webnovel

บทที่ 4 อยู่กับนรสิงห์

เช้าวันต่อมา นรสิงห์ก็ลุกขึ้นไปหาอาหารที่ลำธาร แต่ธันน์พลันตื่นขึ้น

"เฮ้ ฉันไปด้วย"

เจ้าแห่งสิงห์ขมวดคิ้วทอง ชะงักกายเล็กน้อย มิคุ้นกับคำประหลาดของอีกฝ่าย

"ฉันเบื่ออะ ฉันไปด้วยสิ"

"ไม่ได้"

หางคิ้วธันน์เลิกขึ้น

"ทำไมล่ะ จะให้ฉันอยู่แต่ในนี้ทั้งวันหรือไง"

"อย่าได้ประมาทในฤทธา[1]ของไชยสรวง หากเจ้าก้าวออกนอกถ้ำแม้แต่ก้าวเดียว มันจักพบเห็นทันที"

"รึ...รึอะไรนะ?"

"ฤทธา" เจ้าแห่งสิงห์ย้ำ

"แปลว่าอะไร?"

นรสิงห์รู้สึกรำคาญ แต่ยังอดทนอธิบาย

"หมายถึงอำนาจมนตรา ไชยสรวงเป็นท้าวแห่งวงศ์ครุฑ มีอำนาจเหนือนภา เป็นราชาเจ้าเวหา ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ใต้ท้องนภา ก็มิอาจพ้นสายตาแห่งพญาครุฑ"

คำอธิบายเช่นนี้ทำเอาธันน์ทำหน้างงไม่น้อย

"เท้าแห่งวงศ์ครุฑ...นายหมายถึงเท้านี้เหรอ?"

เอานิ้วชี้เท้าตนเองซึ่งสวมรองเท้าผ้าใบเนื้อดีสีดำ

"เหลวไหล ท้าวที่ข้าว่าหมายถึงราชา หาใช่เท้าซึ่งเป็นกายไม่"

ธันน์เพิ่งเข้าใจ ที่จริงวัยเรียนมัธยมเขาเคยได้ยินคำว่า 'ท้าว' เช่นกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าแปลว่าอะไร

"รู้งี้น่าจะตั้งใจเรียนภาษาไทย"

นักธุรกิจหนุ่มบ่น นรสิงห์คร้านจะสนใจอีกฝ่าย ก้าวเท้าออกนอกถ้ำ โดยธันน์ก็ตามไปด้วย มันหันขวับทันที

"ข้าสั่งว่าห้ามออกไปก็คือห้าม เจรจามิรู้ความรึอย่างไร? อย่าให้ข้าต้องมีโทสะ ลงมือฉีกกระชากเนื้อหนังเจ้าเป็นชิ้น ๆ"

ธันน์เองก็ไม่ใช่คนยอมคน

"ก็ฉันมีขา จะเดินไปไหนก็ได้ แกไม่ใช่พ่อแม่ฉัน ไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันด้วยซ้ำ"

นรสิงห์แค่นเสียง

"ถึงข้าจักมิได้เป็นบิดามารดาเจ้า แต่ก็มีสิทธิ์ในตัวเจ้าทุกประการ"

"บ้าเหรอไง?! แกเป็นอะไรกับฉัน ถึงมามีสิทธิ์ในตัวฉัน"

บุรุษผู้มีเศียรเป็นสิงห์ตะเบ็งเสียงกลับ

"ข้าเป็น…!"

จากนั้นก็เงียบอย่างกะทันหัน ธันน์มองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าสายตาอีกฝ่ายค่อนข้างจะเปลี่ยนไป จากดุร้ายเป็นหม่นหมองลง

"นายเป็นอะไรกับฉัน?"

"ช่างเถอะ"

โครม!

