การที่มอนสเตอร์ชั้นล่างจะข้ามชั้นที่ตัวเองอาศัยอยู่ มีด้วยกัน 2 ประการ
ประการแรก พวกมันตามไล่ล่านักผจญภัยที่หนีขึ้นมาชั้นบน
ประการที่สอง มอนสเตอร์ชั้นล่างสุดถูกสร้างจนล้นชั้น พวกมอนสเตอร์สร้างใหม่ที่ชั้นล่างซึ่งเก่งกว่าก็จะไล่พวกเดิมที่เคยอยู่ขึ้นไปชั้นบน
จากนั้นก็จะเป็นห่วงโซ่ไล่กันขึ้นไปเป็นทอดๆ
มอนสเตอร์ที่ถูกไล่ทุกตัวจะหงุดหงิดเป็นพิเศษ จึงมีนิสัยหาสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มอนสเตอร์ในดันเจี้ยนเดียวกันฆ่าเพื่อระบายอารมณ์
และหากไม่เจอในชั้นตัวเอง มันก็จะแห่กันขึ้นมาเรื่อยๆ จนออกจากดันเจี้ยนในที่สุด
เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ดันเจี้ยนแตก
ดันเจี้ยนแตก คือ การที่มอนสเตอร์ทุกชั้น ยกเว้นบอสชั้นล่างสุดที่มีหน้าที่ปกป้องแกนดันเจี้ยน กรูกันออกมาฆ่าล้างบางทุกสิ่งมีชีวิตที่พบเจอ
ถ้าไม่มีใครปราบหรือหยุดพวกมันได้ มอนสเตอร์พวกนี้ก็จะวิวัฒนาการไปเป็นอสูร
และหายนะก็จะเกิดขึ้น หลุดไปแค่ตัวสองตัวก็ว่าน่ากลัวแล้ว แต่ถ้าหลุดมาทั้งดันเจี้ยน หลังกลายเป็นอสูรพวกมันจะสร้างอาณานิคมและกองทัพ จากนั้นก็จะเข้ารุกรานทุกสิ่งมีชีวิต
*****
ลาสวิน นักผจญภัย [แรงค์ A] เจ้าของฉายา วายุคลั่ง
ฉันสร้างลมสว่านสิบลูกยิงถล่มใส่ฝูงพวกมัน
ก่อนจะสร้างเพิ่มอีกสิบลูก ยิงใส่ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพังผนังกับกำแพงดันเจี้ยน
ทำได้แค่ยื้อเวลา เพราะอีกไม่นานดันเจี้ยนก็จะซ่อมแซมตัวเองจนชั้นนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ฉันรีบพุ่งออกจากที่นี่
จนกระทั่งหลุดออกมาจากประตูทางเข้าลับ ฉันก็หันกลับไปสร้างลมสว่านทมิฬลูกใหญ่ยิงอัดลงไปเพื่อทำลายเส้นทาง
ลมสว่านทมิฬทำลายตั้งแต่ประตูทางเข้าลับไปจนถึงหน้าดันเจี้ยน
ทำได้แค่ยื้อเวลาเท่านั้น
ฉันพุ่งตัวออกไปพร้อมกับสร้างลมสว่านอีกห้าลูกยิงออกไป
ลมสว่านพุ่งฉวัดเฉวียนไปมาบดขยี้และคว้านทำลายทุกสิ่งอย่างในท่อระบายน้ำเก่าจนผนังพังครืนลงมาปิดเส้นทาง
ส่วนฉันเร่งความเร็วลมดันตัวฉันออกมา
ตูมมมมมมม!
