ยามอิ่ววันเดียวกัน ณ จวนแม่ทัพไร้พ่าย
"อาการเฟิ่งอิงเป็นอย่างไรบ้าง?"ชิงหลินถามจิ๋นเอ้อที่รับคำสั่งให้ลำเลียงผู้บาดเจ็บจากพิษตะวันจันทราเล่นงานกว่าสามสิบนาย มารักษาที่จวนแม่ทัพ รวมถึงคนร้ายของกลุ่มเก้าจิ้งจอกเงินนายหนึ่งที่เฟิ่งอิงปะมือด้วยจนบาดเจ็บสาหัส ส่วนคนร้ายก็ย่ำแย่พอกันด้วยยาปลิดวิญญาณของเฟิ่งอิง
"เรียนฮูหยินน้อย ข้าว่าท่านไปดูด้วยตนเองเถิดขอรับ"จิ๋นเอ้อก้มหน้าต่ำตอบเสียงเศร้า
"...ไปเถิด"มู่หลิ่งเหวินจับจูงมือเรียวรุดไปยังเรือนพักผู้ป่วย ซึ่งสร้างขึ้นแยกไว้ต่างหาก สำหรับรักษาและเป็นที่พักฟื้นชั่วคราวของทหาร องครักษ์ ตลอดจนกองกำลังปีศาจมู่ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมและปฏิบัติภารกิจ
"..."สี่สหายน้อยที่วิ่งตามหลินหลินไปติดๆ พลันสัมผัสได้ถึงความกังวลและร้อนใจของนางจึงมองหน้ากันแต่ไม่รู้จะปลอบนางอย่างไรดี
"หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำผู้นี้ หาใช่บุรุษอ่อนแอไม่ เจ้าอย่ากังวลไปนักเลย"แม่ทัพหนุ่มกล่าวปลอบนางพลางบีบกระชับมือเรียวเล็กแน่นขึ้นเล็กน้อย
"....."ชิงหลินเงยหน้าส่งยิ้มเศร้าให้สามี ภายในใจหนักอึ้งส่งผลให้หายใจไม่ค่อยสะดวก เฟิ่งอิง แม้จะเป็นเพียงผู้คุ้มกันแต่นางก็รักและนับถือชายผู้นี้เหมือนพี่ชายตัวเอง หลายครั้งที่นางรอดตายก็เพราะเขา แล้วนางจะยอมเห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?
"คารวะท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อย"หมอชราประจำจวนแม่ทัพลุกขึ้นโค้งคำนับแม่ทัพหนุ่มและฮูหยิน
"อาการเป็นอย่างไร?"มู่หลิ่งเหวินปรายตามองร่างสูงใหญ่บนเตียงแล้วถามถึงอาการ
"เรียนท่านแม่ทัพ เอ่อ..หากพ้นคืนนี้ไปได้..ก็ยังพอมีหวังขอรับ"คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีแต่อย่างใด
พอได้ยินดังนั้น ชิงหลินจึงสาวเท้ามาหยุดยืนที่ข้างเตียง ก้มมองใบหน้าคมเข้มที่ซีดขาวไร้สีเลือด กำลังหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาด้วยความกังวล ร่างกายแกร่งมีผ้าสีขาวพันไว้โดยรอบตั้งแต่คอไปจนถึงเอวสอบ เหมือนกับมัมมี่ก็ไม่ปาน มีเลือดซึมผ่านออกมาหลายแห่ง มากที่สุดเห็นจะเป็นบริเวณตรงอกซ้ายลมหายใจอ่อนจนน่าเป็นห่วง
"คะคะคุณหนู.... คะคะคุณหนู....."เสียงละเมอกระท่อนกระแท่นแผ่วเบา จากริมฝีปากหนาที่แห้งแตกเป็นขุย พร้อมกับมือที่ยกขึ้นมาราวกับจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง ทำให้ชิงหลินอดไม่ได้ที่จะนั่งลงข้างเตียงแล้วจับมือใหญ่หยาบกระด้างไว้ด้วยสองมือเรียวเล็กของตน ลืมความเหมาะสมไปเสียสนิท
"เฟิ่งอิง...เฟิ่งอิง..."ลองเรียกชื่อเขา ได้ผลเมื่อดวงตาคมเรียวดุขยับไปมาแล้วค่อยลืมขึ้น ครั้นพอได้เห็นใบหน้างดงามของสตรีที่ตนแอบรักจนหมดหัวใจ ความเศร้าเสียใจที่เคยคิดว่า คงไร้วาสนาที่จะได้เห็นใบหน้างดงามนี้อีกครั้ง แปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น หวานล้ำและยินดีปรีดาเป็นที่สุด ยิ่งได้รู้ว่าสตรีที่นั่งกุมมือตนอยู่ไม่ใช่ความฝันหรือภาพลวงตา ก็ยิ่งทำให้ใจสุขล้นเหลือจะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ ผู้คุ้มกันหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนให้นาง เผยความในใจที่แอบซ่อนไว้ผ่านทางดวงตาคมเรียวดุจนหมดสิ้น แล้วหลับตาลงอีกครั้งด้วยใจที่เปี่ยมสุข เพียงเท่านี้...เพียงได้กุมมือนางไว้เช่นนี้ แม้ต้องตาย ก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว.......
