3 ทุ่มครึ่ง หลังจากซุ่มมองมาเนิ่นนาน ในที่สุดบรรณารักษ์คนสุดท้ายก็ออกจากหอสมุดเก่า
น่าแปลกที่บรรณารักษ์คนนั้นทำเพียงปิดประตู แต่ไม่ได้ทำอย่างอื่นแม้แต่การลงอาคมปกป้อง สัตตะนึกถึงคำพูดของฑูรย์ขึ้นมาได้ 'ไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของมัน' ท่าจะจริงอย่างที่สุด
เมื่อเห็นว่าทางสะดวกแล้ว ยักษ์หนุ่มจึงใช้ฮู้ดเสื้อคลุมสีดำคลุมหัวเอาไว้แล้วลอบฝ่าความมืดเข้าไปอย่างไม่รอช้า เพียงอึดใจเดียวก็สามารถเข้าไปด้านในได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
หอสมุดต้องห้ามหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย ขนาดมันไม่ต่างจากบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ด้านนอกเป็นซีเมนต์อย่างบ้านเรือนในปัจจุบัน แต่ด้านในเป็นไม้เนื้อหอม เพียงผ่านประตูเข้าไปได้ก็จะเห็นชั้นหนังสือเก่า ๆ ตั้งเป็นล็อกไว้อย่างเป็นระเบียบ
แม้ห้องจะไร้แสงไฟ แต่แสงจันทร์เต็มดวงที่ส่องผ่านระแนงไม้ลายฉลุด้านบนก็พอที่จะทำให้มองเห็นด้านที่แสงจันทร์ส่องได้ชัดเจนระดับหนึ่ง
สัตตะค่อย ๆ เดินดูทีละชั้น เพื่อดูว่ามีหนังสือหมวดหมู่อะไรบ้าง หนังสือเก่าแก่มากมายถูกเรียงไว้ตามหมวด โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นหลักและทฤษฎีขั้นสูงของพรภูมิ ยิ่งเดินลึกเข้าไปในความมืดที่ไกลออกจากแสงของดวงจันทร์ ความเข้มข้นของหนังสือเหล่านั้นก็ยิ่งมากขึ้น แต่มันก็ยังไม่ใช่ข้อมูลในส่วนที่เขาต้องการตามหาอยู่ดี
สัตตะเปิดไฟฉายที่ถือติดมือมาเพื่อส่องทาง เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในสุดก็เจอกับประตูไม้บานผลักสลักลายโบราณที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องเก็บเอกสารสำคัญที่เก่าแก่กว่า
"กลิ่นอายนี่มันอะไร?" สัตตะบ่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงกลิ่นคล้ายไม้หอมประหลาดจาง ๆ เล็ดลอดออกมาจากประตูบานนั้น
"เวียนหัวชะมัด" ยิ่งเดินเข้าใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้น จนอดคิดไม่ได้ว่าควรล้มเลิกไปก่อนดีหรือไม่ ทว่าใจหนึ่งก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหากเข้าไปในห้องนี้เขาน่าจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับปู่ของเขาเป็นแน่
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะเข้าไป สัตตะก็เอามืออุดจมูกแล้วผลักบานประตูตรงหน้าเข้าไป ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก สายลมรุนแรงก็พัดผ่านร่างของสัตตะจนแทบยืนไม่อยู่
'ฉิบ! เผลอเปิดกลไกอะไรเข้าเปล่าวะ!' สัตตะรีบหันไปมองเบื้องหลังด้วยความตกใจ เพราะคิดว่าคงทำให้เกิดหายนะขึ้นแล้ว ลมแรงขนาดนั้นชั้นหนังสือด้านหลังไม่มีทางรอด
ทว่า…สิ่งที่เห็นกลับทำให้สัตตะขนลุกวาบ เพราะในห้องด้านหลังของเขานั้นมันไม่ปรากฏความเสียหายอะไรเลย คล้ายไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
"อะไรวะนั่น…" สัตตะกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ สัญญาณเตือนภัยดังลั่นขึ้นในหัวของเขา เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเรียกว่าหอสมุดต้องห้าม ที่เห็นว่าไม่มีคนเฝ้า ไม่ใช่เพราะการป้องกันหละหลวมแต่เพราะมันถูกร่ายเวทย์ป้องกันเอาไว้อย่างดีแล้วต่างหาก
"เฮ้ย!? "
ปัง!!