เกิดเสียงกัมปนาทและฝุ่นควันคละคลุ้งจนพวกคาลิก้าตกใจ
เพราะไม่มีเวลาอธิบายฉันจึงตะโกนบอกให้คาลิก้ารีบหนีไป ส่วนเรื่องน้องสาวที่หายไปในสลัมฉันจะรับผิดชอบหาให้เอง
แต่ก็โชคดีที่คาลิก้าเจอเบาะแสว่าน้องสาวของเธอถูกพาไปนอกสลัมแล้ว
ฉันจึงเปลี่ยนแผนไปรายงานที่สำนักงานหลักในตัวเมืองชั้นในแทน แล้วค่อยกลับมาช่วยคาลิก้าทีหลัง
แต่ก่อนจะไป ฉันบังคับบอลลมมาที่หน้าทางเข้าท่อระบายน้ำเก่า เพราะใช้งานตลอดโดยไม่เติมพลังเวทเข้าไป มันจึงหดเล็กลงไปมาก
หลังอัดพลังเวทจนมันใหญ่เท่าเดิม ก็ปล่อยทิ้งไว้ให้มันยิงใส่ทุกอย่างที่ออกมาจากท่อระบายน้ำ
ฉันพุ่งตัวขึ้นไปบนฟ้าเพื่อไม่ให้มีกระทบลงไปบนพื้นดิน จากนั้นคลุมตัวเองด้วยลมสีดำ
ทำการบีบอัดลมไว้ข้างหลังก่อนระเบิดพลังมัน
บรึ้ม! ฟู่มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!
ตัวฉันจึงพุ่งไปที่เมืองชั้นในด้วยความเร็วเหนือเสียง
*****
คาลิก้า เนฮิว
บรึ้ม! ฟู่มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!
ฉันกับทุกคนถึงกับต้องเอามือปิดหูเพราะเสียงดังสนั่นที่คุณลาสวินทำ ขนาดอยู่สูงมากกระแสลมยังพัดมาถึงพื้นจนฉันเซถอยหลังเลย
เร็วกว่าตอนที่มาช่วยฉันซะอีก ไม่นานก็เห็นสายลมสีดำเล็กจนตัวเท่ามดบนท้องฟ้า
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ถ้าคนระดับคุณลาสวินยังตื่นตระหนกขนาดนี้ งั้นมันก็ต้องอันตรายมากแน่
ฉันจึงสั่งให้ทุกคนวิ่งออกจากสลัมทันทีและถ้าเจอใครก็ให้ทุกคนตะโกนบอกพวกเขาว่าอย่าไปที่ท่อระบายน้ำเก่าและให้หนีออกจากสลัมเดี๋ยวนี้
มีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ
พวกคนที่ไม่เชื่อ ก็ปล่อยเค้าไป ฉันก็ไม่มีเวลามานั่งอธิบาย เพราะเอลด้าตอนนี้ก็ไม่รู้โดนพาไปถึงไหนแล้ว
เพราะไม่ต้องค้นหาจึงไม่เสียเวลามากนัก พอกลุ่มเราใหญ่มากก็ไม่มีใครอยากมาหาเรื่องเรา
พวกตัวอันตรายกับกลุ่มน่ากลัวคงโดนจัดการไปเยอะ ระหว่างทางเลยไม่เกิดการปะทะขึ้นเลย
ทาสคนไหนร่างกายอ่อนแอหรือวิ่งต่อไม่ไหว ก็ให้ทหารน้ำแข็งอุ้มไป
ตอนแรกว่าจะตรงไปจนถึงทางออก แต่ทหารน้ำแข็งเหมือนจะพาเบี่ยงออกไป
คงมีเหตุผลอะไรสักอย่าง ฉันจึงไม่ได้ปฏิเสธและตามไปทางนั้น
ใช้เวลาสักพักนึงเราถึงออกจากสลัมมาได้
เมื่อกลุ่มของเราเข้าเขตเมืองชั้นใน ก็ตรงดิ่งไปที่ประตู ระหว่างทางประชาชนกับนักผจญภัยค่อนข้างตื่นตระหนกเพราะกลุ่มของเรา
ไปได้เกินครึ่งทาง พวกเราก็ถูกกองทหารพร้อมกับนักผจญภัยขวางทางหยุดพวกเราไว้
เหตุผลง่ายๆ คือเพราะเราพาคนกลุ่มใหญ่ออกมาจากสลัม พวกเขาจึงคิดไปก่อนเลยว่าเรากำลังจะก่อการร้ายอะไรสักอย่าง
แต่มันจะต่างไปทันทีและปล่อยพวกเราผ่านไปได้ง่ายๆ หากเราเป็นกิลด์หรือตระกูลขุนนาง
"หัวหน้าของพวกเจ้าคือใคร! ทาสอย่างพวกเจ้าออกจากสลัมมาทำอะไรในเขตเมือง!"