"..."แม่ทัพหนุ่มสูดลมเข้าแรงระงับความหึงหวงและขุ่นเคือง ที่เห็นภรรยาจับมือถือแขนบุรุษอื่นต่อหน้าต่อตา มันน่านัก!แม่ทัพหนุ่มกัดฟันกรอดๆ เจ้านี่..แทนที่จะละเมอถึงหญิงอื่น..กลับมาละเมอหาเมียชาวบ้าน!...มันใช้ได้ที่ไหนกัน! ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจนเผลอปล่อยรังสีคุกคามกดดันไปทั่วห้อง
"...."จิ๋นเอ้อ องครักษ์หนุ่ม หมอชราและองครักษ์อีกจำนวนหนึ่ง พากันก้มหน้าต่ำเสียวสันหลังวาบ เมื่อรับรู้ถึงอารมณ์กริ้วโกรธของท่านแม่ทัพ
แย่แล้ว!เทพสงครามกริ้วเสียแล้ว! ฮูหยินน้อยได้โปรดรู้ตัวเสียทีเถิด ข้าขอร้องท่านแล้ว! จิ๋นเอ้อร้องตะโกนในใจ
"เฟิ่งอิง...เฟิ่งอิง...เฟิ่งอิง..อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ...ข้าไม่ชอบนะ"น้ำเสียงที่ร้อนรนของฮูหยินน้อย ทำแม่ทัพหนุ่มเอะใจระงับความขุ่นเคืองไว้ก่อน ก้าวยาวๆมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของนาง โน้มตัวลงมาจับคลำชีพจรที่ข้อมือของผู้คุ้มกันหนุ่ม คิ้วเข้มขมวดเป็นปม เมื่อไม่อาจสัมผัสถึงการเต้นของชีพจรได้ แต่เพื่อความแน่ใจจึงพยักหน้าให้หมอชราเข้ามาตรวจอีกครั้ง หมอชราก็รีบเข้ามาจับชีพจรที่ข้อมือ ที่คอ และเอามืออังใต้จมูก แล้วส่ายศีรษะช้าๆพลางกล่าว
"เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่อาจยื้อชีวิตของผู้คุ้มกันเฟิ่งไว้ได้ ขอท่านแม่ทัพโปรดอภัย"
"..."ช่อลดายืนแข็งทื่อ ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริง เป็นไปไม่ได้ ก็เมื่อกี้เขายังส่งยิ้มให้นางอยู่เลย แล้วจู่ๆมาบอกว่า ตายแล้ว? จะให้เชื่อลงได้อย่างไร?
"หลินเอ๋อร์"แม่ทัพหนุ่มรั้งร่างเล็กบอบบางเข้าแนบกับอกแกร่ง มือหนึ่งลูบหลังนางเบาๆปลอบโยน ด้วยรู้ดีว่านางคงไดรับความตระหนกตกใจและสับสนไม่ทันได้เตรียมใจ กับการจากไปแบบกะทันหันของผู้คุ้มกันหนุ่มผู้นี้ แม่ทัพหนุ่มเองก็รู้สึกใจหาย เสียดายความสามารถ ความซื่อสัตย์จงรักภักดี ของบุรุษผู้นี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน
"อาเหวิน เฟิ่งอิงเป็นอย่างไรบ้าง?"ชิงหยวนที่มาพร้อมฮูหยินของตนเอ่ยถามแม่ทัพหนุ่ม แต่ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะตอบคำถามท่านพ่อตา
"ท่านแม่ เฟิ่งอิงเค้า...เฟิ่งอิงเค้า..."ชิงหลินโผเข้าหามารดาน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย แต่กลับไร้เสียงร่ำไห้มีเพียงไหล่เล็กบอบบางที่ซบไหล่ของมารดาเท่านั้นที่สั่นไหวบ่งบอกให้รู้ว่านางร่ำไห้อยู่
"อา...เฟิ่งอิง...เหตุใดคนดีๆอย่างเจ้าถึงได้อายุสั้นเช่นนี้...."ชิงหยวนเข้าใจความหมายปราดไปนั่งลงข้างเตียง น้ำตาแห่งความเสียใจไหลรินออกมาเงียบๆ กุมมือหยาบยังอุ่นของผู้คุ้มกันหนุ่มที่ตนรักและเอ็นดูเหมือนบุตรชายไว้ด้วยความอาลัยรัก
ชิงหยวนนั่งมองใบหน้าคมเข้มนิ่งอยู่นานราวหนึ่งเค่อ ก่อนจะดึงผ้ามาปิดคลุมใบหน้าและศีรษะของชายหนุ่มไว้จนมิด เช็ดน้ำตา แล้วกลับมายืนข้างฮูหยินที่ยังคงกอดปลอบบุตรี ใบหน้างามเศร้าสร้อย ขอบตาของนางแดงก่ำไม่ต่างจากตนเท่าใดนัก
"ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายเชิญกลับเรือนรับรองก่อนเถิดขอรับ"แม่ทัพหนุ่มกล่าวกับชิงหยวนอย่างนอบน้อม
"อา...ได้ ไปเถิดฮูหยิน"ชิงหยวนหันมากล่าวกับฮูหยินของตน
"หลินเอ๋อร์"ฮูหยินชิงดันร่างของบุตรีออกห่างเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