ในจังหวะที่ไม่ทันได้ระวัง ประตูห้องลับก็ดันตัวของสัตตะเข้าไปด้านในแล้วปิดล็อกอย่างแน่นหนา ชนิดที่ว่าต่อให้สัตตะทั้งทุบทั้งผลักก็ไม่มีแม้แต่อาการสั่นไหว แสงไฟในห้องติดขึ้นทันทีที่มีผู้มาเยือน ทว่ากลับเงียบสงัดไม่ปรากฏว่ามีผู้ใด หรือสัญญาณเตือนภัยผู้บุกรุก
"ปล่อยให้โจรเข้ามาก่อน แล้วปิดประตูขังงั้นสินะ" ผู้ลักลอบที่เพิ่งกลายร่างเป็นโจรหลัด ๆ รีบตั้งสติ หลังจากรับรู้ชะตากรรมของตัวเองว่าเผลอเข้ามาติดในกับดักเวทย์เข้าแล้วก็รีบคิดหาทางรอด ชายหนุ่มหันรีหันขวางอยู่ครู่เพื่อสังเกตว่าภายในห้องนี้มีทางออก หรือจุดอ่อนตรงไหนบ้าง
"แต่…ห้องนี้มัน…อะไรวะเนี่ย? " สัตตะจำได้ว่านอกอาคารตอนที่เขาลอบเข้ามานั้นมันเป็นเพียงอาคารหลังเล็กไม่ต่างจากบ้านคนหลังย่อม ๆ แม้แต่ด้านนอกประตูบานนี้ก็เป็นเพียงห้องเก็บหนังสือขนาดไม่กี่ตารางเมตร ทว่าห้องลับหลังประตูอาคมห้องนี้มันกลับดูเป็นห้องโถงโอ่อ่า กว้างใหญ่เสียยิ่งกว่าตัวอาคารที่เห็นภายนอก ตรงกลางห้องมีบันไดเวียนขึ้นไปชั้นบนที่สัตตะเองก็มองไม่เห็นว่ามันไปสุดที่ชั้นไหน
ตรงที่ที่เขายืนอยู่มีตู้หนังสือโบราณวางชิดผนังโดยรอบ ทุกตู้เป็นตู้ไม้ด้านหน้าเปลือย เก็บหนังสือเล่มหนาที่เห็นก็รู้ว่าพวกมันคงมีอายุขัยหลายร้อยปี ทุกเล่มมีโซ่อาคมคล้องเอาไว้ รู้สึกได้เลยว่าแค่แตะเพียงนิด มือของเขาก็อาจจะลุกเป็นไฟหรือถูกตัดขาดตั้งแต่สัมผัสแรก
ไอของอาคมกดดันจนสัตตะอึดอัด กลิ่นหอมที่เขารับรู้ได้ตั้งแต่หน้าประตูคล้ายจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นจนเขาแทบหายใจไม่ได้ ยิ่งเดินเข้าไปในห้องลึกขึ้นเท่าไหร่ ความกดดันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น แต่ไม่รู้ทำไมสัตตะกลับห้ามตัวเองไม่ให้เดินไปที่ต้นตอของกลิ่นนั้นไม่ไหว
ที่ตู้ไม้ด้านในสุดตรงหลังบันไดเวียน มันราวมีเสียงเรียกเบา ๆ ให้เขาเดินเข้าไปหา
ตึ่กตั่ก
ตึ่กตั่ก
ตึ่กตั่ก
หัวใจของสัตตะเต้นแรงหน่วงหนัก อาการแบบนี้เขาไม่ได้เป็นมานานแล้วนับตั้งแต่วันที่สูญเสียปู่ไป และเมื่อเขาเดินเข้าไปจนถึงหน้าตู้ไม้ น่าแปลกที่ตู้นี้ไม่เหมือนกับตู้ไม้อื่น ๆ ในห้องที่หนังสือทุกเล่มถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่อาคม แต่กลับเป็นเพียงตู้ที่มีประตูกระจกปิดเอาไว้ธรรมดา
ในตู้มีหนังสือเก่าแก่อยู่เพียง 7 เล่ม มีชื่อหนังสือว่า 'ตำนานแห่งพรภูมิ 1-7' ที่น่าจะเป็นตำนานจริงที่น่าจะยังไม่ได้รับการแต่งเติมให้ดูดีอย่างเช่นแบบเรียนที่แพร่หลายในปัจจุบัน ตอนแรกสัตตะคิดว่าไม่มีอะไร แต่อึดใจเขากลับรู้สึกได้ว่ามันยังมีอะไรบางอย่าง จนในที่สุดเขาก็มองเห็นควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากช่องหลังหนังสือ 7 เล่มนั้น