ชายในชุดเกราะเต็มยศลงจากม้าพร้อมกับกำชับดาบที่มือแน่น ฉันจึงรีบไปออกหน้ารับแทน
"หัวหน้าของกลุ่มนี้คือฉันเองค่ะ ไม่ทราบว่าหยุดพวกเราไว้ทำไมคะ"
เพราะเห็นการแต่งตัวของฉันที่เป็นผู้นำกลุ่มเขาจึงยอมเจรจาด้วย
"ไม่ทราบว่าคุณหนูมีนามว่าอะไรครับ มาจากตระกูลไหน"
"ฉันมาจากตระกูลโรซาค"
สั้นๆ ง่ายๆ เพียงแค่ประโยคเดียว หัวหน้าทหารที่กำลังจะถามว่ากำลังจะพาทาสพวกนี้ไปไหนและทำอะไร ก็รีบหุบปากแล้วสั่งให้เปิดทางให้โดยทันที
"รีบเปิดทางเร็ว! พวกแกกลับไปลาดตระเวน! ส่วนพวกนายกลับไปทำงาน ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว! ไปแจ้งทุกคนด้วยว่าไม่มีอะไรต้องกังวลหัวหน้ากลุ่มนี้แค่จะพาพวกเขาไปลงดันเจี้ยน!"
เขาพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวดและบอกกับนักผจญภัยอย่างเป็นกันเอง และให้เหตุผลที่ทุกคนพอรับได้เพื่อจบเรื่อง
จากนั้นจึงรีบก้มหัวให้ฉัน
"ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับที่กระผมทำตัวเสียมารยาทกับคุณหนูฟอ... อุ๊บ!"
หัวหน้าทหารรีบเอามือปิดปากก่อนพูดชื่อเสร็จเพราะคิดว่าคาลิก้าสวมหน้ากากเพื่อปิดบังตัวตน
เรื่องที่ว่าทำไมถึงเชื่อคำพูดฉันง่ายๆ อันนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้เอลด้าต้องมาก่อน
"ขอถามหน่อยสิคะ"
"ถามมาได้ทุกเรื่องเลยครับ"
ฉันจึงบอกลักษณะของพ่อค้าที่ซื้อเอลด้าไป เพื่อถามว่าเขาเคยเห็นหรือเปล่า ถ้าเห็นตอนนี้อยู่ไหนหรือเดินทางไปทางไหน
"พ่อค้าคนนั้นออกจากเมืองไปได้สักพักแล้วครับ"
"ไปเส้นทางไหน"
"เส้นทางหลักอ้อมภูเขาไปเมืองบาเร็กซ์ครับ"
"งั้นตรงไปที่ประตูเลย! พวกเราต้องรีบตามพ่อค้าคนนั้นให้ทัน!"
แต่ตอนที่พวกเรากำลังเตรียมวิ่งอีกครั้ง หัวหน้าคนนั้นก็รีบเอ่ยอย่างประจบ
"คุณหนูครับ ให้กระผมได้รับเกียรติรับใช้ตระกูลของท่านสักครั้งได้ไหมครับ"
"ยังไงคะ?"
"ผมมีกองทหารม้าในบัญชาอยู่ครับ สามารถสั่งให้เคลื่อนพลไปหยุดและนำขบวนรถม้าของพ่อค้าคนนั้นกลับมาที่เมืองได้ครับ"
"งั้นทำเลย! ทำเดี๋ยวนี้เลย!"
แล้วเขาก็ตอบกลับด้วยเสียงกระตือรือร้น
"เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ!"