"ท่านแม่ กลับไปพักผ่อนกับท่านพ่อก่อนเถิด เดี๋ยวหลินเอ๋อร์ ตามไปเจ้าคะ"บอกมารดาด้วยเสียงที่สั่นเครือขึ้นจมูก หลังจากได้ร้องไห้ทำให้ความเสียใจบรรเทาเบาบางไปได้บ้าง
"หลินเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรนะ?"แม่ทัพหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง
"หลินเอ๋อร์ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ"ยิ้มตอบสามี ดวงตากลมโตจ้องมองร่างที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวนิ่ง มีสี่สหายน้อยยืนอยู่ข้างหน้า แหงนเงยหน้าขึ้นมองหลินหลินด้วยความเป็นห่วง และรอดูว่านางจะทำสิ่งใดต่อไป
"...ข้าไม่เป็นไร"ก้มบอกสี่สหายน้อย
"..."สี่สหายน้อยผงกหัวตอบรับอล่างเดียวไม่รู้จะพูดปลอบใจนางอย่างไรดี
"...."ขณะที่ชิงหลินกำลังครุ่นถึงสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้อยู่นั้น จู่ๆก็มีความทรงจำบางอย่างแวบเข้ามาในหัว อา...จริงสิ ท่านยมเคยบอกว่า พลังมังกรฟ้าสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนมาใหม่ได้ แต่ต้องแลกกับความความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส ราวกับถูกตะปูตอกลงที่หัวใจเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน หากสามารถทนได้นางก็รอด แต่หากไม่....นางอาจต้องกลับบ้านเก่าอีกครั้ง
ปัญหาคือนางจะทนได้รึเปล่า ยิ่งเป็นคนกลัวเจ็บอยู่ด้วย คราวก่อนแค่ใช้เข็มจิ้มนิ้วไม่กี่สิบครั้งก็ต้องนั่งทำใจตั้งนาน กว่าจะทำได้สักครั้ง แค่คิดก็รู้สึกเสียวแปลบที่ปลายนิ้วแล้ว แล้วนี่...ต้องเจ็บปวดดั่งถูกตะปูตอกอกตั้งเจ็ดวันจะรอดไหมเนี่ยเรา
"หลินเอ๋อร์ คิดอันใดอยู่หรือ?"
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ...อ้อ...จิ๋นเอ้อ"
"ขอรับฮูหยินน้อย"
"อีกไม่นาน จะมีเหยี่ยวนำต้นหญ้าจันทราตะวันมาให้ รบกวนเจ้าช่วยเป็นธุระให้ทีนะ"ชิงหลินได้ส่งกระแสจิตขอความช่วยเหลือจากนกพิราบขาวให้ช่วยหาต้นหญ้าจันทราตะวัน จากหุบเขายี่ซาน โดยมีสหายของเหยี่ยวหนุ่มอาสานำต้นหญ้าจันทราตะวันมาให้ คาดว่าอีกครึ่งชั่วยามก็น่าจะถึง
"เหยี่ยว? ต้นหญ้าจันทราตะวัน?"
"ใช่...เป็นยาถอนพิษตะวันจันทรา ต้องทำอย่างไรนั้น ถามเสี่ยวอี้ก็จะรู้เอง"
"ฮูหยินน้อยสั่ง ก็จงรีบทำตามเสีย อย่าสงสัยให้มาก"เห็นองครักษ์ของตน ยังคงยืนทำหน้าสงสัยแม่ทัพหนุ่มจึงโบกมือไล่อย่างรำคาญ
"ทราบแล้วขอรับ"จิ๋นเอ้อโค้งคำนับจ้ำอ้าวไปทำตามคำสั่งทั้งที่ยังมีเรื่องค้างคาใจ เหตุเพราะองครักษ์หนุ่มผู้นี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ยามที่เจ้าเหยี่ยวหนุ่มนำต้นหญ้าจันทราตะวันมาให้ฮูหยินน้อยนั่นเอง
"เอ่อ..เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน"หมอประจำจวนเอ่ยขอตัว แล้วก้าวตามองครักษ์หนุ่มไปอย่างรวดเร็ว
"..เชิญ"
"หลินเอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำอันใด?"แม่ทัพหนุ่มถามอย่างสงสัย เมื่อหันกลับมาเห็นภรรยา เดินไปปิดประตูลงกลอนเสียแน่นหนา แล้วกลับมานั่งที่เตียงของผู้คุ้มกันหนุ่มเฟิ่งอิง บัดนี้จึงเหลือเพียงคู่สามีภรรยา กับสี่สหายน้อย และร่างไร้วิญญาณของผู้คุ้มกันหนุ่มนาม เฟิ่งอิง
"ทำสิ่งที่ควรทำเจ้าค่ะ ช่วยหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?"ประโยคหลังขอร้องเขาเสียงหวาน
"..จะให้พี่ช่วยอย่างไร?"