สัตตะหายใจหอบสะท้าน ร่างกายราวถูกสะกดให้ทำตามบางสิ่ง มือของเขาจึงยื่นเข้าไปเปิดประตูตู้ เปิดมันออกอย่างง่ายดาย ควานเข้าไปหาหนังสือสีดำเล่มหนึ่งซ่อนลึกอยู่ด้านในสุดของตู้ เมื่อได้เห็นหนังสือเล่มนั้นเต็มตา เขาก็ได้แต่กลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอ
'ยักษ์ตนสุดท้าย'
เพียงเห็นชื่อหนังสือสันหลังเขาก็เย็นวาบ ขนทั้งร่างลุกชันไปหมด สมองพร่าเบลอเต็มทีทั้งที่หัวใจเต้นเร็วขนาดนี้แต่แขนขากลับค่อย ๆ อ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ สัตตะหอบสะท้าน สัญชาตญาณบางอย่างตื่นขึ้น เหมือนว่าเลือดในร่างจะเดือดพล่านไปหมดจนไม่อาจสะกดมนตร์จำแลงกายเอาไว้ได้ กลิ่นอายที่พวยพุ่งออกจากหนังสือเล่มนี้กำลังทำให้เขาแย่
"อึก!" สัตตะทรุดลงไปนั่งบนพื้น ร่างกายร้อนผ่าว ตลอดตั้งแต่ปลายเท้าถึงปลายผมได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะก่อนที่มนตร์จำแลงร่างจะสลายไปจนสิ้น ร่างกายเริ่มกลับสู่ร่างดรายแอดส์ เรือนผมยาวสีเงินค่อยๆ เผยออกมา ดวงตาสีดำยามปกติเริ่มกลายเป็นสีแดงเพลิงผลาญ กลิ่นหอมเย็นของดอกพุดซ้อนที่เป็นกลิ่นประจำตัวของเผ่าพันธุ์กำจายคลุ้งออกจากร่าง
สัตตะหอบฮั่ก สั่นสะท้านไปทั้งตัวจนเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดก็แทบไม่เหลือ
เขาไม่อาจรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
ที่รู้แน่มีเพียงกลไกบางอย่างในห้องนี้กำลังเปิดเผยตัวตนของเขา
'แย่แน่ ถ้าไม่รีบหาทางออกตอนนี้เราแย่แน่'
"ใคร!? "
'เชี่ย!!' ยังไม่ทันจะได้หาทางหนี ห้องที่คิดว่ามีเพียงตนคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ ก็มีอีกคนปรากฏตัวขึ้นจากชั้นบน
เสียงฝีเท้าตึงตังลงจากบันไดเวียน ทำเอาสัตตะที่อยู่ในร่างดรายแอดส์แตกตื่นหนัก ชั่วอึดใจก่อนที่อีกฝ่ายจะมาถึงตัว
สัญชาตญาณเอาตัวรอดก็บอกให้เขารีบร่ายมนตร์สักบทเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นมนตร์จำแลงกายกลับร่างมนุษย์ หรือ แม้แต่มนตร์บังตา แต่ไม่ว่าจะพยายามร่ายมนตร์เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จสักบท เพราะตอนนี้สมาธิของเขามันแตกซ่านไปหมด
'แม่มันเอ้ย! จะมาตายตั้งแต่เริ่มเรียนวันแรกไม่ได้นะไอ้สัตตะ!' ในวินาทีสุดท้ายที่ร่างของอีกคนจะถึงตัว ทางเลือกเดียวที่เหลือในตอนนั้นของสัตตะคือการวิ่งหาที่ซ่อน
"หยุด!"
