลูกหลานข้าโตขึ้นมาด้วยการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูจากหลิงเอ๋อร์ เห็นทีเด็ก ๆ คงจะเที่ยวไปมีเรื่องต่อยตีกับผู้คนไปทั่วเมืองหลวง ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คงต้องเป็นคนอบรมสั่งสอนพวกเขาเอง และอย่าปล่อยให้เด็ก ๆ มีนิสัยเหมือนพ่อ จริงจัง บ้างานและทำหน้าตาเคร่งเครียดตลอดเวลาเด็ดขาด"
คำกล่าวนี้ของฮูหยินเฒ่าถึงกับทำให้ฟ่งหลันหลั่นเกิดความเขินอาย และรีบออกตัวปฏิเสธสวนขึ้นมาทันที
"ฮูหยินคงจะมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างแล้ว เราสองคนมีสถานะที่ต่างกันสิ้นเชิง ผู้ใดก็ทราบกัน นายน้อยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ผู้เก่งกาจมากความสามารถของแคว้นโหย่ว ส่วนข้าเป็นหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป คงมิมีวาสนาเช่นนั้น"
ฮูหยินเฒ่าได้ฟังคำกล่าวนั้นของสตรีน้อย นางก็หันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยนและกล่าวต่อ
"ข้ากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น นับวัน...พอข้าได้พูดคุยสนทนากับเจ้ามากขึ้น ยายเฒ่าอย่างข้า ข้าย่อมมองออกและรู้ว่าเจ้าเป็นสตรีเช่นไร อีกอย่าง ตัวเจ้าก็พานให้ข้าอดนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาไม่ได้เสียจริง"
ยายเฒ่าผู้สูงศักดิ์กล่าวเสียงเศร้าขึ้นอีกครั้ง สายตาเลื่อนลอยมองออกไปยังท้องฟ้าสีครามเบื้องบน
"คนผู้หนึ่ง ? ครั้งก่อนที่พวกเราเจอกัน จำได้ว่าท่านก็เคยกล่าวเช่นนี้ คนผู้นั้นที่ฮูหยินนึกถึง คงจะเป็นคนสำคัญต่อท่านมากกระมัง"
สตรีน้อยย้อนถามอย่างแปลกใจ เพราะนางเคยได้ยินเจ้าของเรือนผู้นี้กล่าวลักษณะเยี่ยงนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
ฮูหยินเฒ่าพยักหน้าเบา ๆ
"เมื่อหลายสิบปีก่อน เรือนสกุลหลงของพวกเราไม่ได้เงียบเหงาเช่นนี้" เจ้าของเรือนกล่าวขึ้นได้เล็กน้อย นางก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อ โดยสตรีอีกสองนางนั่งรอฟังเงียบ ๆ อย่างตั้งใจ
"...บ่อยครั้งที่งานเลี้ยงน้ำชาถูกจัดขึ้น ภายในสวนแห่งนี้ก็มักจะมีเด็กสองคนพากันมาเที่ยววิ่งเล่นไล่จับและส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง"
คำกล่าวของฟ่งหลันหลั่นทำให้นางหวนนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นเด็กของตน เรื่องราวที่ฮูหยินเฒ่าผู้นี้กำลังเล่าช่างคล้ายคลึงกันเสียเหลือเกิน นางจึงนั่งเงียบและตั้งใจฟังอย่างสนอกสนใจ
"เด็กน้อยที่ฮูหยินกำลังกล่าวถึง คงจะเป็นลูกหลานของท่านสินะเจ้าคะ และหนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นท่านแม่ทัพของพวกเรา"
สตรีน้อยกล่าวเสริมขึ้นโดยไม่มีเจตนาไม่ดี เพียงแค่อยากจะสนทนาตอบโต้กลับเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบตัวมันดูเงียบและเศร้าไปมากกว่าเดิม
"ใช่! หลิงเอ๋อร์ของพวกเราชอบมาวิ่งเล่นที่สวนกับคนผู้นั้นเป็นประจำ แม้ว่าพวกเขาจะมีฐานะต่างกันมาก แต่ทั้งสองก็สนิทสนมรักใคร่กันดั่งพี่น้อง โดยเฉพาะคนผู้นั้น ซึ่งมักออกตัวปกป้องหลิงเอ๋อร์ของเราอยู่เสมอ เวลาที่เขาถูกผู้ใหญ่กลั่นแกล้ง"
ฮูหยินเฒ่าเล่าอย่างเชื่องช้า ประสาคนมีอายุ
คำกล่าวของฮูหยินเฒ่ายิ่งทำให้ฟ่งหลันหลั่นอยากรู้ว่าคนผู้นั้นที่หลงฮูหยินกำลังกล่าวถึงคือผู้ใดกันแน่ เหตุใดยิ่งได้ฟัง นางยิ่งรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป เพราะกลัวไม่สมควร
ฮูหยินเฒ่ายังคงกล่าวต่อ "แม้ว่าคนตระกูลหลงของพวกเราจะพยายามกันอย่างที่สุด แต่ก็มิอาจจะฝืนชะตาฟ้าได้เลย..."