"พยุงเฟิ่งอิงขึ้นมาให้หน่อยเจ้าค่ะ"
แม่ทัพหนุ่มทำตามที่นางบอก ดึงผ้าที่ปิดคลุมใบหน้าร่างไร้วิญญาณของผู้คุ้มกันหนุ่มไว้ ลงมาจนถึงเอวสอบ นั่งลงด้านหน้าจับไหล่ที่อ่อนปวกเปียกของชายหนุ่มดึงขึ้นมาให้อยู่ในท่านั่ง สองขายังคงเหยียดตรงอยู่เช่นเดิม
ชิงหลินไม่รอช้าขึ้นไปบนเตียง นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังของเฟิ่งอิง สองมือวางซ้อนกันอยู่ข้างหน้า หลับตาลงทำจิตใจให้สงบ ครั้นพอจิตใจสงบแล้วก็เริ่มส่งกระแสจิตถึงราชามังกรฟ้า เพื่อขออนุญาต หยิบยืมพลังในการชุบชีวิตมาใช้กับเฟิ่งอิง
บอกตามตรงนางเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำสำเร็จหรือเปล่า เพราะไม่เคยลองมาก่อน ก็มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาลองเล่นได้เสียหน่อย
"....."แม่ทัพหนุ่มนั่งมองนางอยู่เงียบๆมือหนาจับไหล่ด้านหน้าทั้งสองของชายหนุ่มไว้มั่น แม้จะติดใจสงสัยกับการกระทำของนางอยู่บ้าง แต่สิ่งใดที่นางทำมักจะเหนือความคาดหมายของตนเสมอ หากนางคิดจะชุบชีวิตคนตายให้ฟื้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หนึ่งเค่อต่อมา
"....!!?"คิ้วเข้มของแม่ทัพหนุ่มเลิกขึ้นสูง เมื่อเห็นร่างภรรยาเปล่งประกายสีฟ้าออกมา ส่งผลให้ใบหน้าจิ้มลิ้มดูงดงาม ราวกับเทพธิดาจากสวรรค์ รัศมีสีฟ้าที่ห่อหุ้มร่างเล็กบอบบางไว้ ยิ่งทำให้นางดูสูงส่ง สง่างาม ขณะเดียวกันก็ดูสดใส ราวกับท้องฟ้าฤดูใบไม้ผลิ
ชิงหลินค่อยๆถ่ายพลังชีวิตผ่านฝ่ามือเรียวเล็กที่ประทับอยู่บนหลังด้านซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจของเฟิ่งอิง พลังสีฟ้าแล่นผ่านฝ่ามือไปยังร่างแกร่งไม่ขาดสาย ห่อหุ้มร่างของผู้คุ้มกันหนุ่มไว้ครู่หนึ่ง แล้วแสงสีฟ้าก็ค่อยซึมหายเข้าไปในร่างแกร่งจนหมด เป็นเช่นนี้สลับกันไป
-----------
"เฮือก!..."ครึ่งชั่วยามต่อมา ร่างของเฟิ่งอิงก็เกิดการกระตุกอย่างแรงครั้งหนึ่ง แล้วก็แน่นิ่งไปอีกครั้ง
"....."ชิงหลินถอนฝ่ามือออกแล้วเอามาวางซ้อนกับบนตักอีกครั้งลืมตาขึ้นช้าๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าและร่างกายจนรู้สึกเหนอะหนะไปหมด
"...วางเฟิ่งอิงลงได้แล้วเจ้าค่ะ"บอกกับสามีที่เอาแต่จ้องไม่หยุด ดวงตาคมทรงเสน่ห์เต็มไปด้วยความชื่นชมระคนประหลาดใจ แต่ไม่ได้หวาดกลัวอย่างที่ควรจะเป็น ก็ค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย เพราะหากเกิดเขารู้แล้วเกลียดกลัวนางขึ้นมาคงเจ็บปวดใจน่าดู
"....."แม่ทัพหนุ่มทำตามที่นางบอก วางชายหนุ่มลงแล้วเงยหน้ามองภรรยา เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยเหงื่อและดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ก็ให้รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
ฝ่ายชิงหลินไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของสามี เอานิ้วชี้อังใต้จมูกของชายหนุ่มที่นอนอยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆก็ทำให้ยิ้มออกมาอย่างดีใจระคนโล่งใจจนน้ำตาซึม อา..นางทำสำเร็จ เฟิ่งอิงรอดตายแล้ว
"เจ้ายังมีสิ่งใดปิดบังพี่อยู่อีก ใช่หรือไม่?"แม่ทัพหนุ่มถามเสียงเข้ม ที่ชวนให้คนฟังหวาดหวั่นใจ ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องอย่างเอาเรื่อง
"เอ่อ..เรื่องนั้น..ไว้ค่อยเล่าให้ฟังทีหลังได้ไหมเจ้าคะ? ตอนนี้ต้องตามหมอมาดูอาการเฟิ่งอิงก่อน"ชิงหลินหลบสายตา เสเดินไปที่ประตู เรียกทหารยามที่อยู่ใกล้แถวเรือนพักผู้ป่วย ให้ไปตามหมอมาดูอาการเฟิ่งอิง แล้วจึงกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แต่จู่ๆก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมา
"หลินเอ๋อร์!"แม่ทัพหนุ่มเรียกชื่อนางเสียงดัง ดีดตัวทีเดียวก็รวบร่างเล็กบอบบางที่กำลังจะล้มลงศีรษะฟาดพื้น ไว้ในอ้อมกอดได้ทันท่วงที แล้วอุ้มร่างเล็กบอบบางเบาราวกับขนเป็ดวางบนอีกเตียงข้างเตียงของผู้คุ้มกันหนุ่ม
"หลินเอ๋อร์....หลินเอ๋อร์....หลินเอ๋อร์"แม่ทัพหนุ่มเรียกนางเบาๆ พร้อมกับปัดปอยผมข้างแก้มขาวเนียนละเอียดที่บัดนี้ซีดเซียวจนแทบไม่เห็นสีเลือดอย่างอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลางดงามเต็มไปด้วยความกังวลใจ มือหยาบหนาข้างหนึ่งเกาะกุมมือเรียวเล็กที่อยู่ใกล้ตัวไว้หลวมๆ
"หลินหลินไม่เป็นอันใดมากหรอก แค่สูญเสียพลังมากไป พักสักหน่อยก็หายแล้ว"ฟานฟานน้อยกระโดดขึ้นมาบนเตียง มองดูหลินหลินแล้วกล่าวกับแม่ทัพหนุ่มทางจิต แต่สี่สหายน้อยไม่ได้ล่วงรู้ถึงข้อแลกเปลี่ยนในเรื่องนี้เลย หากรู้พวกมันย่อมขัดขวางอย่างแน่นอน
"อืม...ข้ารู้แล้ว"แม่ทัพหนุ่มตอบกลับสั้นๆ
ฟงฟงน้อย เป่าเปาน้อย และหมั่นโถวน้อย กระโดดขึ้นมาบนเตียงแล้วนอนอยู่ใกล้ร่างของหลินหลินราวกับผู้พิทักษ์
ผ่านไปครู่ใหญ่หมอประจำจวนก็มาถึง พร้อมล่วมยาใบใหญ่ ด้านหลังคือ มู่หลิ่งฟู่ ชิงหยวนพร้อมด้วยฮูหยินมู่ และฮูหยินชิง ยังมี องครักษ์คนสนิททั้งสี่ จิ๋นอี้ จิ๋นเอ้อ จิ๋นซาน และจิ๋นซื่อ ปิดท้ายด้วยสองสาวใช้ เสี่ยวอี้และเสี่ยวสุ่ย
ทุกคนรีบรุดมาที่นี่ เพราะคำรายงานที่คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ชวนเหลือเชื่อของทหารยาม ที่ว่า คนตายแล้วฟื้นจึงอยากมาพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตาตัวเอง
"อาเหวิน หลินเอ๋อร์เป็นอันใด?"ฮูหยินชิงเอ่ยถามทันทีที่เข้ามาเห็นบุตรีนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง ลืมเรื่องที่ต้องการรู้ไปเสียสิ้น
"นางเพียงอ่อนเพลียเล็กน้อยขอรับ"แม่ทัพหนุ่มเลี่ยงตอบความจริง ด้วยคิดว่าหากมีผู้ใดล่วงรู้ถึงพลังวิเศษที่เป็นดั่งสวรรค์ประทานมานี้ของนาง เกรงจะเกิดสงครามแย่งชิงตัวนาง เพียงแค่พลังที่สามารถสื่อสารและควบคุมเหล่าสรรพสัตว์ได้ตามใจปรารถนาเขาก็กลุ้มใจและหนักใจมากพออยู่แล้ว
ยามนี้นางยังมีพลังในการชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตได้ ราวกับปาฏิหาริย์อีก เห็นทีคงต้องเรียกใช้ กองกำลังปีศาจมู่ มาคอยคุ้มกันนางและจวนแม่ทัพแห่งนี้เสียแล้ว
นางไม่ใช่สตรีจอมวางแผน คิดอ่านก็ไม่ละเอียดรอบคอบ ออกจะวู่วามขาดความระมัดระวังจนน่าเป็นห่วง และมักจะเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นจนตนเองเดือดร้อน ด้วยวิสัยเช่นนี้ถึงมีสี่มารน้อยคอยช่วย แต่พวกมันก็ยังเด็กหวังพึ่งมากคงไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว การคุ้มกันที่เข้มงวดและไร้ช่องโหว่จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนาง
"ท่านหมอ เป็นอย่างไร? จับชีพจรได้หรือไม่?"ชิงหยวนหันมาถามหมอประจำจวนแม่ทัพ หลังจากเห็นบุตรีปลอดภัยดี
"ปาฏิหาริย์ มันคือปาฏิหาริย์จริงแท้แน่นอนขอรับ"หมอประจำจวนแม่ทัพกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เป็นหมอมาก็หลายปี พบเห็นผู้ป่วยและโรคประหลาดมาก็มาก คนตายแล้วฟื้นก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่มิเคยพบเหตุการณ์ คนที่ถูกแทงทะลุหัวใจจนถึงแก่ตายแล้วฟื้นเช่นนี้มาก่อน
"ความหมายของเจ้าคือ..."มู่หลิ่งฟู่เอ่ยถาม
"เรียนนายท่าน เชิญท่านดูให้เห็นกับตาตนเองเถิดขอรับ"
"อา...นี่มัน....."มู่หลิ่งฟู่ถึงกับอึ้งกิมกี่กล่าวไม่ออก ทำให้คนอื่นๆที่ตามมาพากันประหลาดใจอดไม่ได้ที่จะเดินมาดูให้เห็นกับตา ครั้นได้เห็น ปาฏิหาริย์ นั่นคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของทุกคน
"ถูกดาบแทงทะลุหัวใจ บาดแผลฉกรรจ์อีกนับสิบแผล ยังมีชีวิตอยู่ได้หลายชั่วยามก็นับว่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว แต่นี่ฟื้นจากความตายยังไม่พอ บาดแผลต่างๆก็หายเป็นปลิดทิ้ง ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องร้ายแรงมาก่อน หากไม่เรียกว่า ปาฏิหาริย์แล้วจะให้เรียกว่าอันใดขอรับ"หมอประจำจวนแม่ทัพอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
"ไม่ว่าจะเป็นเพราะปาฏิหาริย์ หรือจะเพราะอันใดก็แล้วแต่ แค่เจ้าปลอดภัยเท่านี้ข้าและฮูหยินก็พอใจแล้ว"ชิงหยวนนั่งลงข้างเตียงเอ่ยขึ้นเบาๆ ราวกับกล่าวกับตนเอง มองใบหน้าคมเข้มที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอด้วยความยินดีปรีดาระคนโล่งใจ
"ท่านพี่ เมื่อเฟิ่งอิงหายดีแล้ว ข้าอยากรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม ท่านพี่เห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ?"ฮูหยินชิงวางมือบนไหล่สามีที่นั่งอยู่พร้อมกับเอ่ยถามความเห็น
"อา...พี่ก็ว่าจะปรึกษาเรื่องนี้กับฮูหยินอยู่พอดี"ชิงหยวนลุกขึ้นกุมมือของนางไว้ มุมปากยกยิ้มพอใจที่ความเห็นตรงกัน
"ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะอาหยวน ฮ่าๆๆ"มู่หลิ่งฟู่กล่าวพลางหัวเราะออกมาเสียงดัง
"ขอบใจ ท่านหมอ เฟิ่งอิงจะฟื้นเมื่อใดหรือ?"ประโยคหลังหันไปถามหมอจวนแม่ทัพ
"ดูจากอาการแล้ว คาดว่าคงไม่เกินรุ่งสางขอรับ" ชิงหยวนพยักหน้ารับรู้
"อาเหวิน พาหลินเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด"ฮูหยินมู่หันมากล่าวกับบุตรชายที่ปักหลักนั่งอยู่ข้างเตียงของภรรยาไม่ยอมลุกไปไหน
"ขอรับท่านแม่"สองแขนช้อนร่างเล็กบอบบางขึ้นมาแนบอกแกร่ง ค้อมศีรษะให้อาวุโสทั้งสี่แล้วก้าวออกไปจากเรือนพักผู้ป่วย ตรงกลับเรือนพักของตนและภรรยาทันทีมีสี่สหายน้อยวิ่งไล่ตามไปติดๆ ปิดท้ายคือสองสาวใช้ เสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ย
เมื่อมาถึงเรือนพัก
มู่หลิ่งเหวินปล่อยให้สองสาวใช้ปรนนิบัติภรรยา ส่วนตัวเองกลับไปห้องหนังสือสะสางงานที่คั่งค้าง รวมถึงวางแผนจัดตั้งหน่วยพิเศษขึ้นมาใหม่สักหนึ่งกองไว้คุ้มกันนาง สำหรับหน่วยพิเศษนี้ แม่ทัพหนุ่มคิดว่าจะคัดเอาแต่ยอดฝีมือจากกองกำลังปีศาจมู่เป็นหลัก เรื่องจำนวนนั้นยังไม่ได้กำหนดตายตัวแน่นอน รอดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยลดเพิ่มทีหลัง -
ล่วงเข้ายามไฮ่
"อา..."ชิงหลินรู้สึกตัวตื่นขึ้นเพราะหิวหลังเกิดอาการวูบไปราวสองชั่วยามสี่สหายน้อยจึงตื่นนางไปด้วย พวกมันพยายามสลัดหัวไล่ความง่วงงุนแต่ความง่วงมีอิทธิพลมากกว่า เป็นเหตุให้สี่สหายน้อยหลับปุ๋ยอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
"ฮูหยินน้อย กินโจ๊กเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้นำโจ๊กวางบนโต๊ะแล้วเดินมาที่เตียงนอน
"อืม ขอบใจนะกำลังหิวอยู่พอดี แล้วท่านแม่ทัพอยู่ไหนหรือ?"คนโจ๊กไปพลางเอ่ยถาม
"ท่านแม่ทัพสั่งว่า หากฮูหยินน้อยตื่นให้คนไปบอกด้วยเจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้รายงานตามที่ท่านแม่ทัพสั่งไว้
"หือ?...อ้อ...แล้วคนอื่นๆเป็นอย่างไรบ้าง?"ถามแบบเหมารวม
"นายท่านกับฮูหยินแวะมาดูคุณหนู เมื่อหนึ่งยามก่อนยามนี้พักอยู่ที่เรือนรับรองเจ้าค่ะ"
"....อืม..."พยักหน้าเข้าใจแล้วยกถ้วยน้ำเปล่าขึ้นดื่ม
"หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเฟิ่ง ท่านหมอบอกว่าไม่เกินรุ่งสางก็จะฟื้น ส่วนหน่วยพยัคฆ์ดำที่ถูกพิษทั้งหมดได้รับยาถอนพิษ ยามนี้หายดีแล้วเจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้รายงานตามจริง
"อา...โอ๊ย! อึก! อื้อ....."