เสียงคำรามตามหลัง พร้อมเงาใหญ่ที่ประชิดเข้าใกล้ ความสิ้นหวังผุดพรายขึ้นทันทีที่ทั้งตัวถูกคว้าไว้ สองแขนถูกรั้งตวัดบิดไพล่หลัง แต่สัตตะสะบัดออกได้ทันแล้วจึงรีบกวาดขาเตะตัดข้อเท้าอีกฝ่ายให้เสียหลัก
'สหัส!? ' การประมือชั่วครู่ทำให้สัตตะเห็นอีกฝ่ายเต็มตา รูปร่างหน้าตาแบบนี้ เขาไม่มีทางจำผิดแน่
นี่มันไอ้เทวาแรงก์ S ผู้สูงส่งคนนั้นไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมไอ้ตัวอันตรายที่ไม่อยากเจอที่สุดถึงมาอยู่ในหอสมุดต้องห้ามในเวลานี้กันวะเนี่ย!?
ความโชคร้ายผุดพรายในความสิ้นหวัง ถึงอย่างนั้นสัตตะก็ยังคงออกแรงต่อสู้ ทว่าถึงเขาจะมีฝีไม้ลายมืออย่างไร เรี่ยวแรงที่หายไปกว่าครึ่งก็ย่อมก่อปัญหา ความว่องไวที่ลดลงไปสุดท้ายก็ทำให้พลาดท่าถูกฝ่ายนั้นรวบตัวแล้วกดลงบนพื้นอย่างแรง โดยมีสหัสคร่อมทับอยู่ที่ด้านหลัง
"อ๊ากกก!!" ในวินาทีนั้นสัตตะได้ยินเพียงเสียงร้องของตัวเอง จากความเจ็บจุกที่ถูกกดตัวลงไปบนพื้นอย่างแรง
'ตายแน่!' จึงเป็นความคิดเดียวในหัวที่เหลืออยู่
"แก…ฮึก…แก เป็นใคร? "
"!!? " เสียงกระซิบต่ำที่ข้างหูทำเอาสัตตะขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เกิดอะไรขึ้น?
"กลิ่นนี่มัน…อะไร? " สหัสพยายามกลั้นหายใจเมื่อถูกกลิ่นหอมรุนแรงที่ไม่สามารถระบุได้ว่ากลิ่นอะไรทะลักเข้าสู่โพรงจมูก และต้นตอกลิ่นก็คือไอ้คนใต้ร่างตอนนี้
"แกเป็นตัวอะไร!? " สหัสขมวดคิ้วมุ่น กลิ่นของฝ่ายนั้นกำลังจะทำให้เขาคลั่ง
"..." แม้จะถูกตะคอกถามอยู่หลายคำแต่สัตตะกลับไม่กล้าอ้าปากตอบ เพราะตอนนี้เขาอยู่ในร่างดรายแอดส์ที่ไม่มีใครเคยเห็น หากโชคดีหนีรอดได้ในครั้งนี้อย่างน้อยก็ยังสามารถกลับไปอยู่ในร่างมนุษย์ได้อย่างไม่มีปัญหา
สัตตะพยายามคิดหาทางไขว่คว้าทางรอด แต่ดูเหมือนเทพธิดาแห่งโชคจะหายสาบสูญไปจากมือกันดื้อ ๆ กลิ่นหอมรุนแรงที่จู่ ๆ ก็เข้มข้นขึ้นทำเอาหัวใจที่ยังมีความหวังเมื่อครู่ถูกบีบรัด
'กลิ่นนี่มัน…!!? ' สัตตะแทบร้องไห้เมื่อรู้ว่ากลิ่นหอมรุนแรงที่เขานึกไปว่าเป็นกลไกของห้องนี้แท้จริงมันมาจากตัวของไอ้เทวานามว่าสหัสคนนี้!
'เป็นไปได้ยังไง? ครั้งก่อนไม่เห็นเคยได้กลิ่นเลยนี่หว่า!'
"ฮึ่ก!"