หมัดอันแข็งแกร่งกระแทกใส่ผนังถ้ำจนจมลึก เศษศิลาร่วงพรู ทำเอาธันน์ใจหายวาบรีบก้าวเท้าถอย

"เป็นอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย"

"หากเจ้ายังดื้อด้านมิเชื่อฟัง จงระวังว่าจักเป็นเยี่ยงผนังนี้"

น้ำเสียงทรงอำนาจดั่งกษัตรา สะกดชายหนุ่มไม่กล้าขัดขืน สีหราชาทะยานออกจากถ้ำด้วยความไวดุวายุ เพียงพริบตาก็หายลับไป

แม้ธันน์จะอยากออกจากถ้ำ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าออกไปแล้วจะต้องไปที่ไหนต่อ ได้แต่ทรุดนั่งด้วยความขุ่นเคือง

"ไอ้บ้าเอ๊ย ไอ้บ้าหัวสิงโต รู้จักแต่ใช้กำลัง คิดว่ากูกลัวหรือไง"

เขานึกถึงตัวเองขึ้นมา ก่อนหน้าเขาก็ชอบใช้กำลังไม่ต่างกัน เพียงแต่ให้ลูกน้องเป็นคนจัดการพวกที่คิดหือ ส่วนตัวเขามองดูด้วยความยินดี

รอคอยอยู่พักใหญ่ นรสิงห์ก็นำปลามาให้อีก แต่คราวนี้เป็นปลาเกล็ดสีรุ้ง แวววาวไม่ต่างจากสายรุ้งซึ่งฟาดแผ่นฟ้า

"โห"

แม้แต่ธันน์ยังอุทานด้วยความชื่นชม ปลาสวยขนาดนี้หากเอาไปขายที่ภพมนุษย์ คงได้ราคาหลายหมื่นหรือเป็นแสนแน่

"รีบกิน"

"จุดไฟให้ฉันหน่อย"

"ช่างอ่อนแอนัก"

กล่าวจบนรสิงห์ก็นำหินมาจุดไฟกับกองฟืนที่เหลือใช้เมื่อวาน หลังจากนั้นก็ไปนั่งเฝ้าหน้าถ้ำโดยไม่พูดอะไร

รสชาติของปลาเกล็ดรุ้งไม่เลวทีเดียว ทั้งหวาน เค็ม เปรี้ยวผสมกัน เขาไม่เคยกินปลาที่มีรสชาติยอดเยี่ยมขนาดนี้ ถึงกับกินหมดจนเหลือแต่ก้าง

เมื่อกินเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินไปหาเจ้าตัวโต

"นายจะให้ฉันอยู่ที่นี่ถึงเมื่อไร?"

สายตาของมนุษย์เศียรสิงโตเอาแต่จดจ้องอยู่เบื้องหน้า หาได้หันมามองเขา

"ข้ามิแจ้ง อยู่ไปเรื่อย ๆ"

"ไม่ได้ ฉันมีงานต้องทำ ไม่มีเวลาเอ้อระเหยอยู่ในป่านี้หรอก"

"งาน?"

"ใช่ ธุรกิจปล่อยสินเชื่อของฉัน รู้ไหมว่ามีคนติดหนี้ฉันอยู่เท่าไร หากฉันไม่อยู่จะเกิดความปั่นป่วนในบริษัทแค่ไหน มนุษย์ถ้ำอย่างนายคาดไม่ถึงแน่"

"ข้ามิเข้าใจวาจาเจ้านัก แต่จงหุบปากแลอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว"

"นายช่วยพาฉันออกไปเถอะ ฉันยอมเป็นวิญญาณเร่ร่อน ดีกว่าต้องติดอยู่ในถ้ำตลอดชีวิต" น้ำเสียงธันน์อ่อนลง หากไม่มีคนนำทาง เขาคงไปไหนไม่รอด

เสียงของสีหราชาเข้มขึ้น

"หากข้ามิอนุญาต เจ้าอย่าได้หมายออกไปจากถ้ำนี้"

"แกไม่มีสิทธิ์ขังฉัน!" ธันน์อารมณ์เสียขึ้นมา

สีหราชาหันหน้าทันที

"อสรพิษร้ายอย่างเจ้ายังจักมีสิทธิ์เอ่ยวาจาต่อรองอีกหรือ ที่ข้ายังอดทนมิสังหารเจ้าก็ถือว่าบุญหนักหนาแล้ว"

"ฉันไปทำอะไรให้แกกับไอ้ครุฑนั่นโกรธแค้นกันแน่?"