"ฮูหยินน้อย! ฮูหยินน้อย! เป็นอันใดเจ้าคะ! ฮูหยินน้อย! ท่านเป็นอันใดเจ้าคะ!"เสี่ยวอี้ตื่นตระหนกจนทำอันใดไม่ถูก เมื่อฮูหยินน้อยที่กำลังนั่งกินโจ๊กอยู่ดีๆกลับเอามือกุมหน้าอกตัวงอ ใบหน้าจิ้มลิ้มบิดเบี้ยวคล้ายเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เสี่ยวอี้ทำได้เพียงลูบหลังให้ฮูหยินน้อยไปพลางรอท่านแม่ทัพ ใบหน้าของนางซีดเผือดทั้งเป็นกังวลทั้งตื่นตระหนก หวนนึกถึงโรคประจำ ตัวที่ฮูหยินน้อยเคยเป็น อาการคล้ายคลึงกับยามนี้เหลือเกิน
"หลินเอ๋อร์!"ร่างสูงพุ่งเข้ามาช้อนร่างเล็กบอบบางขึ้นมาแนบกับอกแกร่ง
"รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า!"หันไปสั่งสาวใช้เสียงเข้ม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นอย่างไม่เข้าใจ ก้มมองร่างเล็กบอบบางในอ้อมกอดขดตัวงอเป็นกุ้ง มือเรียวเล็กที่อยู่ด้านนอกจับขยุ้มอาภรณ์ของเขาไว้แน่นจนยับย่นอีกข้างกุมอยู่ที่หน้าอก
ใบหน้าจิ้มลิ้มที่มักจะยิ้มแย้มบิดเบี้ยวและเปียกชื้นเต็มไปด้วยเหงื่อ น้ำใสๆไหลซึมออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิทกอปรกับเสียงร้องครางปนเสียงสะอื้นดังออกมาเบาๆจากริมฝีปากอวบอิ่มบวมแดงจากการขบกัดเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง มันทำให้แม่ทัพหนุ่มกระวนกระวาย ร้อนใจแทบคลั่ง
"หลินเอ๋อร์ พี่เอง เจ้าได้ยินเสียงพี่รึไม่? หลินเอ๋อร์ ลืมตามองพี่หน่อยเถิด"มู่หลิ่งเหวิน เรียกนางพร้อมกับเขย่าแขนตนเองหวังปลุกนางให้รู้สึกตัว
"อา.....พี่....เหวิน...หลิน...เอ๋อร์...ไม่...เป็น...อะไร...มาก...อึก!...อา...."ชิงหลินพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพูดให้เขาสบายใจ แต่เพราะความเจ็บปวดทรมาน ทำให้ไม่อาจทำได้ดังใจ เสียงที่เปล่งออกไปจึงทั้งแหบแห้งแผ่วเบาราวกับคนกำลังจะขาดใจ
"หลินหลิน"เสียงของฟานฟานน้อยดังขึ้น
"หลินหลินขอรับ"ต่อมาเป็นเสียงของฟงฟงน้อย
"หลินหลินเจ็บมากไหมขอรับ?"ต่อมาเป็นเสียงของเป่าเปาน้อย
"หลินหลิน อย่าเป็นอันใดไปนะเจ้าคะ ฮือๆๆ"ปิดท้ายเป็นเสียงของหมั่นโถวน้อยจอมขี้แย
สี่สหายน้อยตื่นตระหนกไม่แพ้กันอาการง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง จ้องมองใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดทรมานด้วยใจที่เจ็บปวด ความสามารถที่พัฒนาขึ้นทำให้พวกมันสัมผัสและรับรู้อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ได้ ยิ่งความรู้สึกของหลินหลินที่พวกมันรักด้วยแล้วยิ่งรุนแรงและชัดเจนเป็นเท่าทวีคูณ
"อา...อย่าห่วง...ไปนักเลย...ข้า...ไม่...เป็นไร...อึก!"ชิงหลินฝืนยิ้มให้สี่สหายน้อย
"...แต่..หมั่นโถวเสียใจที่ช่วยหลินหลินไม่ได้ หมั่นโถว... แงงงงง"เสียงร้องครางหงิงๆของจิ้งจอกน้อยและอาการคอตกของอีกสามมารน้อย เป็นเหตุให้แม่ทัพหนุ่มสังหรณ์ใจไม่ดีไพล่คิดถึงเหตุการณ์ช่วงค่ำที่ผ่านมา
"หลินเอ๋อร์ รึเรื่องนี้จะเกี่ยวกับ...."