แล้วเขาก็ควบม้าส่วนตัวออกไปทันที
ส่วนฉันก็ยังให้ทุกคนไปที่ประตูเพื่อตามหาขบวนรถม้าของพ่อค้าค้นนั้น
เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าเขาจะช่วยได้ขนาดไหน ยังไงก็ต้องพึ่งตัวเองเผื่อไว้ก่อน
ที่หน้าประตูกองทหารที่เคยมาหยุดฉันได้แจ้งกับทหารยามเฝ้าประตูไว้ก่อนแล้ว
พวกเขาจึงทำแค่ตรวจดูหน้าตาของทุกคน เผื่อมีคนที่มีใบหน้าตรงกับใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวแฝงออกมา
ซึ่งฉันก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเพราะไม่มีตราประจำตระกูลมาแสดง
ฉันจึงเปิดหน้ากากออกให้ดูแค่ชั่วครู่แล้วรีบใส่กลับ
พวกทหารยามจึงปล่อยพวกเราผ่านประตูไป ด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มล่องลอย
*****
รอคต้า เจนเทีย หัวหน้ากองทหารรักษาความปลอดภัยเมืองชั้นในที่ 10 รับผิดชอบเขตใกล้สลัมจนถึงประตูทางเข้าออกเมือง
ขณะที่ผมกำลังตรวจรายงานของลูกน้องอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างร้อนรน
"มีเรื่องอะไร"
"เรื่องด่วนครับท่าน! มีทาสกลุ่มใหญ่จากสลัมพร้อมอาวุธครบมือหลายร้อยคนกำลังเดินในเมืองครับ! ตอนนี้มีประชาชนกับนักผจญภัยแจ้งคำร้องขอให้ตรวจสอบโดยด่วนครับ!"
"เตรียมม้าให้ข้า! สั่งกองร้อยที่ห้าและเรียกตัวนักผจญภัยใกล้เคียงไปหยุดไว้ก่อน!"
ผมรีบหยิบดาบประจำตัวแล้วออกจากห้องทำงานไป ตรงไปลานรวมพลแล้วกระโดดขึ้นขี่ม้าที่ลูกน้องเตรียมไว้ให้แล้ว
เมื่อมาถึงผมก็สั่งให้กระจายกำลังขวางทางกลุ่มทาสพวกนั้นไว้
แต่หลังจากได้รู้ว่าเป็นคุณหนูตระกูลโรซาค ผมก็รีบสั่งให้เปิดทางแล้วแยกย้ายทันที
โดยอ้างเรื่องไปว่าทาสกลุ่มนี้กำลังจะถูกพาไปลงดันเจี้ยน เพื่อให้ประชาชนกับนักผจญภัยในเมืองสบายใจ
เพราะเป็นขุนนาง ถึงรู้เรื่องที่ว่าคุณหนูตระกูลโรซาค ชอบปิดบังใบหน้าเวลาไปไหนมาไหน
ข่าวลือบอกว่าไม่ใช่ว่าเธอหน้าตาน่ารังเกียจ แต่เพราะงดงามเกินไปจนคนไม่อาจละสายตาได้แม้จะอายุแค่ 10 ขวบ
รวมกับการที่ตระกูลโรซาคเป็นขุนนางตระกูลใหญ่มีอำนาจมากมายในมือ
จึงเป็นที่หมายปองของหลายตระกูล ทั้งอยากหมั้นหมายและจับเป็นตัวประกันต่อรอง
ตระกูลโรซาคจึงจ้างหญิงสาวอายุ รูปร่าง สีผมและลักษณะท่าทางใกล้เคียงกับเธอมามากมาย
เพื่อที่ทุกครั้งเวลาคุณหนูฟอร์ซิเทียออกไปไหน ก็จะให้ตัวปลอมรวมถึงคุณหนูเองสวมหน้ากากเอาไว้แล้วแยกกันไปคนละทิศทาง