ม่านตาของนรสิงห์หรี่ลง เต็มไปด้วยความเดือดดาลคั่งแค้น

"นวเรศ สิ่งที่เจ้าทำมันหนักหนานัก ถึงเล่าไปเจ้าก็คงมิสำนึกตน ด้วยเจ้ายังคงอ้างเช่นเดิมว่าเป็นเรื่องของชาติภพก่อน ถึงแม้ตัวเจ้าจักเกิดใหม่แล้ว แต่กรรมก็ยังหาได้สิ้นสุดไม่"

"ก็เล่ามาซี่!"

ร่างโตลุกขึ้น ด้วยส่วนสูงที่เหนือกว่าธันน์เกือบครึ่งตัว ทำให้ชายหนุ่มอดย่นย่อไม่ได้

"เพชรนพเก้าที่เจ้าสร้าง ทำมาจากมณีที่หายากเก้าชนิด เจ้าหลอกให้ผู้คนค้นหามันเพื่อนำมณีทั้งเก้ามามอบให้เจ้า โดยบอกว่าจักแบ่งปันอำนาจแห่งมณีให้โดยเท่าเทียม แต่เมื่อถึงเพลา เจ้ากลับยึดมณีนพเก้าเป็นของตนเองเพียงผู้เดียว ทรยศผู้ที่ไว้วางใจเจ้าทั้งหมด!"

ธันน์อดมองแหวนในมือไม่ได้ ตัวเขาในชาติที่แล้วทำอะไรที่หนักหนาไว้ขนาดนั้นเลยเหรอ

"ไชยสรวงถึงอาฆาตตั้งสัตย์สาบาน ว่าจักจองล้างจองผลาญเจ้าถึงที่สุด ส่วนข้านั้น..."

"นายทำไม?"

"ช่างเถิด ถึงเพลาที่เจ้าจักต้องรับกรรมแล้ว"

กล่าวจบนรสิงห์ก็นั่งลงพิงผนังถ้ำเช่นเดิม ธันน์ยังไม่หายสงสัย

"ถ้านายเกลียดฉันถึงขนาดนี้ แล้วนายช่วยฉันไว้ทำไม?"

"เพราะว่าเจ้าเคยตั้งสัตยวาจา ว่าจักมอบชีวิตให้ข้าเพียงผู้เดียว ดังนั้น ข้าจึงเป็นผู้เดียวที่มีสิทธิ์สังหารเจ้า หรือจักทำอย่างไรกับเจ้าก็ได้!"

ชายหนุ่มอดขมวดคิ้วเข้มไม่ได้

"แล้วทำไมนายไม่ฆ่าฉันซะล่ะ"

"เพราะว่าข้าต้องการทรมานเจ้าอย่างไรเล่า นวเรศ ให้เจ้าต้องทรมานอยู่ในถ้ำนี้เช่นเดียวกับที่ข้าต้องทนอยู่มาหลายพันปี"

นานขนาดนั้นเลย...ธันน์คิดในใจ แม้จะไม่ชอบท่าทีแข็งกร้าวของอีกฝ่าย แต่ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนเงาที่อยู่อย่างเดียวดาย

ธันน์ถอดแหวนออก ยื่นไปที่หน้านรสิงห์

"นายอยากได้ใช่ไหม? เอาไปสิ ถือว่าฉันทำตามสัญญาละกัน เอาไปเลย ขออย่างเดียว พาฉันออกไปจากที่นี่"

"ดูถูกข้าเกินไปแล้ว นวเรศ ข้ามิใช่ไชยสรวง ที่ต้องการแหวนแห่งฤทธานั่น"

กล่าวจบก็หลับตา ราวกับฤๅษีเข้าสู่การบำเพ็ญตบะ ไม่ว่าธันน์จะชวนพูดคุยเท่าไร อีกฝ่ายก็ไม่สนใจที่จะตอบเลย

สุดท้ายธันน์ก็ได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่ในถ้ำ ไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดทั้งวัน