"..." เสียงลมหายใจที่บางจังหวะรุนแรงบางจังหวะขาดห้วงเหมือนกำลังจมน้ำของคนบนร่างทำให้สัตตะรู้ดีว่าฝ่ายนั้นก็กำลังย่ำแย่เหมือนกัน
เพราะกลับสู่ร่างจริงกะทันหัน ทำให้สัตตะไม่อาจปกปิดกลิ่นกายของดรายแอดส์ และเพราะกลิ่นกายของดรายแอดส์มีฤทธิ์ทำให้ลุ่มหลงลืมตัว จึงทำให้เผ่าพันธ์ุของเขาไม่อาจออกจากหมู่บ้านลับแลเพราะจะกลายเป็นการสร้างความวุ่นวายแก่โลก ซึ่งตอนนี้มันกำลังมีผลรุนแรงต่อสหัสอยู่
สัตตะพยายามวิเคราะห์ด้วยก้อนสมองที่กำลังเหลวเป็นขี้ผึ้งลนไฟ
กลิ่นดรายแอดส์ของเขาทำให้สหัสแทบคลั่งนั้นไม่แปลก
แต่อย่าบอกนะว่ากลิ่นกายพิเศษของพวกเทวาก็เป็นพิษกับเขาด้วย?
ไม่ได้เป็นพิษกับดรายแอดส์ แต่เป็นพิษกับยักษ์
'เวรเอ้ย!' สัตตะพยายามดิ้นรนอีกครั้งเพราะเกรงว่าจะต่อสู้กับมหันตภัยครั้งนี้ไม่ไหว ในวินาทีที่กำลังจะสิ้นหวังเสียงลมหายใจรุนแรงจากเบื้องหลังกลับทำให้มองเห็นแสงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์
แม้กลิ่นของไอ้เทวานี่จะเป็นพิษกับเขาก็จริง แต่ดูเหมือนกลิ่นกายดรายแอดส์ของเขาจะมีผลต่อมันมากกว่า ในเมื่อสหัสเองก็ทรมานไม่ต่างกัน มันก็ไม่แน่ว่าเขาอาจหนีรอดจากวิบากกรรมนี้ได้
"!!? " สัตตะพยายามดิ้นรนอีกครั้ง แต่กลับถูกกดร่างไว้แน่นยิ่งกว่าเก่า คนบนตัวโถมกายทาบทับลงมา เสียงหอบหายใจดังชัดที่ข้างหู พร้อมเสียงกระซิบทุ้มพร่าที่ทำเอาขนลุกไปทั้งตัว
"...อุตส่าห์หลบมาอยู่ที่นี่…เพราะไม่อยากเจอใครแล้วแท้ ๆ …"
'..อะไร…น่ะ? ' ทั้งที่ไม่อาจตีความว่าคำพูดของสหัสหมายความว่าอย่างไร แต่สัตตะก็สั่นระริกไปทั้งตัวอย่างไม่อาจควบคุมได้ เพราะแรงกดดันบางอย่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน
"ไม่รู้หรือไง ว่าฉันขาดเลือดมานานแค่ไหน...กลิ่นบ้านี่มันอะไรวะ? ...อยากรนหาที่ตายใช่ไหม..."
'เลือด? เพ้ออะไรของมันวะ!? '
ปึ่ด!!
ไม่ทันที่สัตตะจะทำความเข้าใจเรือนผมสีเงินก็ถูกรวบดึงไปด้านข้าง เสื้อฮู้ดพร้อมเสื้อนักศึกษาด้านในถูกดึงลงจนเห็นผิวเนื้อ พริบตาจากนั้นบางสิ่งเปียกชื้นหยุ่นนุ่มก็สัมผัสเข้าที่หลังคอทันที
"เชี่ย!!?? " สัตตะร้องลั่นด้วยความตกใจ เขาถูกเลียเข้าที่ต้นคอไม่ผิดแน่
ไม่รู้ฝ่ายนั้นทำไปทำไมล่ะ คิดไปว่าอาจเพราะฤทธิ์ของกลิ่นกายตน ดังนั้นสัตตะจึงพยายามรวบรวมกำลังดิ้นรนให้พ้นจากคนเสียสติ
"ไอ้เทวาเวรเอ้ย! กูไม่ใช่ผู้หญิง!!"
"!!? ..." สหัสถูกเสียงตะโกนของคนใต้ร่างเรียกสติ เสียงแปร่งพร่าอย่างผู้ชายที่ชวนสับสน 'ดรายแอดส์…ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงหรือ? '
ผลั่ก!!