เพื่อลดโอกาสในการถูกลักพาตัวลง
ทำให้ไม่มีใครเห็นหน้าตาเธออีกเลยตลอด 5 ปีที่ผ่านมานี้
ถึงคุณหนูคนนี้จะเป็นตัวปลอม แต่ก็ยังเป็นคนของตระกูลโรซาค จึงไม่อาจแตะต้องสุ่มสี่สุ่มห้าได้
จริงๆ ก็ควรตรวจตราประจำตระกูลอยู่หรอก แต่ท่าทางเธอดูเร่งรีบและร้อนรน พอทราบเหตุผลว่าต้องการตามหาพ่อค้าคนนึง
แถมพ่อค้าที่เธอต้องการก็มีสายสืบรายงานมาว่าแอบลักลอบซื้อขายซากมอนสเตอร์จากแหล่งไม่รู้ที่มา
ตอนพวกมันจะออกจากเมือง ถึงได้ตรวจค้นอย่างละเอียด แต่เพราะไม่มีหลักฐานความผิดอะไรสักอย่างจึงทำอะไรมันไม่ได้
ถึงจะสงสัยเด็กสาวผมดำที่มันอ้างว่าได้รับการว่าจ้างให้คุ้มกันเธอไปส่งยังอีกเมือง
แต่เพราะถามอะไรไปเด็กคนนั้นก็ตอบเหมือนกับที่พ่อค้าพูดทุกอย่าง เลยหาเรื่องกักตัวมันไว้ไม่ได้
จากการทำงานมาหลายปี ดูยังไงเด็กคนนั้นก็ถูกบังคับให้เล่นตามบท กับอาการของพวกพ่อค้ามันดูรีบร้อนอยากหนีไปจากเมืองให้ได้โดยเร็วที่สุด
แต่เพราะไม่มีหลักฐานจึงต้องยอมปล่อยพวกมันไป
แล้วโอกาสจับมันก็มาถึง ผมจึงไม่ลังเลออกตัวช่วยคุณหนูฟอร์ซิเทียทันที
ถ้าตระกูลโรซาคเป็นคนสั่งให้หยุดหรือจับพวกมันมาสอบสวน ต่อให้ไม่มีหลักฐานพวกมันก็ต้องทำตามเท่านั้น
ถ้าขัดขืนก็สามารถประหารทิ้งตรงนั้นได้เลย นี่แหละอำนาจของขุนนางตระกูลใหญ่
งานนี้อาจได้ทั้งบุญคุณที่ช่วยเหลือตระกูลโรซาคและปิดคดีนี้ได้ จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้
ผมรีบควบม้ากลับค่าย แล้วสั่งการให้กองทหารม้าไปหยุดรถม้าคันนั้นไว้ทันที
หลังรวมพลเสร็จ ผมก็ควบม้านำกองทหารม้ากว่าร้อยคนไปที่ประตูเมือง
และในตอนนั้นเอง เพียงแค่เสี้ยววินาที คุณหนูฟอร์ซิเทียได้เปิดใบหน้าออกให้ดู
ถึงแม้จะได้เห็นเพียงแค่ครึ่งใบหน้า แต่นั่นเป็นโครงหน้าที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเจอมา สวยเกินกว่าที่ข่าวลือบรรยายไว้ซะอีก
ผมรีบส่ายหน้าเพื่อเรียกสติ ค่อยมาเคลิ้มหลังจับพ่อค้าให้คุณหนูก็ยังไม่สาย
หลังรอให้กลุ่มทาสของคุณหนูออกประตูไปจนหมด ผมก็ควบม้าไปหยุดหน้าพวกทหารเฝ้าประตูที่มีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
"ดูมีความสุขกันดีนะ งั้นเฝ้าผลัดคืนนี้ต่ออีกผลัดนึง"
และผมก็ทิ้งเสียงโหยหวนของพวกมันไว้ข้างหลัง
สาบานเลยจริงๆ ว่าไม่ได้อิจฉาที่พวกมันได้เห็นใบหน้าเต็มๆ ของเธอ