ผ่านพ้นไปสองวัน นรสิงห์ยังคงกระทำเช่นเดิม เช้าหาอาหารและตักน้ำใสใบบัวมาให้ดื่ม จากนั้นก็นั่งเฝ้าหน้าถ้ำราวกับพัศดีคุมนักโทษ ซึ่งสร้างความอึดอัดให้กับธันน์มาก เขารู้ว่าอีกฝ่ายจงใจทรมานเขา เพราะกรรมจากชาติภพก่อนที่ก่อไว้

'ทำไมกูต้องยอมด้วย กูจะไปรู้ได้ยังไงว่าชาติก่อนกูทำอะไร'

ถึงแม้จะไม่ยอม ก็ยังรู้ตัวว่าไม่สามารถชนะมนุษย์ผู้มีศีรษะเป็นสิงโต แต่หากฝืนอยู่ด้วยกันนานเข้า แล้วเกิดอีกฝ่ายมีโทสะขึ้นมา บ้าคลั่งลงมือสังหารเขา ก็คงได้แต่รอความตายสถานเดียว

'เราต้องออกไปจากที่นี่...'

สมองครุ่นคิดหาอุบาย แต่ไม่แสดงท่าทีผิดปกติ หลังจากที่นรสิงห์นำอาหารมาให้ เขาก็กินตามเคย จากนั้นก็เข้าไปนั่งอยู่ในถ้ำส่วนลึกเพียงคนเดียว

ยามรุ่งอรุณส่องแสง มนุษย์ครึ่งสิงโตยังคงทำเช่นเดิม ออกไปหาอาหารที่ลำธาร ขณะเดียวกันธันน์ซึ่งแสร้งหลับพลันตื่นขึ้น

เขารออยู่สักพัก เมื่อแน่ใจว่าสีหราชาคงไม่ย้อนกลับมา รีบวิ่งออกจากถ้ำ ไปยังทิศตรงกันข้ามกับที่อีกฝ่ายอยู่

แม้จะอับจนสิ้นหนทาง แต่ก็ยังดีกว่าคุดคู้อยู่ในถ้ำจนตาย สองขาวิ่งห้อไม่สนใจความเหน็ดเหนื่อย จนทิ้งห่างจากถ้ำพอสมควร

ร่างสูงเหนื่อยมาก หอบหายใจอย่างรุนแรง แต่ยังฝืนวิ่งต่อ กลัวว่าอีกฝ่ายจะตามมาทัน

ผ่านอีกนับชั่วโมง วิ่งผ่านต้นไม้แล้วต้นเล่า บรรยากาศในป่ายังคงร่มรื่น แต่ธันน์กลับร้อนจนหายใจแทบไม่ทัน

'พอ...พอก่อน...'

เขานั่งลงที่ใต้ต้นไม้ ยกมือขึ้นมาพัดใบหน้าตัวเอง รู้สึกกระหายน้ำพอสมควร แต่ไม่รู้ว่าจะหาแหล่งน้ำได้ยังไง

เมื่อกวาดตามองหา พบว่าต้นไม้ในป่าหิมพานต์แม้จะมีสีสันหลากหลาย บ้างใบสีเขียว บ้างใบสีฟ้า มีแม้กระทั่งใบสีชมพู แต่ต้นที่มีใบสีเขียว กลับมีผลไม้ที่คุ้นตาอยู่

"มะม่วง"

ไม่คิดว่าในป่าประหลาดจะมีมะม่วง เขาไม่รอช้า ปีนขึ้นต้นไม้เพื่อเด็ดผลมะม่วง

ตุบ!

ด้วยความที่ไม่ชำนาญ จึงหล่นลงมาหลังกระแทก ยังดีว่าปีนยังไม่สูง แผ่นหลังจึงเจ็บปวดเล็กน้อย

ธันน์ไม่สนใจความเจ็บ พยายามปีนต้นมะม่วงให้ได้ ใช้เวลาพักใหญ่ก็ปีนสู่ยอดไม้สำเร็จ

ค่อย ๆ เขยิบตัวไปตามกิ่งไม้อย่างระมัดระวัง เด็ดผลมะม่วงจากปลายกิ่ง เมื่อเด็ดได้แล้ว จึงรีบกัดด้วยความกระหาย

ทว่าพลันมีเงาสีน้ำตาลบินเข้ามา คว้ามะม่วงจากมือเขา ธันน์เห็นก็ตกใจ

"ลิงอะไรวะเนี่ย!"