สหัสถูกผลักจนเสียการทรงตัวในจังหวะที่เขาเผลอไผล จนดรายแอดส์ตัวหอมหลุดออกจากการเกาะกุม
สมองของเทวาหนุ่มมึนทื่อ กลางอกที่ถูกสัญชาตญาณดิบคลุมเคลือบจนกลายเป็นสีดำเต้นเร่า ทัศนวิสัยตรงหน้ากลายเป็นสีแดงฉานอย่างนักล่าจนไม่อาจมีสติยับยั้งผิดชอบชั่วดี เมื่อเห็นเหยื่อหลุดออกจากมือ ก็รีบปรี่เข้าคว้า แล้วฉีกกระชากทุกอย่างตรงหน้าออก
…เลือด
…ในยามนี้เขาต้องได้กินเลือด!
เมื่อถูกกระโจนโถมเข้าใส่อีกครั้งสัตตะก็หมดหนทางขัดขืน ทันทีที่ถูกจับได้ก็ถูกสหัสที่ขึ้นมาคร่อมร่างฉีกกระชากเสื้อฮู้ดกับเสื้อนักศึกษาออกจนกระดุมขาดกระเด็นเกือบยกแผง ผิวเนื้อช่วงบนเปิดเปลือยสู่ด้านนอก
"ปล่อย!!" สัตตะแหกปากตะโกนลั่น เผื่อว่าคราวนี้เสียงของเขาจะสามารถปลุกสติของอีกฝ่ายได้อีกสักหน สองมือที่ยังอิสระอยู่พยายามผลักไส มือหนึ่งผลักอก มือหนึ่งดันคางของสหัสไว้ไม่ยอมให้เข้ามาใกล้
คนบนร่างนิ่งไปครู่ สัตตะได้สบสายตากับสหัสวูบหนึ่ง
"!!?? "
กลไกไฟเวทย์ในห้องจู่ ๆ ก็ติด ๆ ดับ ๆ คล้ายว่ามันกำลังตอบสนองกับปฏิกิริยาของสหัสที่กำลังแผ่ออร่าของเทวาออกมาอย่างเลือดเย็น แรงกดดันพร้อมกลิ่นหอมรุนแรงแต่เป็นพิษคละคลุ้งเสียจนสัตตะหายใจหายคอไม่ออก สุดท้ายเมื่อไม่สามารถควบคุมการหายใจจึงเผลอสูดกลิ่นกายของเทวาที่เป็นพิษต่อร่างกายเข้าไปจนเรี่ยวแรงที่ใช้ขัดขืนจนถึงเมื่อครู่สลายกลายเป็นศูนย์ในพริบตา
ในแสงสลัว ในหมอกของไอพิษบ้าคลั่ง ทำให้สัตตะไม่อาจคาดเดาสีหน้าหรือแววตาของอีกฝ่ายได้ถนัดนัก รู้เพียงภายใต้เงามืดดำที่จ้องเขม็งมานั้น มันคือผู้ล่าที่กำลังจะฉีกกระชากร่างเขาให้เป็นชิ้นๆ แล้วเคี้ยวกินจนไม่เหลือซาก! สัญชาตญาณหวีดร้องให้รีบหนี แต่ทั้งยุทธภูมิที่เสียเปรียบ ทั้งขนาดของร่างกาย และเรี่ยวแรงที่เหือดหาย ทำให้สัตตะจำต้องใช้แผนการสุดท้ายที่พอคิดได้
"ถ…ถ้าแกกินเลือดของคนที่ไม่ได้ผูกพันธะด้วย…แกจะโดนคำแช่ง…เล่นงานนะ…" สัตตะพยายามต่อรอง เมื่อรู้แล้วว่าเจ้าเทวาคนนี้ต้องการอะไร
'ขอล่ะ ขอให้การเจรจาได้ผล'
"...ฮึ"
"!? "
"ฮึ ฮึ…"
สหัสหัวเราะในคอเบา ๆ ดวงตายังคงมีสีเลือดของนักล่า เขาจับยึดสองมือสั่นระริกของสัตตะเอาไว้ แล้วกดมันลงไปบนพื้นด้วยมือเพียงข้างเดียว
'คนข้างหน้านี้เป็นใคร? '
'ผู้หญิง? ผู้ชาย? '
'ดรายแอดส์? ปีศาจ? '
'ตัวอะไรก็ช่าง!'