ยายเมิ่งเห็นว่านายหญิงของตนเริ่มพูดเรื่องราวที่ไม่ควรกล่าวถึงออกมามากเกินไปแล้ว ด้วยความเป็นกังวลในความปลอดภัยของผู้เป็นนายหญิง นางจึงกล่าวขึ้นสั้น ๆ เพื่อเป็นการเตือนสติ
"นายหญิงคงเหนื่อยมากแล้ว ข้าคิดว่าได้เวลาที่ท่านควรกลับห้องพักเสียทีนะเจ้าคะ"
แต่ฟ่งหลันหลั่นจับสังเกตได้ว่ายายเมิ่งผู้นี้กำลังเกรงกลัวบางสิ่งบางอย่างอยู่ และไม่อยากให้ผู้เป็นนายกล่าวอะไรมากไปกว่านี้
แต่เหมือนว่าความหวังดีของยายเมิ่งจะไร้ผล
หลงฮูหยินไม่ได้รู้สักหวาดหวั่นใจในคำทัดทานนั้นของสาวใช้ตนแม้แต่น้อย
"อวี้หลัน! บุปผางามช่อนั้น...ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ยังอยู่ในวัยเยาว์แท้ ๆ มิทันได้เติบโต ก็ลาลับจากโลกนี้ไปอย่างน่าอเนจอนาถโดยไร้ซึ่งความผิดแม้แต่น้อย...ต้องโทษคนทรยศพวกนั้น ที่ใจร้ายเกินมนุษย์ การกระทำของพวกเขาช่างโหดเหี้ยมเสียเหลือเกิน"
ฮูหยินเฒ่ากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย และตบท้ายด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง สองมือเหี่ยวย่นที่วางอยู่บนหน้าตักกำหมัดแน่น
ยิ่งทำให้ยายเมิ่งเกิดความกังวลใจหนักขึ้น ด้วยเพราะรู้นิสัยของนายหญิงของตนเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ยายเมิ่งจึงลืมตัวกล่าวทัดทานนายหญิงของตนขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม
"นายหญิง! พอแค่นี้เถิดเจ้าค่ะ ได้โปรดอย่าทำให้บ่าวเป็นห่วงไปมากกว่านี้เลย ขืนท่านยังจะกล่าวถึงเรื่องต้องห้ามไปมากกว่านี้ ภัยจะมาถึงตัวเอาได้นะเจ้าคะ"
ฮูหยินเฒ่ากลับเมินเฉยต่อคำกล่าวทัดทานของยายเมิ่ง
ทว่าถ้อยคำเหล่านั้นกลับทำให้ฟ่งหลันหลั่นรู้สึกเจ็บปวดทะลุเข้าไปถึงหัวใจด้านในและเส้นเอ็นกระดูกดำ น้ำตาคลอเบ้าแทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
สองมือน้อยของนางกำหมัดแน่นเช่นกัน
'คนผู้นั้นที่หลงฮูหยินกำลังกล่าวถึง คงจะเป็นตัวเรา องค์หญิงอวี้หลัน! สินะ...'