ลิงตัวสีน้ำตาล สูงประมาณหนึ่งเมตร แม้หน้าตามันจะเหมือนลิงทั่วไป แต่ด้านหลังมันกลับมีปีกเหมือนนก

วานรชนิดนี้คือ 'กบิลปักษา[2]' มีตัวเป็นลิงแผ่นหลังติดปีกอย่างวิหค มักบินข้ามไปมาระหว่างต้นไม้ เพื่อหาผลไม้กิน

มันเห็นธันน์หยิบผลไม้ในถิ่นมัน ด้วยความหวงอาหารจึงไม่ยินยอม ไม่เพียงมีกบิลปักษาแค่ตัวเดียว แต่ยังมีอีกสี่ห้าตัวทยอยบินมา

"เฮ้ย!"

กบิลปักษาตัวหนึ่งแย่งมะม่วงจากมือธันน์สำเร็จ อีกสี่ตัวซึ่งบินมาถึงตวัดกรงเล็บทำร้ายเขา ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบ ต่อยหมัดสวนกลับสู้สุดชีวิต

หมัดหนัก ๆ ต่อยลิงตัวหนึ่งจนหน้าหัน ขณะที่จะจู่โจมต่อ กบิลปักษาตัวหนึ่งบินมาจากด้านข้าง ชนเขาร่วงลงจากกิ่งไม้!

ร่างตกลงจากยอดไม้สูง ธันน์ร้องลั่นเสียงดัง หากร่างกระแทกพื้น มีหวังได้กระดูกหักแน่

"ช่วยด้วย!"

เหมือนกับได้ยินคำร้องขอ สายลมแผ่วพัดมา ชะลอร่างเขาตกลงพื้นอย่างช้า ๆแม้แต่ธันน์ยังอัศจรรย์ใจ

"อะไรอีกเนี่ย"

ฝูงกบิลปักษายังไม่ยอม พวกมันโฉบลงมาทำร้ายธันน์ต่อ ขณะที่ชายหนุ่มยังไม่หายตะลึง พวกมันก็มาถึงแล้ว

ทว่าทันใดลมรุนแรงกระโชกมา กิ่งไม้ใบไม้บริเวณนั้นล้วนสั่นไหว เศษดินเศษหญ้าปลิวว่อน ธันน์รู้สึกถึงบรรยากาศอันคุ้นเคยนี้

ฝูงกบิลปักษามีสีหน้าหวาดกลัว ร้องเจี๊ยกเจี๊ยกแตกฝูงบินหนีไปคนละทิศละทาง แม้แต่มะม่วงที่ที่มันแย่งจากธันน์ ยังโยนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี

นักธุรกิจหนุ่มลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังไม่หายมึนงง ขณะที่สายลมพัดแรงยิ่งขึ้น แม้เป็นยามกลางวันแสงตะวันส่องจ้า ทว่าธันน์กลับรู้สึกหนาวเหน็บถึงภายใน

"หรือ...หรือว่า...."

"น่าสมเพช"

เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น ไม่ทราบว่าดังมาจากทิศทางใด แต่น้ำเสียงคล้ายดังมาจากทั้งแปดทิศ มีอำนาจทรงฤทธิ์ไพศาล

พญาครุฑ!

สันหลังถึงกับเย็นวาบ ดูเหมือนความตายจะอยู่ไม่ไกล...

----- จบตอน -----

[1] ฤทธา (รึ-ทา) – หมายถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ , อิทธิฤทธิ์

[2] กบิลปักษา (กะ-บิน-ปัก-ษา-) – กบิลแปลว่าลิง , ปักษาแปลว่านก , เป็นชื่อเรียกของลิงชนิดหนึ่งในหิมพานต์ ที่มีปีกเป็นนกบินไปมาเพื่อหาอาหาร

Chương tiếp theo