สหัสใช้มืออีกข้างคว้าใบหน้าของเหยื่อปากดีไว้ด้วยมือข้างเดียว บีบบังคับให้ใบหน้านั้นมองตรงมาที่ตน เหยียดยิ้มเผยคมเขี้ยวที่โง้งยาวออกมากว่าปกติ โน้มใบหน้าลงไปใกล้แล้วเอ่ยคำตอบรับด้วยเสียงกระซิบทุ้มต่ำแตกพร่า
"ก็แช่งมาสิ…"
"..." สัตตะเบิกตากว้าง เมื่อถูกสหัสก้มลงมากระซิบที่ข้างใบหู
"ฉันอยู่กับคำสาปสรรมาทั้งชีวิต คิดว่าแค่นี้จะกลัวหรือไง? "
"....!!?? "
ไม่มีคำใดหลุดออกจากริมฝีปากแดงสดของสัตตะได้อีก เพราะถูกมือที่เพิ่งบีบกรามกันอยู่เมื่อครู่ปิดปากกันไว้แน่นแล้วกดให้ใบหน้าของเขาหันไปด้านข้างจนสุด เพื่อเผยต้นคอที่มีเส้นเลือดเต้นเร่าแก่สายตาของอีกฝ่าย
สัมผัสเปียกลื่นของปลายลิ้นที่ทำให้รู้สึกชาชั่วขณะ กับความเจ็บแล่นปลาบออกจากจุดที่ถูกคมเขี้ยวฝังลึกลงไป ดวงตาของสัตตะเบิกโพลงอย่างสิ้นหวัง
ตายแน่…
วันนี้เขาต้องตายแน่ ๆ !!
เสียงซู้ดดังขึ้นข้างหูตามจังหวะการกลืนของผู้ล่า สัตตะหอบหายใจภายใต้มือที่ปิดปากเขาเอาไว้แน่น ตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงปลายนิ้วมือเยียบเย็นราวกับพลังชีวิตถูกสูบออกไปพร้อมกับเลือดเนื้อที่ฝ่ายนั้นดูดกิน
ดวงตาเริ่มพร่าเบลอ สัมปชัญญะเลือนรางจนจับทางไม่ได้ คงมีเพียงก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่ยังบีบรัดเพื่อส่งสัญญาณให้สัญชาตญาณสุดท้ายร้องเตือนว่าหากยังปล่อยให้คนขาดสตินี่ดูดเลือดไปเรื่อย ๆ ห้วงชีวิตบอบบางนี้คงใกล้จะดับสูญเต็มทีแล้ว
แล้วในห้วงสติสุดท้ายของสัตตะ ใบหน้าของปู่ก็ลอยเข้ามาในความทรงจำ คล้ายอยากย้ำเตือนอะไรบางอย่างแก่เขา
'อย่าให้ใครเห็นพลังของหลาน อย่าได้ผูกพันธะกับเหล่าเทวา…อย่าได้มีชะตาชีวิตเช่นปู่'
'แต่เมื่อใดที่ตกอยู่ในอันตรายเกินแก้ ก็อย่าได้ลังเลเด็ดขาด!'
ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น มนตร์มารบทหนึ่งที่ปู่เคยให้ไว้ก็แล่นเข้ามาในหัว สัตตะร่ายมันออกไปอย่างไร้สติ ฉับพลันแสงสีดำก็พวยพุ่งออกจากใต้ร่างของเขา
"!!? " สหัสถูกไอสีดำนั้นผลักให้ออกห่างขากร่างของเหยื่อ
สติเขากลับมาทันทีที่เห็นว่าร่างของเหยื่อของตนกำลังจมหายลงไปในเงามืดใต้พื้นโดยมีกลุ่มควันคอยปกป้องร่างนั้นไว้
พริบตาเดียวทั้งร่างก็จมหายไป ก่อนที่ทุกอย่างจะคืนกลับสู่สภาพเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
สหัสเบิกตาโพลงเมื่อสติคืนกลับมาเต็มที่
"นั่นมัน…มนตร์มาร!? "
น้องสัตตะพลาดแล้ว!!
โดนจับกินไม่พอ น้องยังใช้มนตร์ต้องห้ามอีก
จะโดนจับได้หรือเปล่านะ TT^TT
เจอกันตอนหน้าเร็ว ๆ นี้ค๊า
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
รักเสมอ
อนาคี99