ในขณะที่พวกเขากำลังนั่งสนทนากันอยู่ที่ศาลาพักใจอย่างใจจดใจจ่อ สตรีทั้งสามนางก็ถูกขัดจังหวะขึ้นมา
"นายหญิง!" โดยพ่อบ้านใหญ่ของเรือนสกุลหลงนั่นเอง
สตรีทั้งสามจึงได้หยุดการสนทนาและเบนสายตาหันไปสนใจในตัวพ่อบ้านใหญ่ ซึ่งกำลังยืนก้มหน้าอยู่ด้วยท่าทางกังวลใจแปลก ๆ
ฮูหยินใหญ่พยายามปรับอารมณ์และเอ่ยถามบ่าวรับใช้อย่างแปลกใจด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ
"พ่อบ้านเหลียง มีเรื่องอันใดเร่งด่วนก็กล่าวมาออกได้เลย"
"มีแขกคนสำคัญมาขอพบนายหญิงขอรับ" พ่อบ้านกล่าวตอบอย่างนอบน้อม แต่น้ำเสียงกลับแฝงความกังวลใจ
"ฟังจากน้ำเสียงเป็นกังวลและสีหน้าตื่นตระหนกที่กำลังพยายามหลบซ่อนไว้ ดูท่าแขกคนสำคัญที่เจ้ากล่าว คงจะเป็นคนผู้นั้นกระมัง"
นายหญิงใหญ่ของเจ้าของเรือนยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสุขุม เหมือนนางจะรู้ว่าผู้ใดกันที่มาเยี่ยมเยียนถึงเรือน โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเช่นนี้
แต่สาวใช้ข้างกายนายหญิงใหญ่ของสกุลหลงกลับเผยสีหน้าตกใจ ผิวหนังเหี่ยวย่นบนใบหน้าซีดขาว มีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นมาทันที
"ขอรับนายหญิง ตอนนี้เยี่ยอ๋องผู้นั้นพร้อมกับธิดาของเขา กำลังรอพบท่านอยู่ที่ห้องโถงภายในเรือนรับรองของสกุลหลงเราขอรับ"
"พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา"
ฟ่งหลันหลั่นเผลอหลุดปากพูดบางคำออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว จนทั้งสามคนตรงนั้นเบนสายตาไปมองนางอย่างประหลาดใจอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะถามหาคำตอบ เพราะคนที่ใคร ๆ ต่างพากันหวาดกลัวและพยายามหลบเลี่ยงหนีให้ห่าง กำลังรออยู่ที่เรือนรับรองของสกุลหลง
ฮูหยินเฒ่าลุกขึ้นยืนช้า ๆ โดยมียายเมิ่ง สาวใช้ของตนคอยประคองกาย
"หลั่นเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องตามข้าไปหรอก อยู่รอที่นี่แหละ มิเช่นนั้นธิดาอ๋องผู้นั้นคงได้หาเรื่องลงมือทำร้ายเจ้าอีก"
หลงฮูหยินกล่าวเช่นนั้นเพราะเป็นห่วง ไม่อยากให้สตรีน้อยพลอยได้รับอันตรายหรือเจ็บตัวไปมากกว่านี้
"ข้าจะไปด้วย! เพราะหากสองพ่อลูกนั้นกล้าทำร้ายท่านขึ้นมา ข้าจะได้ช่วยทัน"
ฟ่งหลันหลั่นตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และหลงลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาไร้ซึ่งวรยุทธ์
หลงฮูหยินมองเห็นแววตาตั้งใจของสตรีน้อยข้างกาย และสัมผัสได้ถึงความห่วงใยนั้น จึงยอมตอบตกลงแต่โดยดี
"ได้! เราพวกเราไปเผชิญหน้ากับสองพ่อลูกนั้นด้วยกัน"
เมื่อพูดจบ หลงฮูหยินก็คว้าหมับไปที่มือน้อยของสตรีข้างกายและจูงมือเดินออกไปจากศาลาพักใจ
ดวงตากลมโตใสฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว มือน้อยอีกข้างที่แนบอยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น กลิ่นอายความอาฆาตเคียดแค้นลอยล้อมรอบตัวของฟ่งหลันหลั่น
'ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าท่านทำหน้ายังไงกันนะ หากรู้ว่าข้ายังไม่ตาย'
ป้ายหยกมรกตถูกร้อยไว้กับพู่สีขาว ถูกห้อยอยู่กับสายรัดเอวของอาภรณ์สีดอกท้อ และแกว่งไปมาตามจังหวะการเดินของผู้ที่กำลังครอบครองมัน
....
เซียงไค 盛開