ชิงหลินลืมตาขึ้นมองสามีพยักหน้าแทนคำตอบร่างเล็กบอบบางสั่นสะท้านและกระตุกเกร็งอยู่ตลอดเวลา
"นานเพียงใด?"กัดฟันถามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
"...เจ็ดวัน...เจ็ดคืน..เป็น..ข้อแลกเปลี่ยน....อา...อึก!"ตอบได้เพียงเท่านั้นก็ถูกความเจ็บปวดเข้าจู่โจมอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันหนักหนาสาหัสกว่าที่ผ่านๆมาจนรับความเจ็บปวดไม่ไหวหมดสติไปท่ามกลางความตระหนกตกใจของทุกคน
"หลินเอ๋อร์! หลินเอ๋อร์! หลินเอ๋อร์!"แม่ทัพหนุ่มเขย่าร่างเล็กบอบบางในอ้อมแขนพร้อมกับเรียกนางเสียงดัง สร้างความแตกตื่นแก่ผู้ที่ทราบข่าวรีบรุดมาเยี่ยมเยียนด้วยความเป็นห่วง
"อาเหวิน! เกิดอันใดขึ้น? หลินเอ๋อร์เป็นอันใด?"มาถึงมู่หลิ่งฟู่ก็เอ่ยปากถามทันที
"หลินเอ๋อร์ นางเพียงแค่หลับไปเท่านั้น ขออภัยที่ทำให้ตกใจขอรับ"รีบปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้เป็นปกติ วางร่างเล็กบอบบางที่หมดสติลงบนเตียง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงมานั่งร่วมโต๊ะกับบิดามารดาของตนและบิดามารดาของภรรยาปล่อยให้หมอจวนแม่ทัพตรวจอาการไป
ขณะเดียวกันคนที่หมดสติจนวิญญาณหลุดออกจากร่างยามนี้กำลังหมุนตัวมองไปรอบๆอย่างสังเกตสังกาก่อนจะฉุกคิดถึงท่านยม
"ท่านยม....ท่านได้ยินฉันไม๊!!?"ไร้เสียงตอบกลับ
"ท่านยม!! ฉันรู้นะว่าท่านได้ยิน!!"ยังคงไร้เสียงตอบกลับ
"หากท่านไม่ออกมาก็ไม่เป็นไร แต่ฉันมีเรื่องขอร้อง ครั้งก่อนที่ฉันได้รับบาดเจ็บ ท่านก็ช่วยฉันไว้ ครั้งนี้ท่านไม่คิดช่วยฉันหน่อยรึ!"
"ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ เพราะการชุบชีวิตคนตายให้ฟื้น มันผิดกฎสวรรค์ แม้คนที่เจ้าช่วยจะยังไม่ถึงคราวตายก็เถอะ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจที่จะทำก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา ทำใจเสียเถอะ...."
คนฟังได้ยินแล้วคอตกนึกถึงว่าตัวเองต้องเจ็บปวดทรมานไปอีกเจ็ดวันก็หน้าซีดตัวสั่นไปหมดจะทนได้ครบเจ็ดวันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาเถอะ! อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปก็แล้วกัน!
-------------
ตลอดเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนที่ชิงหลินต้องเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสโดยที่หมอหาสาเหตุไม่ได้ มู่หลิ่งเหวินเฝ้าคอยดูแลนางเป็นอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง ปฏิเสธความหวังดีจากมารดาและท่านแม่ยายที่อาสามาดูแลนาง
ในระหว่างนั้น เฟิ่งอิงที่ฟื้นคืนจากความตาย ก็แวะเวียนมาดูและถามไถ่อาการของฮูหยินน้อยจากสาวใช้ทั้งสองทุกวันๆละสามเวลา แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านแม่ทัพถึงได้มองตนราวกับตนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฮูหยินน้อยเป็นเช่นนี้ทุกครั้งยามที่ต้องเผชิญหน้ากัน
ขณะเดียวกัน ก็เกิดข่าวลือโจษจันไปทั่วเมืองหลวง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ลานประหาร ทางหนึ่งด่าทอสาปแช่ง สมน้ำหน้าและยินดีปรีดา เมื่อขุนนางชั่วหานหนิงเฉิงถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ส่งสัตว์เทพมาจัดการจนถึงแก่ความตายชดใช้กรรมที่ก่อไว้ หลังจากรักษากันถึงสามวัน
อีกทาง ยกย่องสรรเสริญจนถึงขั้นเลื่อมใสศรัทธาบุตรีคหบดีชิง ฮูหยินแห่งจวนแม่ทัพไร้พ่าย ว่าเป็น ธิดาสวรรค์ ที่เง็กเซียนฮ่องเต้ส่งมาช่วยชาวฉีกำจัดขุนนางชั่วในแผ่นดิน แม้แต่สัตว์เทพอย่างพยัคฆ์ขาวที่น่าเกรงขามยังมาอยู่กับนาง หากไม่ใช่ธิดาสวรรค์แล้วจะเป็นอันใดไปได้
ดังนั้นในทุกๆวัน หน้าจวนแม่ทัพไร้พ่ายจึงคลาคล่ำไปด้วยขุนนางน้อยใหญ่ พ่อค้าคหบดี ขาวบ้านร้านตลาดหรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ที่ต้องการจะพบปะพูดคุยกับธิดาสวรรค์สักครั้ง แต่แล้วก็ต้องผิดหวังถูกปฏิเสธจากแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นประมุขจวนแม่ทัพไร้พ่ายเสียทุกรายไป
ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยน้า^_^